กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 03-04-2017, 19:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เก็บตกงานวางศิลาฤกษ์วิหารสมเด็จองค์ปฐม อาศรมศรีชัยรัตนโคตร วันอาทิตย์ที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๐

(หลังจากพิธีบวงสรวง) กราบขอโอกาสพระเถรานุเถระทุกรูปและเจริญพรญาติโยมทุกท่าน งานวันนี้เกิดขึ้นได้ก็เนื่องจากว่า พระอาจารย์นิลท่านตั้งใจมาสร้างที่พักสงฆ์อาศรมศรีชัยรัตโคตรขึ้นที่นี่ อาตมาเองถือว่าเป็นสายปฏิบัติสายเดียวกันจึงตั้งใจที่จะมาช่วย

ในส่วนของการที่เราทั้งหลายมาร่วมงานกันในที่นี้ จะเห็นว่ามีส่วนสำคัญอย่างหนึ่งก็คือพิธีบวงสรวง จริง ๆ แล้วพิธีบวงสรวงเป็นพิธีของพราหมณ์ ไม่ใช่ของศาสนาพุทธ แต่เนื่องจากว่าพราหมณ์ทั้งหลาย เข้ามามีบทบาทในแผ่นดินไทย ตั้งแต่สมัยยังไม่เป็นสยาม จนกระทั่งมีหลักฐานปรากฏชัดก็คือ สมัยกรุงสุโขทัยเป็นต้นมา พราหมณ์ทั้งหลายส่วนใหญ่จะเข้าถึงราชสำนัก และได้เป็นผู้ประกอบพิธีต่าง ๆ ตามแบบของพรหมศาสตร์ ซึ่งเป็นงานถนัด

เมื่อมาถึงสมัยรัชกาลที่ ๔ ของกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้ปรับเปลี่ยนพิธีพราหมณ์มาเป็นพิธีพุทธ ดังนั้น...ในการบวงสรวงจึงกลายเป็นการไหว้พระแทน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-04-2017 เมื่อ 19:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 108 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 03-04-2017, 19:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนพิธีกรรมบวงสรวงของทางพราหมณ์ยังมีกันเต็มที่อยู่ เพียงแต่ว่าพระราชพิธีต่าง ๆ ที่เป็นพิธีของทางพราหมณ์มาแต่ต้น ไม่ว่าจะเป็นพระราชพิธีฉัตรมงคล พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๔ ก็ทรงปรับเปลี่ยนแทรกพิธีพุทธเข้าไปทั้งหมด

ญาติโยมบางท่านที่ไม่เข้าใจว่า ทำไมเป็นพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ยังต้องใช้การบวงสรวงซึ่งเป็นพิธีพราหมณ์อยู่ ? ก็ขอบอกว่าพื้นฐานของการบวงสรวงแต่เดิมเป็นพิธีพราหมณ์ แต่ส่วนหนึ่งของเราปรับเข้ามาเป็นพิธีพุทธไปเรียบร้อยแล้ว


ญาติโยมที่พร้อมใจกันมาทำบุญในวันนี้ อาตมาก็จะนำไปร่วมกับทางด้านอาศรมศรีชัยรัตโคตร เสริมสร้างทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความเจริญในพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะหลวงพ่อของอาตมาท่านแนะนำไว้เสมอว่า การไปที่ไหนก็ตาม ถ้าหากว่าเกิดปัจจัยลาภผลขึ้น ก็มอบให้แก่สถานที่นั้นเขาไป ซึ่งอาตมาได้ถือปฏิบัติอย่างนี้ตลอดมา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-04-2017 เมื่อ 19:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 103 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 03-04-2017, 19:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ขอชี้แจงให้ญาติโยมทั้งหลายได้ทราบว่า ในสมัยพุทธกาลนั้น การสร้างเสนาสนะต่าง ๆ เป็นหน้าที่ของญาติโยมเป็นผู้กระทำและธรรมเนียมประเพณีนี้ก็สืบมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงสมัยที่อาตมายังเด็กอยู่ ช่วงนั้นมีการประกาศใช้แผนพัฒนาชาติฉบับที่ ๑ ซึ่งมีการเร่งการผลิตต่าง ๆ โดยเฉพาะรุ่นของอาตมาเข้าเรียนชั้น ป. ๑ ก็ต้องท่องกันเลยว่า ผลผลิตสำคัญของประเทศไทยประกอบไปด้วย ไม้สัก ยางพารา ข้าว ข้าวโพด เป็นต้น

ในเมื่อเร่งรัดการผลิตเพื่อให้ประเทศของเราเจริญทัดเทียมนานาอารยประเทศ การก่อสร้างต่าง ๆ ซึ่งเป็นหน้าที่ของญาติโยมก็กลับกลายไป กลายเป็นว่าพระต้องมาทำหน้าที่นั้นแทน โดยโยมเป็นเจ้าภาพในการมอบปัจจัยให้ เพื่อให้พระจัดทำการบูรณปฏิสังขรณ์เสนาสนะ ให้อยู่ในลักษณะที่แข็งแรงเพียงพอที่จะใช้งานได้ ในเมื่อเหตุการณ์แปรเปลี่ยนไปในลักษณะอย่างนั้น หลัง ๆ มาการก่อสร้างต่าง ๆ จึงกลายเป็นหน้าที่ของพระไปโดยปริยาย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-04-2017 เมื่อ 20:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 105 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 03-04-2017, 19:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

โดยเฉพาะเมื่อเกิดพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ปี ๒๕๐๕ ขึ้นมา ระบุว่าพระสังฆาธิการคือตั้งแต่ผู้ช่วยเจ้าอาวาสขึ้นมา มีหน้าที่ในการบริหารงานคณะสงฆ์ ๖ ด้าน ก็คือ ด้านการปกครอง ด้านการศาสนศึกษา ด้านการเผยแผ่ ด้านการสาธารณูปการ คือการก่อสร้างบูรณปฏิสังขรณ์ ด้านการศึกษาสงเคราะห์ ก็คือช่วยเหลือแก่ญาติโยมทั้งหลายในเรื่องของการเรียนการศึกษา และด้านสาธารณสงเคราะห์ให้ทำกิจเพื่อประชาชนทั่วไป

เนื่องจากว่าพระเถระในสมัยนั้นเห็นว่า พระเราจะเก็บตัวเงียบอยู่แต่ในวัดเพื่อปฏิบัติธรรมโดยส่วนตัวไม่ได้แล้ว เราจำเป็นที่จะต้องออกมาเป็นผู้นำแก่ประชาชนต่าง ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงกลายเป็นว่า สิ่งที่ญาติโยมทั้งหลายได้น้อมนำมาถวาย ซึ่งปกติแล้วก็เป็นแค่ปัจจัย ๔ คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และ ยารักษาโรค นั้น กลายเป็นว่าส่วนหนึ่งพระภิกษุสงฆ์ต้องกระทำแทน

เมื่อพระภิกษุสงฆ์ต้องกระทำแทน เรื่องของปัจจัยไทยธรรมกลายเป็นสิ่งสำคัญขึ้นมา แต่ว่าในพระวินัยของพระระบุไว้ชัด โดยเฉพาะในข้อที่ ๘ ของโกสิยวรรค นิสสัคคปาจิตตีย์ ระบุไว้ชัดว่า ภิกษุรับเงินและทองหรือสิ่งของที่ใช้แทนเงินและทอง ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-04-2017 เมื่อ 20:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 104 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 03-04-2017, 19:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สิกขาบทที่ ๙ กล่าวว่าภิกษุรับเองก็ดี ให้ผู้อื่นรับแทนก็ดี ซึ่งสิ่งของทั้งหลายเหล่านั้น ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์เท่ากัน ในเมื่อเป็นในลักษณะอย่างนั้น พระเราไม่มีทางที่จะเลี่ยงเลย ในการที่จะไม่ต้องอาบัติในสองจุดนี้

แม้กระทั่งพระทางฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ที่ท่านให้มีบุคคลมารับแทนเพื่อที่อาบัติจะได้พ้นตัว แต่พอไปเจอสิกขาบทที่ ๙ ก็ไม่พ้นเช่นกัน เพราะว่ารับเองก็ดี ให้ผู้อื่นรับแทนก็ดี โดนอาบัติเท่ากัน ในลักษณะเดียวกัน

ไม่ว่าสิ่งที่ใช้จะเป็นเงินทองโดยตรง หรือว่าจะเป็นเช็ค จะเป็นตั๋วแลกเงินก็ตาม ล้วนแล้วแต่ผิดเท่ากัน เพราะว่าบาลีใช้คำว่า
รูปิยะสังโวหารัง ก็คือ สิ่งที่ใช้แทนเงินทองโดยโวหาร ก็แปลว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ แต่ถ้าเราไปนึกถึงในมหาปรินิพพานสูตร วาระสุดท้ายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแก่พระอานนท์ว่า อานันทะ...ดูก่อนอานนท์ ในกาลข้างหน้าสิกขาบทใดที่ไม่เหมาะสมแก่ยุคสมัย หากสงฆ์พึงหวังักสวดเพิกถอนก็ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-04-2017 เมื่อ 11:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 102 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 03-04-2017, 19:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่คราวนี้ยังไม่มีใครกล้าสวดเพิกถอนสิกขาบท ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งว่าในบางส่วนของคณะสงฆ์เรา โดยเฉพาะมหานิกาย เราก็นั่งรับเงินรับทองกันอย่างหน้าตาเฉย คณะสงฆ์ธรรมยุตท่านก็ให้ไวยาวัจกรหรือลูกศิษย์รับแทน แต่ถ้ากล่าวกันโดยในส่วนของศีลแล้ว ก็ผิดทั้งคู่ มหานิกายก็หน้าด้านหน้าทนรับเอง ธรรมยุตท่านหน้าบางหน่อยให้คนอื่นรับแทน แต่ก็โดนอาบัติเท่ากัน ไม่มีใครบริสุทธิ์กว่าใคร กลายเป็นเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

เพราะว่าสภาพของสังคมเปลี่ยนไปแล้ว สมัยอาตมายังเด็ก ๆ พระเดินทางขึ้นรถยังฟรีอยู่ เข้าร้านอาหารพระภิกษุสงฆ์ก็ยังฉันฟรี แต่ในปัจจุบันนี้ไม่มีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นค่ารถ ค่ายา ค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาลล้วนแล้วแต่ต้องใช้เงินทองทั้งสิ้น แต่เนื่องจากว่าไม่มีใครสวดถอนสิกขาบทนี้ให้ ก็จำทนต้องโดนอาบัติกันไป ถึงเวลาตอนเย็นก็ต้องมา "สัพพา ตา อาปัตติโย อาโรเจมิ" ที่อาตมาก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่ทุเรศมากก็คือ ทำแล้วต้องมาแสดงคืนอาบัติ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-04-2017 เมื่อ 11:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 102 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 04-04-2017, 18:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ว่าถ้าไม่ทำก็กลายเป็นผิดทั้งสองส่วน ผิดส่วนแรกก็คือ ในส่วนของการทนุบำรุงพระศาสนา เราไม่มีโอกาสที่จะทนุบำรุงพระศาสนา ผิดในส่วนที่สองก็คือ จริยาพระสังฆาธิการ ที่ต้องทำตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ตามมติ ระเบียบ คำสั่งและกฏมหาเถรสมาคม

ในเมื่อมอบหมายงานให้มหึมามโหฬาร ถึงขนาดต้องช่วยงานสาธารณะ แต่ถ้าไม่มีอะไรให้เลยก็แปลว่าในส่วนนี้เราไม่สามารถที่จะบริหารจัดการ หรือดูแลพระศาสนาให้เป็นไปด้วยดีได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-04-2017 เมื่อ 20:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 93 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 04-04-2017, 18:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ฉะนั้น...จึงขอชี้แจงให้ญาติโยมทั้งหลายได้ทราบว่า เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เป็นความจำเป็นที่จะต้องมาหน้าด้านนั่งรับเงิน เพียงแต่ว่าครูบาอาจารย์ของอาตมาสอนไว้ว่า ที่พระพุทธเจ้าท่านห้ามไว้ เนื่องเพราะว่าเกรงว่าพระภิกษุจะเกิดความโลภ ไปสะสมเงินทองเพื่อหวังฐานะอันร่ำรวย แต่ของราไม่มีตรงจุดนี้ ถึงเวลาแล้วก็ผลักเข้ากองบุญการกุศลไป

ต้องถือว่าในส่วนของการละเมิดในศีลขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรงจุดนี้เหมือนกับการลงทุน การลงทุนถ้ามีส่วนของกำไรมากกว่าขาดทุนก็ลงทุนได้ ท่านที่มีความกล้าก็สามารถที่จะลงทุนเหล่านี้ได้ ท่านที่ไม่มีความกล้า ไม่สามารถที่จะลงทุนได้ ก็ต้องคอยหลบคอยเลี่ยง ซึ่งก็คือจำเป็นต้องอยู่ป่าอยู่ดง ไม่โผล่หน้าออกมาสงเคราะห์ประชาชนตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า

__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-04-2017 เมื่อ 20:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 97 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 04-04-2017, 18:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

จรถ ภิกฺขเว จาริก ดูก่อน...ภิกษุทั้งหลาย ขอเธอทั้งหลายจงเที่ยวไป

พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย เพื่อประโยชน์ของชนหมู่มาก เพื่อความสุขของชนหมู่มาก

โลกานุกมฺปาย เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก

ซึ่งสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นภาระหน้าที่ ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามอบให้แก่บรรดาศากยบุตรพุทธชิโนรสจึงกลายเป็นสิ่งที่ลักลั่นและไม่เข้มงวด ตามพระธรรมวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้
แต่เนื่องจากว่าสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้กลายเป็นภาระของทางคณะสงฆ์แทน

ในเมื่อเป็นภาระของทางคณะสงฆ์ ก็ต้องบริหารจัดการออกมาให้ดีที่สุด โดยที่ให้สภาพจิตของพวกเราเศร้าหมองให้น้อยที่สุดเท่าที่จะพึงเป็นไปได้ ยังโชคดีที่พระองค์ท่านอนุญาตไว้ว่า ลหุกาบัติ (อาบัติเบา) สามารถที่จะแสดงคืนได้ ฉะนั้น...ญาติโยมจะเห็นว่าก่อนสวดมนต์ทำวัตร ก่อนทำสังฆกรรมทั้งปวง บรรดาพระภิกษุก็จะมีการแสดงคืนอาบัติเพื่อความบริสุทธิ์เสียก่อน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-04-2017 เมื่อ 20:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 94 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 04-04-2017, 19:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

(ระหว่างการแสดงรำบายศรีสู่ขวัญ) ศาสนาทุกศาสนาในโลก เริ่มจากการนับถือผีมาก่อน ศาสนาพุทธของเราเป็นศาสนาที่ประกอบไปด้วยสันติภาพ เมื่อเข้าไปสู่สถานที่ไหน ก็สามารถปรับเข้ากับเจ้าของสถานที่นั้น อย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวโดยไม่ขัดกัน

ฉะนั้น..พิธีพราหมณ์หรือแม้กระทั่งการฟ้อนบายศรีสู่ขวัญต่าง ๆ ซึ่งล้วนแล้วมีมาแต่โบร่ำโบราณ
เมื่อมีศาสนาพุทธท่านทั้งหลายเหล่านี้ยังมีแนวปฏิบัติเดิมอยู่ เพียงแต่ว่าเข้ามานับถือพระพุทธศาสนาแล้ว จากในส่วนของการไหว้ผีก็เปลี่ยนมาเป็นการไหว้พระ ซึ่งความงดงามของวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมและประเพณีทั้งหลายเหล่านี้ เป็นจิตวิญญาณ เป็นรากฐาน เป็นภูมิปัญญาแต่ดั้งเดิม ของแต่ละชนชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรจะรักษาเอาไว้

โชคดีว่าศาสนาพุทธของเราไม่ว่าไปที่ไหน ก็ไม่มีการเบียดเบียนเจ้าของพื้นที่เดิม นอกจากพยายามที่จะปรับปรุงคำสอนต่าง ๆ ให้กลมกลืนและแนะนำในสิ่งที่ดีกว่าให้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-04-2017 เมื่อ 20:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 89 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 04-04-2017, 19:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ไม่เคยขัดหลักการของศาสนาใด อย่างเช่นชฎิลบูชาไฟ พระองค์ท่านก็ตรัสว่าการบูชาไฟภายนอกนั้นดี แต่ถ้าบูชาไฟภายในจะดียิ่งกว่า แล้วก็ให้คำแนะนำไว้อย่างในอาทิตตปริยายสูตร

ในส่วนของศีล ๕ มีมาแต่เดิมของศาสนาเชน โดยศาสามหาวีระหรือ
นิครนถนาฏบุตร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นว่าเคร่งครัดเกินไป ก็มาปรับจนกลายเป็นศีล ๕ อย่างของเราในทุกวันนี้

ดังนั้น...ในส่วนของที่เป็นพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริงนั้น ก็คือ มัชฌิมาปฏิปทาและอริยสัจ ๔ แต่ว่าในส่วนของหลักธรรมอื่น ๆ นั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยายามที่จะปรับปรุงให้เข้ากับแต่ละท่านแต่ละคน ที่มีพื้นฐานวัยวุฒิคุณวุฒิแตกต่างกันไป ทำให้ศาสนาพุทธของเราสามารถเจริญงอกงาม จนกลายเป็นศาสนาหลักอย่างหนึ่งของโลกได้

ญาติโยมจะได้เห็นศิลปะอันงดงามของพื้นฐานวัฒนธรรมภาคอีสาน ซึ่งประกอบไปด้วยชนเผ่าต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นภูไท ไทยวน ไทดำ ในภาคอีสานของเราเป็นพหุวัฒนธรรม คือ มีความหลากหลายในลักษณะอย่างนี้ เมื่อถึงเวลาท่านเหล่านี้มานับถือพระพุทธศาสนาแล้ว ก็นำเอาวัฒนธรรมเหล่านี้มาปรับ จนกระทั่งกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กลายเป็นความงดงามอย่างที่ได้เห็นกันอยู่เบื้องหน้านี้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-04-2017 เมื่อ 20:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 91 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #12  
เก่า 05-04-2017, 17:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ญาติโยมทั้งหลาย การเผยแผ่พะพุทธศาสนาของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีลีลาการแสดงธรรมต่าง ๆ กันไป ระกอบไปด้วย

สันทัสสนา ก็คือ สามารถชี้แจงข้อธรรมได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง สมาทปนา จูงใจน้อมนำให้คนทั้งหลายอยากเข้ามาปฏิบัติธรรม มุตเตชนา ทำให้กล้าหาญอยากจะทุ่มเทให้กับปฏิบัติธรรมท้ายที่สุดก็คือ สัมปหังสนา มีความรื่นเริงในธรรม ไม่เคร่งเครียดจนเกินไป

เรื่องสนุกในธรรมทั้งหลายในวันนี้ ถ้าพอเหมาะพอควร ก็สร้างปีติให้เกิดกับเราได้ส่วนหนึ่ง แต่ถ้าสนุกเกินไปก็จะกลายเป็นความฟุ้งซ่าน ล่วงเกินหลักธรรมนั้นไป ดังนั้น...ในส่วนทั้งหลายเหล่านี้ ต้องพอเหมาะ พอดี เป็นมัชฌิมาปฏิปทา จึงจะก่อให้เกิดประโยชน์ อะไรที่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป ถ้าไม่ใช่เป็นโทษ ก็ไม่สามารถที่จะสร้างสรรค์ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่


สิ่งทั้งหลายเหล่านี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนพวกเราเอาไว้ ๒,๖๐๐ ปีแล้ว แต่น้อยท่านที่ได้นำมาใช้ในชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก อาตมาเองร่ำเรียนมาจนจบปริญญาเอก ศึกษาทฤษฎีของฝรั่งมาจนหัวจะผุ ขอยืนยันว่าหลักการฝรั่งทั้งหมดลอกแบบไปจากศาสนาพุทธทั้งสิ้น ไม่มีอะไรเกินความรู้ในพระพุทธศาสนาเลย ซ้ำยังได้ไปแค่ผิวเผินเท่านั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-04-2017 เมื่อ 20:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 73 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #13  
เก่า 05-04-2017, 20:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แม้กระทั่งหลักการที่พวกเขามั่นจกันนักหนาว่าเป็นสิ่งใหม่ สร้างสรรค์ความเจริญให้แก่ทุกองค์กร ทุกหน่วยงาน อย่างเช่นการตรวจสอบและประเมินผล สิ่งทั้งหลายเหล่านี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ ๒,๖๐๐ ปีแล้ว ก็คือ หลักวิมังสา การไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอว่า เราทำอะไร ? เพื่ออะไร ? จุดมุ่งหมายอยู่ที่ไหน ? ตอนนี้เราทำไปถึงไหน ? เหลือระยะใกล้ไกลเท่าไร ? ยังตรงต่อเป้าหมายหรือไม่ ?

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเราไว้หมดแล้ว แต่ไม่ใช่ภาษาต่างประเทศเท่ ๆ ไม่ใช่ทฤษฎีหรู ๆ ที่เขาเอามาแหกตาเรา อาตมายืนยันว่าเขาเอามาแหกตาเรา เพราะว่าทฤษฎีทั้งหลายเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่มีพื้นฐานมาจากศาสนาพุทธทั้งหมด อาตมาศึกษามาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ยังไม่มีทฤษฎีไหนที่เหนือไปกว่าศาสนาพุทธเลย เพราะฉะนั้น...ของดีที่สุดนั้นอยู่ในบ้านของเรานี่เอง

ในเมื่อของที่ดีที่สุดอยู่ในบ้านของเรา ทำอย่างไรเราจะใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด
? ปัจจุบันนี้ทางด้านยุโรปตื่นตัวเกี่ยวกับศาสนาพุทธมาก แม้กระทั่งรัสเซียที่เป็นประเทศคอมมิวนิสต์ ตอนนี้คนสามสี่ล้านคนหันมาปฏิบัติในพระพุทธศาสนา โดยที่ใช้หลักการของศาสนาพุทธไปประยุกต์เข้ากับศาสนาคริสต์บ้าง ไปประยุกต์เข้ากับหลักของคอมมิวนิสต์เขาบ้าง

ตอนนี้รัสเซียกลายเป็นประเทศที่มีคนปฏิบัติตามหลักพุทธศาสนามากมายมหาศาล แต่ไม่ได้ประกาศตนเป็นพุทธศาสนิกชน เพียงแต่ว่านำเอาหลักการไปใช้ ซึ่งถ้าว่ากันโดยตรงแล้ว ท่านทั้งหลายเหล่านี้คือพุทธศาสนิกชนแน่นอน เพราะนำเอาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไปใช้ในชีวิตประจำวัน ตัวเราเองต่างหากที่ประกาศตนเป็นพุทธมามกะ เป็นผู้นั่งใกล้พระรัตนตรัย แต่เราได้นำเอาหลักธรรมทั้งหลายเหล่านี้ไปใช้จริง ๆ อย่างเขาบ้างหรือไม่ ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-04-2017 เมื่อ 20:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 72 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #14  
เก่า 05-04-2017, 20:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ฝรั่งทั้งหลายกำลังวิ่งมาหาหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างมหาศาล ทำให้พวกเขาที่แก่งแย่งชิงดีกันอยู่ตลอดเวลารู้จักหยุดคิด รู้จักทำชีวิตให้ช้าลง แต่ขณะเดียวกัน ตัวเราทั้งหลายซึ่งอยู่กับสิ่งดี สิ่งวิเศษเหล่านี้ เรากลับทิ้งสิ่งที่มีคุณค่า แล้ววิ่งไปคว้าเอาความเจริญทางโลก ซึ่งทางด้านฝรั่งเขาเริ่มเห็นโทษแล้ว เรากลับไปไขว่คว้าเอามาเป็นของเราเอง

เรากำลังเป็นหนูที่อยู่ในถังข้าวสาร เรามีข้าวสารจำนวนมหึมาอยู่ตรงหน้า แต่ไม่รู้จักกิน มัวแต่ชะเง้อชะแง้ไปดูว่าคนอื่นเขามีอะไรกินแล้วไปหากินตามเขา เผลอเมื่อไรถ้าโดนแมวเอาไปกินแล้ว จะรู้สึกว่าตัวเราเสียทีที่เกิดมา

หลักธรรมในพุทธศาสนาสามารถปรับใช้ได้ตั้งแต่เราลืมตาตื่นขึ้นมาจนหลับตาลงไป หลักการใหญ่ ๆ ก็คือ มีสติอยู่กับปัจจุบัน การมีสติอยู่กับปัจจุบันเหมือนจะพูดง่าย แต่จริง ๆ แล้วไม่ง่าย แต่ก็ไม่ใช่ของที่ยากจนเกินไป บางคนถามว่าแก่นธรรมในพุทธศาสนาคืออะไร ? ถ้าตอบชัด ๆ เลย ก็คือ การล่วงพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน แต่ก่อนที่จะเข้าถึงแก่นธรรมทั้งหลายเหล่านั้น หลักสำคัญที่สุดก็คือต้องมีสติ เป็นไปอยู่ในปัจจุบันธรรม
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-04-2017 เมื่อ 20:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 70 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #15  
เก่า 05-04-2017, 20:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในปัจจุบันนี้พวกเราส่วนใหญ่เป็นทุกข์เพราะความคิดตัวเอง ตอนเราเกิดความคิดขึ้นมาจะทำให้เราฟุ้งซ่าน เมื่อฟุ้งซ่าน รัก โลภ โกรธ หลง ก็ถล่มทลายเข้ามาหาเรา เพราะเราไปเปิดประตูรับโจรเข้าบ้านมาเอง รักษากำลังใจของตัวเองไม่ได้ เพราะว่าเราขาดสติ

ถ้าหากว่าญาติโยมหยุดกำลังใจตัวเองไว้กับปัจจุบัน ซึ่งวิธีหยุดที่ดีที่สุดก็คือ อยู่กับลมหายใจเข้าออกของเรา ถ้าความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก จะไม่ส่งไปในอดีต ไม่ส่งไปในอนาคต

พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า อะตีตัง นานวาคะเมยยะ นัปปะฏิกังเข อะนาคะตัง ไม่ควรที่จะคิดถึงความหลังคืออดีต ไม่ควรที่จะฟุ้งซ่านถึงเรื่องที่ยังมาไม่ถึง คืออนาคต ปัจจุปปันนัญจะ โย ธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสะติ ต้องหยุดอยู่กับปัจจุบันธรรม คือ ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ เท่านั้น จึงจะสามารถรู้แจ้งเห็นจริงได้ เพราะสภาพจิตที่อยู่กับปัจจุบันของเรานั้น รัก โลภ โกรธ หลง ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้

เมื่อ รัก โลภ โกรธ หลง ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ กรรมใหม่ของเราไม่มี กรรมเก่าอาศัยการขัดเกลาด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา ไปเรื่อย ๆ เหมือนกับเราเติมน้ำจืดลงในน้ำเค็ม เรามีน้ำเค็มอยู่ ๑ ถ้วย เอาน้ำจืดใส่ลงไปเรื่อย ๆ
ใส่ไปจนล้นภาชนะเลย น้ำเค็มไม่ได้หายไปไหน แต่น้ำจืดมีมากกว่า ความเค็มก็ไม่สามารถที่จะแสดงออกมาได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-04-2017 เมื่อ 20:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 68 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #16  
เก่า 05-04-2017, 20:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เนื่องจากว่าบุคคลทั่วไปไม่มีใครบริสุทธิ์บริบูรณ์มาตั้งแต่ก่อนเกิดหรือหลังจากเกิดมาแล้ว ทุกคนโดนย้อมด้วยอำนาจของกิเลส วิ่งไปหา รัก โลภ โกรธ หลง ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาดูโลก

เด็ก ๆ รู้จักไม่พอใจ รู้จักร้องไห้ รู้จักประท้วงพ่อแม่ แม้แต่เด็กก็มี รัก โลภ โกรธ หลง เต็มตัวแล้ว เพราะฉะนั้น...จึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะบริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง แต่เป็นไปได้ที่เราจะสร้างความดีให้มีมากกว่า เหมือนกับเติมน้ำจืดลงไปมาก ๆ น้ำเค็มไม่ได้หายไปไหน แต่ก็แสดงความเค็มออกมาไม่ได้ เมื่อถึงวาระนั้น คุณธรรมความดีที่ท่วมท้นอยู่ ก็จะนำเราก้าวไปสู่ทางตรง ซึ่งท้ายที่สุดถ้าหากรู้จักละรู้จักวางแม้แต่ความดี โอกาสที่เราจะหลุดพ้นจากกองทุกข์ก็มี เพราะแม้แต่ความดีก็ยังทำให้เรายึดติดอยู่


ตรงนี้โยมต้องฟังให้ดี ๆ อย่าฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับไปกระเดียด เราจะปล่อยวางความดีได้ เราต้องมีความดีเพียงพอเสียก่อน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-04-2017 เมื่อ 00:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 69 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #17  
เก่า 06-04-2017, 08:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เราจะเห็นว่าวัดป่าสายหลวงปู่มั่นเจริญมาก เพราะว่าหลักการปฏิบัติของหลวงปู่มั่นนั้น เหมาะสมกับบุคคลที่อยู่ภาคอีสานมากที่สุด คนอีสานมีกำลังใจเข้มแข็ง มีความเพียรพยายามมากกว่าทางภาคอื่น ๆ เพราะว่าดินฟ้าอากาศที่ไม่อำนวย ทำให้ทุกคนต้องใช้ความพยายามในการดำรงชีวิตที่หนักกว่าภาคอื่น ลำบากกว่าภาคอื่น หลักธรรมก็ต้องพอเหมาะพอสมแก่กัน

เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราทั้งหลายก็อาจจะคิดว่า หลักธรรมของพระพุทธเจ้ามีมากมายเหลือเกิน แล้วเราจะเอาตรงไหนที่เหมาะสมกับเรา ? นั่นก็คือสิ่งที่เราต้องเฟ้นหาจากครูบาอาจารย์ที่ท่านสั่งสอนา โดยเฉพาะครูบาอาจารย์ที่ท่านเข้าใจถึงหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง ซึ่งสมัยก่อนนั้นมีมาก สมัยอาตมาเด็ก ๆ วิ่งกราบครูบาอาจารย์ทางสายอีสานนี้มากมายมหาศาล ไปบ้านไหนช่องไหน หมู่เล็กบ้านน้อย แม้กระทั่งในป่า ในเขา ในถ้ำ มีครูบาอาจารย์ที่เป็นหลัก ๆ เต็มไปหมด

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้อยู่ที่ว่าท่านจะหาเจอหรือไม่ อาตมามั่นใจว่าถ้าหากว่าตั้งใจเข้าวัด เหมือนกับโยมหิวแล้วไปร้านอาหาร ตอนหิวนี่กินไม่เลือกหรอก ที่ไหนก็ไป แต่พออิ่มแล้วสิ จะเริ่มคิดว่าอาหารนี้ถูกปากเราหรือเปล่า ? ถ้าไม่ถูกปาก ไม่ถูกใจ เราก็ย้ายร้านใหม่ ย้ายไปย้ายมาเดี๋ยวโยมก็จะเจอร้านที่เหมาะสมแก่ตัวเอง คือเจอหลักธรรมที่เหมาะสมแก่ตัวเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-04-2017 เมื่อ 09:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 64 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #18  
เก่า 06-04-2017, 09:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่หลัก ๆ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ให้คำแนะนำไว้ว่า อันดับแรก...ในการปฏิบัติธรรมนั้น ต้องระมัดระวังไม่ให้ความชั่วเกิดขึ้นในใจของเรา ภาษาบาลีเรียกว่า สังวรปธาน แต่ถ้าหากว่ามีความชั่วเกิดขึ้นแล้วล่ะ ? ท่านให้ขับไล่ออกไป เรียกว่า ปหานปธาน

หลังจากนั้นเพียรพยายามสร้างความดีให้เกิดขึ้นในใจของเรา เรียกว่า ภาวนาปธาน ต่อจากนั้นล่ะ ? ก็รักษาความดีให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป เรียกว่า อนุรักขนาปธาน หลักการง่าย ๆ แค่นี้เอง
"ระวังอย่าให้ชั่ว ชั่วแล้วพยายามแก้ไขให้ดี สร้างความดีให้เกิด ความดีเกิดแล้วรักษาให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป"

หลักการง่าย ๆ สำหรับท่านทั้งหลายที่ได้ใช้ในชีวิตประจำวัน เรามีศีลเป็นพื้นฐานแล้ว มีสมาธิเป็นพื้นฐานแล้ว ก็เหลืออย่างเดียวที่จะสร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้นก็คือ ทำอย่างไรที่จะให้เราใช้ปัญญาเฟ้นหาหลักธรรมที่พอเหมาะพอสมแก่ตนเองให้มากที่สุด เพื่อที่เราจะได้สร้างประโยชน์ให้เกิดกับตนเองอย่างสูงสุด เมื่อได้ประโยชน์สูงสุดแล้ว สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็เป็นตัวอย่างแก่คนอื่นด้วย


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
งานวางศิลาฤกษ์วิหารสมเด็จองค์ปฐ
ณ อาศรมศรีชัยรัตนโคตร จ.สกลนคร
วันอาทิตย์ที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๐
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-04-2017 เมื่อ 09:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 66 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #19  
เก่า 06-04-2017, 09:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เสียดายว่าเนื้อหาหายไปหลายท่อนเลยค่ะ คาดว่าสัญญาณที่บันทึกคงขาดหายไป จึงได้เนื้อความมาแค่นี้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 63 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:02



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว