กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 22-02-2013, 19:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,809 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖

ให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตนนะจ๊ะ กำหนดความรู้สึกทั้งหมดของเราอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..เอาความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..เอาความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา ใช้คำภาวนาตามที่เรามีความถนัดมาแต่ดั้งเดิม

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๖ เมื่อตอนขึ้นไปพักช่วงบ่าย ๔ โมง ก็ปรากฏว่าอาตมาโดนไข้มาลาเรียจับ ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นความดันขึ้นเพราะฉันยาของป้านุชลงไป แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เพราะว่ายาที่ฉันลงไปนั้นเป็นสารที่สกัดมาจากบรรดาสาหร่ายและผักผลไม้ต่าง ๆ ซึ่งเป็นธาตุเย็น เมื่อร่างกายภายในเย็นก็เลยทำให้มาลาเรียกำเริบขึ้นมาได้

อยากจะบอกกับทุกท่านว่าการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นเป็นธรรมดาของสังขารร่างกายนี้ พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า สังขารัง โรคะนิทธัง ปะภังคุณัง สังขารนี้เป็นรังของโรค ย่อมมีความเปื่อยเน่าไปเป็นธรรมดา ถ้าความเจ็บไข้ได้ป่วยทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้นแก่ท่านทั้งหลาย เราจะมีวิธีจัดการและรับมืออย่างไร ?

การรับมือกับความเจ็บไข้ได้ป่วยในขั้นต้นนั้น เราต้องซักซ้อมสมาธิภาวนาของเราให้มีความคล่องตัว ถ้าสมาธิภาวนาของเรามีความคล่องตัวตั้งแต่ระดับปฐมฌานขึ้นไป เมื่อถึงเวลานึกอยากจะเข้าฌานเมื่อไร ในสภาพอย่างไรเช่น เวลาหิวมาก ๆ เวลาเหนื่อยมาก ๆ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นต้น เราก็สามารถเข้าฌานได้ในทันทีทันใด

เมื่อสภาพจิตของเราเข้าสู่สภาวะของฌาน จิตกับประสาทจะเริ่มแยกจากกัน เราจะไม่รับรู้ถึงอาการป่วยที่เป็นอยู่ ก็สามารถที่จะบังคับร่างกายให้ทำหน้าที่การงานของเราไปตามปกติได้ ดังที่พระบาลีที่มีมาในมหาสติปัฏฐานสูตรว่า ปัสสัมภะยัง กายะสังขารังฯ เป็นต้น ก็คือสามารถที่จะระงับกายสังขารนี้ได้ นี่เป็นวิธีการรับมือในขั้นต้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-02-2013 เมื่อ 02:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 85 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 23-02-2013, 19:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,809 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วิธีการรับมือกับความเจ็บไข้ได้ป่วยในขั้นกลางนั้น ในเรื่องของสมาธิจะต้องให้ถึงระดับของอรูปฌาน เมื่อมีอรูปฌานที่คล่องตัว โดยเฉพาะในเรื่องของเนวสัญญานาสัญญายตนฌานแล้ว ต่อให้อาการเจ็บไข้ได้ป่วยเกิดขึ้น เราก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ได้

เพราะคำว่า "เนวสัญญานาสัญญายตนะ" ก็คืออายตนะทั้งหลายมีสัญญาคือความรู้สึก ความจำได้หมายรู้อยู่ ก็เหมือนกับไม่มี สภาพจิตจะก้าวข้ามความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นไป ไม่รับรู้อาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย เราก็จะพ้นจากเวทนานั้นชั่วคราว จนกว่าจะคลายสมาธิออกมา นี่เป็นการรับมือกับความเจ็บไข้ได้ป่วยในระดับที่สอง

ในระดับสุดท้ายนั้น ให้เราพิจารณาเห็นว่า สภาพความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นเป็นธรรมดาที่เกิดขึ้นกับร่างกาย สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด เวทนาจากความเจ็บป่วยก็ไม่สามารถที่จะตั้งอยู่ตลอดเวลาได้ โดยเฉพาะเวทนานั้นเกิดขึ้นกับสภาพร่างกาย ไม่ได้เกิดขึ้นกับสภาพจิตใจ เมื่อเป็นดังนั้น เราก็สามารถที่จะก้าวล่วงจากสภาพร่างกายที่เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ เข้าไปสู่สภาวะธรรม ซึ่งมีจิตรู้เด่นอยู่เฉพาะดวงเดียวเท่านั้น ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอาการของร่างกาย เหมือนกับเราข้ามสะพานใหญ่ไปสู่อีกฝั่งหนึ่ง แล้วทำลายสะพานนั้นเสีย ฝั่งตรงข้ามก็จะเป็นคนละส่วนกับเรา ไม่ได้ยุ่งเกี่ยว ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน

ถ้าเป็นดังนี้ก็ถือว่าท่านทั้งหลาย สามารถเอาความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติของตนเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการรับมือกับความเจ็บป่วยขั้นต้นก็ดี ขั้นกลางก็ดี ขั้นปลายก็ดี เราทุกคนจำเป็นจะต้องซักซ้อมเอาไว้เสมอ ๆ เพื่อที่ถึงเวลา เมื่อการเวทนากำเริบกล้าขึ้นมา เราจะได้ไม่ขาดสติ ไม่ไปโอดโอยอยู่กับความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้น ไม่เช่นนั้นแล้ว เมื่อเราขาดสติไปคร่ำครวญอยู่กับอาการเวทนาที่เกิดขึ้น สภาพจิตของเราที่เศร้าหมอง ถ้าตายลงไปตอนนั้น เราจะมีทุคติเป็นที่ไป

แต่ถ้าซักซ้อมจนสภาพจิตของเรามีความคล่องตัว นึกจะทรงรูปฌานเมื่อไรก็ทรงได้ นึกจะทรงอรูปฌานเมื่อไรก็ทรงได้ ถ้าเป็นดังนี้ก็เป็นการประกันความเสี่ยงในเบื้องต้น ว่าอย่างน้อยถ้าอาการเจ็บไข้ได้ป่วยกำเริบกล้าจนถึงขนาดสังขารร่างกายรับไม่ไหว เราก็ยังมีสุคติเป็นที่ไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-02-2013 เมื่อ 02:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 77 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 26-02-2013, 20:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,809 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หรือถ้าสามารถแยกแยะเห็นจนชัดเจนว่า สภาพร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา อาการเจ็บไข้ได้ป่วย เวทนาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องของร่างกาย ไม่ใช่เรื่องของเรา ขึ้นชื่อว่าการอยู่กับร่างกายที่เต็มไปด้วยความเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างนี้ จะมีกับเราแค่ชาตินี้เท่านั้น ตายลงไปเมื่อไรเราไม่ต้องการร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้อีก เราไม่ต้องการโลกนี้ที่เต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้อีก เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมที่พ้นทุกข์เพียงชั่วคราว เราก็ไม่ปรารถนา เราต้องการที่เดียวคือพระนิพพาน แล้วเอาจิตจดจ่ออยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพาน

ถ้าสามารถทำดังนี้ไว้ทุกวัน รักษาอารมณ์ใจให้ตั้งมั่นไว้ได้สักคราวละ ๓ นาที ๕ นาทีอยู่บ่อย ๆ ถ้าท่านหมดอายุขัยตายลงไปก็ดี หรือเกิดอุปฆาตกรรมต้องเสียชีวิตลงไปก็ดี ท่านจะสามารถหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานได้ดังที่ต้องการ

ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธและเถรี)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-02-2013 เมื่อ 02:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 50 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:32



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว