กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 27-01-2017, 20:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๐

ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เราถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ วันนี้จะกล่าวถึงสังขารุเปกขาญาณ ซึ่งเป็นวิปัสสนาญาณที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในวิปัสสนาญาณทั้ง ๙

ในการปฏิบัติธรรมของเรานั้น ต้องเป้าหมายใหญ่คือหวังการหลุดพ้นจากกองทุกข์ การหลุดพ้นจากกองทุกข์จะมีได้ก็ต่อเมื่อเรารู้เห็นทุกอย่างได้ชัดเจน เกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด แล้วหยุดการปรุงแต่งทั้งปวง

การที่เราเบื่อหน่ายคลายกำหนัดนั้น ยังไม่สามารถที่จะล่วงพ้นจากกองทุกข์ได้ เพราะยังอยู่ในลักษณะของการเบื่อ ๆ อยาก ๆ แต่ถ้ามีสังขารุเปกขาญาณเข้ามาควบ จะทำให้สติ สมาธิ และปัญญาของเราสมบูรณ์พร้อม กิเลสต่าง ๆ ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ เพราะว่าสภาพจิตสังขารไม่ปรุงแต่ง ท่านถึงเรียกว่า สังขารุเปกขาญาณ ก็คือ สังขาร + อุเบกขา + ญาณ

สังขารในที่นี้ คือ จิตสังขาร การปรุงแต่งของใจเรา อุเบกขา คือ การปล่อยวาง วางเฉย ไม่ไปยุ่งเกี่ยวแตะต้อง ญาณ คือ เครื่องรู้ สังขารุเปกขาญาณ คือ เครื่องรู้ที่ทำให้เราปล่อยวาง ไม่ไปยุ่งเกี่ยวแตะต้อง จนกระทั่งกิเลสต่าง ๆ งอกงามไม่ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-01-2017 เมื่อ 20:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 27-01-2017, 20:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การที่เราจะไม่ไปแตะต้องให้กิเลสเจริญงอกงามนั้น ก็ต้องมีสติ สมาธิ ปัญญาที่แหลมคม และว่องไวเพียงพอ ทันทีที่ตาเห็นรูป ถ้ารู้ว่าเป็นหญิงหรือชายก็แปลว่าอันตรายมาถึงตัวเราแล้ว เพราะว่าสภาพจิตเริ่มปรุงแต่งแล้ว

ถ้าเราจะพ้นจากสภาพนี้ได้ จึงต้องมีสติ สมาธิ ปัญญาที่แหลมคม ว่องไว ตาเห็นรูป สภาพความแหลมคมว่องไวของสติปัญญาจะรายงานเราว่า ถ้าเราคิดจะมีโทษอย่างไร เมื่อเราเห็นโทษ เราก็จะงดเว้นความคิดอันนั้น ทุกอย่างก็หยุดหมด ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ เมื่อกิเลสทั้งหมดไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ นิโรธะคือความดับก็เกิดขึ้นในช่วงนั้น

ถามว่าตาเห็นรูป ทำอย่างไรจึงจะสักแต่ว่าเห็นได้ ? สภาพจิตของเราก็ต้องจดจ่ออยู่กับปัจจุบันธรรมเฉพาะหน้า โดยเฉพาะลมหายใจเข้าออก ถ้าสติ สมาธิ ปัญญาของเรารวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับลมหายใจเข้าออก เราก็จะไม่ไปปรุงแต่งว่ารูปที่เห็นนั้นสวยหรือไม่สวย ชอบใจหรือไม่ชอบใจ เป็นชายหรือเป็นหญิง เป็นต้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-01-2017 เมื่อ 20:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 28-01-2017, 18:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พอเราไม่ไปปรุงแต่งเพิ่มเติม ก็เหมือนกับที่อาตมาเคยเปรียบเทียบว่า เหมือนกับเอาเส้นก๋วยเตี๋ยวลวกน้ำร้อนเฉย ๆ ใส่น้ำเปล่ามา ไม่มีใครอยากแตะต้อง ไม่มีใครอยากกิน แต่ถ้าเราไปเพิ่มชูรส ใส่พริก ใส่น้ำตาล ใส่น้ำส้ม ใส่ผักต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหอม ผักชี ใส่ลูกชิ้น ใส่หมูสับ ยิ่งใส่มากเท่าไรก็ยิ่งชวนกินมากเท่านั้น แล้วเราก็จะกินไม่เลิก

แต่ถ้าเราไม่ใส่สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ก็คือไม่ไปปรุงแต่ง สภาพจิตหยุดการนึกคิดต่อได้ ตัวสังขารุเปกขาญาณก็จะเกิดขึ้นกับเรา สามารถนำไปใช้งานได้ตลอดทั้งชีวิต เพราะว่ากิเลสต่าง ๆ จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อ ตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส แล้วใจเอาไปครุ่นคิด ถ้าใจของเราหยุดคิด ทุกอย่างก็หยุดหมด ดับหมด ไม่มีอะไรก่อความเดือดร้อนให้แก่เราได้ นิโรธ คือ ความดับ ความสงบ ความร่มเย็นก็จะเกิดขึ้นกับเรา

ก่อนที่จะเข้าถึงสังขารุเปกขาญาณ เราจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องฝึกปฏิบัติภาวนา แล้วพิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราในร่างกายนี้ เมื่อตัวเราก็เป็นเช่นนี้ คนอื่นก็เป็นเช่นนี้ สัตว์อื่นก็เป็นเช่นนี้ ในเมื่อเราต้องเกิดมามีร่างกายเช่นนี้ เราไม่พึงปรารถนาอีก จิตก็เริ่มเบื่อหน่าย คลายกำหนัด นำตนเองออกห่างจากสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น

ถ้าสติคือการระลึกได้ รู้อยู่ว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเรา ทันทีที่รับสัมผัส ถ้าเราคิดเมื่อไรจะเป็นทุกข์เป็นโทษแก่เราอย่างไร เราก็จะใช้สมาธิในการหยุดยั้งตนเองและการคิดต่อ จนกระทั่งท้ายสุดปัญญาก็จะรู้แจ้งเห็นจริงว่า คิดอย่างไรเป็นโทษ คิดอย่างไรเป็นประโยชน์ แล้วเลือกเอาด้านที่เป็นประโยชน์ งดเว้นด้านที่เป็นโทษ กำลังใจของเราก็จะหลุดพ้นจากการร้อยรัดของกิเลส เพราะว่าเราไม่ไปสร้างสาเหตุ กิเลสก็เกิดไม่ได้ ความดับจึงเกิดขึ้นแก่เรา การเวียนว่ายตายเกิดก็จะไม่มีอีก

ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันอาทิตย์ที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๐

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เถรี)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2017 เมื่อ 19:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 28-01-2017, 20:00
สุธรรม's Avatar
สุธรรม สุธรรม is offline
ผู้ตรวจการณ์เว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jun 2009
ข้อความ: 4,751
ได้ให้อนุโมทนา: 268,255
ได้รับอนุโมทนา 837,247 ครั้ง ใน 12,756 โพสต์
สุธรรม is on a distinguished road
Default

ยังติดคำว่าบ้านวิริยบารมีอยู่อีก เปลี่ยนเป็นบ้านเติมบุญได้แล้วครับ
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:07



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว