กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 18-02-2014, 18:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,775 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๗

ให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตัวเอง ตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดไว้ที่ลมหายใจของเรา หายใจเข้าออกยาว ๆ สัก ๒ - ๓ ครั้ง เพื่อไล่ลมหยาบออกให้หมดก่อน หลังจากนั้นก็ปล่อยลมหายใจให้เป็นไปตามปกติ หายใจเข้า..เอาความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..เอาความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ตามที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๓๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ ตรงกับวันตรุษจีน ก็คือวันนี้ตรงกับวันขึ้น ๑ ค่ำเดือนอ้ายของจีน แต่ว่าเป็นวันขึ้น ๑ ค่ำเดือน ๓ ของไทย คือเดือนของจีนจะเดินช้ากว่าเดือนไทยอยู่ ๒ เดือน แต่ขณะเดียวกัน เรื่องของขึ้นแรมคนจีนนับ ๑ ค่ำ ถึง ๓๐ หรือ ๒๙ ส่วนคนไทยของเรามีขึ้น ๑๕ ค่ำ มีแรม ๑๔ หรือ ๑๕ ค่ำ แต่ว่าท้ายสุดก็จะต้องไปปัดเศษกลายเป็นเดือนเกิน ซึ่งของไทยจะมีเดือน ๘ อยู่ ๒ หน แต่ของจีนจะมีเดือน ๓ อยู่ ๒ หน ก็ถือว่าเป็นหลักเกณฑ์ในการคิดคำนวณทางจันทรคติที่คล้ายคลึงกัน

ในวันตรุษจีนโดยการนิยมแล้วจะไม่พูดคำหยาบ จะไม่พูดในสิ่งที่ไม่เป็นมงคล จะสวมใส่เสื้อผ้าสีแดงเพื่อความเป็นมงคล เป็นต้น ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะว่าไปแล้ว ถ้าปีหนึ่งทำครั้งเดียวประโยชน์ก็จะน้อยเกินไป ถ้าเราสามารถควบคุมวาจาของเราได้ ไม่ให้พูดคำหยาบ ไม่ให้พูดส่อเสียด ไม่ให้พูดปด ไม่ให้พูดวาจาเพ้อเจ้อ ได้ตลอดทั้งปี จึงจะเป็นมงคลใหญ่ที่แท้จริง

ส่วนการสวมใส่เสื้อผ้าใหม่หรือเสื้อผ้าสีแดงนั้น ถือว่าเป็นแค่มงคลภายนอก ถ้าจะเอามงคลภายในจริง ๆ ก็ต้องประพฤติปฏิบัติในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญานั่นเอง ในส่วนของศีลนั้น เราต้องควบคุมในศีลของเราเอง ไม่ว่าจะเป็นศีล ๕ หรือศีล ๘ ก็ตาม ให้อยู่ในลักษณะที่บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ล่วงละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมผู้อื่นให้ละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล

ถ้าเราสามารถที่จะระมัดระวังได้ดังนี้ อำนาจของศีลก็จะก่อให้เกิดสมาธิ ถ้าเป็นสมาธิในเบื้องต้น เราก็สามารถตัดกิเลส เป็นพระโสดาบันกับพระสกทาคามีได้ ถ้าจะเอาจริง ๆ แน่นอนก็เป็นพระโสดาบัน เพราะว่ากำลังของพระสกทาคามีนั้น ถ้าไม่ได้มีความคล่องตัวในเรื่องของฌานจริง ๆ แล้ว บางทีปฐมฌานจะเอาไม่อยู่เหมือนกัน

เมื่อศีลก่อให้เกิดสมาธิ สมาธิก่อให้เกิดปัญญา เราก็ใช้ปัญญามาพิจารณาสภาพร่างกายของเรา ในเบื้องต้นก็คือจะต้องตายแน่นอน ถ้าเราเห็นเพิ่มเติมไปว่า ร่างกายนี้มีแต่ความสกปรกโสโครกเป็นปกติ ต้องคอยดูแลรักษา ขัดสี อบรม อยู่ตลอดเวลา ร่างกายของเราก็สกปรกเช่นนี้ ร่างกายคนอื่นก็สกปรกเช่นนี้ ร่างกายของสัตว์อื่นก็สกปรกเช่นนี้ ก็จะเกิดความเบื่อหน่าย ไม่มีความต้องการในร่างกายนี้ขึ้นมา อำนาจของศีล สมาธิ ก็จะส่งผลให้เราเกิดปัญญาในเบื้องกลาง สามารถตัดกิเลสเป็นพระอนาคามีได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-02-2014 เมื่อ 03:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 60 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 20-02-2014, 08:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,775 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อเราปฏิบัติในเรื่องของศีล ในเรื่องของสมาธิแล้ว ปัญญาจะเกิดขึ้นเมื่อสภาพจิตของเรานิ่งสงบอย่างแท้จริง ถ้าเรามองต่อไปถึงจุดสุดท้ายว่า ร่างกายนี้นอกจากสกปรกโสโครกแล้ว ยังไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา มีปกติเป็นสมบัติของโลก เพราะเกิดจากธาตุ ๔ คือดิน น้ำ ไฟ ลม มาประชุมรวมตัวกันชั่วคราว ให้เราได้อาศัยอยู่ตามบุญตามกรรมที่เราสร้างมา

ในเมื่อเป็นเพียงธาตุ ๔ เท่านั้น ก็ไม่มีอะไรที่ยึดถือมั่นหมายได้ว่าเป็นเราเป็นของเรา เมื่อถึงเวลาก็เสื่อมสลายตายพังไป บังคับบัญชาไม่ได้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีร่างกายเช่นนี้ เราไม่พึงปรารถนาอีก การเกิดมาอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อนเช่นนี้ เราก็ไม่ปรารถนาอีก เรามีความปรารถนาอย่างเดียวก็คือพระนิพพาน ถ้าเราสามารถปล่อยวางลงได้อย่างแท้จริง ไม่มีจิตยึดเกาะต้องการในขันธ์ ๕ นี้อย่างแท้จริง เราก็จะสามารถเข้าถึงปัญญาขั้นสูงสุด ตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน เป็นพระอรหันต์เข้าสู่พระนิพพานได้

ถ้าเราสามารถทำดังนี้ได้ คือปฏิบัติในเรื่องของศีล ของสมาธิ ของปัญญา เข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้า ไม่ว่าจะระดับพระโสดาบันก็ดี พระสกทาคามีก็ดี พระอนาคามีก็ดี หรือว่าพระอรหันต์ก็ตาม จึงจะเรียกได้ว่าเป็นมงคลอย่างแท้จริง และถือว่าเป็นมงคลที่ทรงตัวมั่นคง อยู่ยั้งยืนยงตลอดไป ไม่ใช่เป็นมงคลชั่วครั้งชั่วคราวในระยะปีใหม่ของจีนที่พวกเราได้กระทำกัน

อันดับต่อไปก็ให้ทุกท่านตั้งใจกำหนดการภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา



พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๗

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2014 เมื่อ 16:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:44



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว