กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 25-11-2017, 19:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,038 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ ๑๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ วันนี้เราจะมากล่าวถึงวิธีการจัดการกับรากเหง้าใหญ่ของกิเลสกัน กิเลสที่เป็นรากเหง้าใหญ่ของเราประกอบไปด้วย รัก โลภ โกรธ หลง ๔ ตัว ความจริงรักกับโลภเป็นตัวเดียวกัน เพราะว่าเรารักจึงอยากมี อยากได้ เพียงแต่ว่าวิธีการตัดรัก คือราคะ กับการตัดโลภ คือโลภะนั้น เป็นไปคนละแนวกัน

วันนี้จะกล่าวถึงในเรื่องของราคะก่อน ที่ในบาลีกล่าวว่า อาหาระนิททัง ภะยะเมถุนัญจะ สามัญญะเปตัปปะสุภีนะรานัง เรามากล่าวถึงตัวราคะ ก็คือ เมถุนะ การเสพกาม ซึ่งเป็นตัวที่ต้องบอกว่าฉุดรั้งให้สัตว์โลกติดอยู่กับวัฏสงสารมากต่อมากด้วยกัน

สิ่งนี้เป็นสัญชาตญาณ ถึงขนาดฝรั่งบอกว่า ถ้าเด็กเพิ่งจะเกิดมา ผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้ชายคนหนึ่ง เอาไปเลี้ยงไว้ในถ้ำโดยไม่ได้เห็นหน้าใครเลย ให้อาหารจนโตขึ้นมา สามารถที่จะมีลูกเองได้ เพราะว่าเรื่องเหล่านี้เป็นสัญชาตญาณที่ฝังลึกอยู่ในสายเลือด กล่าวคือเป็นสัญชาตญาณที่สืบเนื่องข้ามชาติข้ามภพมา

สำหรับนักปฏิบัติธรรม ในเรื่องของกามราคะก็มักจะกวนอยู่เนือง ๆ ทำให้เราหวั่นไหวหรือว่าเสียผลของการปฏิบัติ เพราะมัวแต่ไปฟุ้งซ่านครุ่นคิดนึกถึงอยู่เสมอ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-11-2017 เมื่อ 19:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 25-11-2017, 19:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,038 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วิธีการจัดการกับกามราคะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดให้ฝึกอสุภกรรมฐาน แต่อสุภกรรมฐานในปัจจุบันของเรานั้น หาฝึกได้ยาก เพราะว่าสมัยนี้ไม่มีป่าช้าผีดิบที่เอาศพไปทิ้งไว้เกลื่อนกลาดเหมือนสมัยที่อาตมายังเด็ก ๆ อยู่ แม้กระทั่งการการเผาศพก็ยังมีการพัฒนา ก็คือเป็นเตาเผาปลอดมลพิษ เป็นต้น

ครั้นจะไปดูสิ่งที่เป็นอสุภะ คือสิ่งไม่สวยไม่งาม ก็คงจะมีแต่ในตลาดสด อย่างเช่น เขียงหมูหรือเขียงปลา แต่คราวนี้เราใช้ระยะเวลาที่ไม่ยาวนานพอ หลายท่านฝึกอสุภกรรมฐานด้วยการไปโหลดรูปต่าง ๆ จากทางอินเตอร์เน็ตมาเพื่อใช้เพ่งพินิจพิจารณา อาตมาขอยืนยันว่าได้ผลน้อยมาก ที่ได้ผลน้อยมากเพราะว่าเราเห็นแต่รูป แต่ไม่มีกลิ่นประกอบด้วย

ซากศพเป็นที่น่ารังเกียจของเรานั้น ไม่ใช่อุจาดต่อสายตาอย่างเดียว แต่มีกลิ่นเป็นที่น่ารังเกียจมากด้วย ถึงขนาดที่เรายืนผิดที่ผิดทาง เผลอให้ลมกรรโชกพากลิ่นมาใส่ บางคนถึงขนาดเจ็บไข้ไม่สบายไปเลยก็มี

ในเมื่อเราไม่สามารถที่จะกระทำได้ชัดเจนในปัจจุบันนี้ แล้วเราจะใช้วิธีไหน ? องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีกายคตานุสติกรรมฐาน ก็คือให้เราระลึกเห็นความเป็นจริงในร่างกายของเรา ว่าประกอบไปด้วยเครื่องจักรกลต่าง ๆ ประกอบด้วยอาการ ๓๒ มีตับ ไต ไส้ ปอด ม้าม หัวใจ อวัยวะภายนอกภายในที่เห็นอยู่ ถ้าหากว่าไม่ชัดเจนก็ตลาดสด...ไปดู จะเป็นหมู เป็นไก่ เป็นปลา ก็มีลักษณะเดียวกับเรา

บุคคลที่คลุกคลีตีโมงอยู่อาจจะไม่รู้สึก อย่างเช่น คนขายหมู เป็นต้น แต่พวกเราที่นาน ๆ เดินผ่านเขียงขายเนื้อขายหมูกันแต่ละที บางทีแค่กลิ่นอย่างเดียวเราก็ทนไม่ได้แล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-11-2017 เมื่อ 19:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 26-11-2017, 09:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,038 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อไม่สามารถฝึกอสุภกรรมฐานได้โดยตรง ก็ต้องมาระลึกถึงตัวเรา ว่าตัวของเรานี้ประกอบไปด้วยความสกปรกเน่าเหม็นเป็นปกติ โดยเฉพาะอย่างพระภิกษุเมื่อบวชเข้าไป พระอุปัชฌาย์จะให้ตจปัญจกกัมมัฏฐาน ซึ่งแปลว่ากรรมฐาน ๕ อย่าง มีหนังเป็นที่สุด ซึ่งประกอบไปด้วย เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ

เกสาคือผม โลมาคือขน นขาคือเล็บ ทันตาคือฟัน ตโจคือหนัง เหตุที่พระอุปัชฌาย์อาจารย์ท่านมอบให้แก่กุลบุตรที่เข้าบวชเพราะว่า สิ่งทั้ง ๕ อย่างนี้เป็นตัวระงับกามราคะ ซึ่งเป็นสิ่งที่รบกวนผู้บวชโดยตรง การระงับกามราคะโดยการพิจารณาสิ่งของทั้ง ๕ นี้ว่าเป็นปฏิกูล มีแต่ความสกปรกเป็นปกติ เพราะว่าทั้ง ๕ ส่วนนี้เป็นสิ่งที่สกปรกและเห็นได้ง่าย

เราไม่สระผมสักวันสองวันก็ทนไม่ได้แล้ว แค่เส้นผมตกลงไปในอาหาร บางคนกินต่อไม่ได้เลย ขนในร่างกายของเราก็เช่นเดียวกัน ถึงเวลาก็เปรอะเปื้อนเหงื่อไคลไขมันต่าง ๆ ถ้าไม่ได้ชำระสะสางบางคนก็ตกสะเก็ดเป็นสังกะตังไปเลยก็มี พอถึงเวลาก็ส่งกลิ่นเหม็นรบกวนไปไกล ๆ

ลองดูลักษณะบรรดาท่านทั้งหลายที่สติไม่ดี ไม่ได้อาบน้ำหลาย ๆ วัน เดินมากลิ่นโชยไปไกลหลายวา เล็บก็เช่นเดียวกัน ไม่กี่วันก็สกปรก ถ้าไม่ได้ขัด ไม่ได้แคะ ไม่ได้ล้าง บางทีขี้เล็บดำปี๋ คนเห็นก็ไม่สามารถที่จะทนอาการรังเกียจได้

ถ้าไม่ได้แปรงฟันแค่มื้ออาหารมื้อเดียวหรือว่าวันเดียว เราก็รู้สึกว่าสกปรกจนทนไม่ได้ หนังก็เช่นเดียวกัน หนังเป็นที่ยึดของเส้นขน ในเมื่อขนสกปรกด้วยเหงื่อด้วยไคล หนังซึ่งเป็นตัวต้นเหตุนั้นจะสกปรกยิ่งกว่า โดยเฉพาะหนังนี้ห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ ทำให้เราไม่ได้เห็นเลือด ไม่ได้เห็นเนื้อ ไม่ได้เห็นเส้นเอ็น ไม่ได้เห็นกระดูกอยู่ข้างใน เป็นตัวปิดบังทำให้เราหลงผิดคิดว่าร่างกายนี้สวยงาม แล้วก็เกิดกามราคะขึ้นมาได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-11-2017 เมื่อ 17:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 27-11-2017, 15:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,038 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น...ในเมื่อไม่สามารถพิจารณาอสุภกรรมฐานได้ ก็ต้องมาดูในส่วนของกายคตาสติ หรือว่าย้อนกลับมาหาตจปัญจกกัมมัฏฐาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พินิจพิจารณาจนเห็นจริง ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีความสกปรกเป็นปกติ มีความเปลี่ยนแปลงเป็นปกติ ถึงเวลาเส้นผมก็เปลี่ยนสี จากสีดำเป็นสีเทา จากสีเทาเป็นสีขาว ไม่ว่าจะเป็นสีดำ สีเทา สีขาว ก็มีหมดอายุหลุดร่วงไปเป็นปกติ

เส้นขนก็เช่นกัน เล็บก็งอกยาวมาอยู่ตลอดเวลา ต้องคอยตัด ต้องคอยดูแล ฟันก็ต้องคอยขัดสี ต้องคอยแปรง แล้วก็ต้องมีหลุดมีร่วงไปตามอายุขัย ผิวหนังนอกจากต้องคอยดูแล อาบน้ำขัดสีทำความสะอาดอยู่เสมอ แล้ว ก็ยังเหี่ยวยังย่นไป ทั้ง ๆ ที่เราพยายามจะใช้ครีม ใช้น้ำมันทาผิว เพื่อชะลออายุไว้ ก็ไม่สามารถที่จะดำรงอยู่ได้อย่างที่เราต้องการ

ถ้าหากว่าเรามีกำลังใจฝืนความเป็นธรรมชาติ พยายามที่จะให้ตั้งอยู่เป็นปกติ เราก็จะมีแต่ความทุกข์ เพราะว่าความไม่พอใจเกิดขึ้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-11-2017 เมื่อ 19:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 27-11-2017, 15:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,038 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อเห็นชัดแล้วว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้บังคับบัญชาไม่ได้ สั่งการไม่ได้ ทะนุถนอมเท่าไรก็ก้าวไปหาความเสื่อมอยู่เสมอ ก็แปลว่าไม่มีอะไรที่เป็นเราเป็นของเรา เพราะถ้าเป็นของเราต้องสั่งได้ ต้องบังคับบัญชาได้ เป็นต้น

เมื่อเราเห็นชัดเจนแล้ว ว่าสภาพร่างกายนี้ทั้งภายนอกภายใน มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ มีความทุกข์เป็นปกติ ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายเป็นตัวเราตัวเขาได้ ร่างกายของบุคคลอื่นก็เช่นกัน ร่างกายของสัตว์ต่าง ๆ ก็เช่นเดียวกัน แม้กระทั่งวัตถุธาตุสิ่งของทั้งหลาย ก็ตกอยู่ใต้สภาพของไตรลักษณ์ คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายได้เช่นกัน ถ้าสภาพจิตของเราเห็นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นปกติ ยอมรับ...ถอนออกมาจากความต้องการทั้งหลายเหล่านั้น กามราคะย่อมไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นมารบกวนพวกเราได้ เราก็สามารถที่จะชนะกิเลสกองใหญ่ ๑ ใน ๔ กองนี้ ทำให้กามราคะไม่สามารถที่จะรบกวนเราได้

แต่ว่าโดยหลัก ๆ แล้วสำหรับท่านทั้งหลาย ถ้าหากว่ากำลังปัญญาอ่อนอยู่ เราก็ต้องอาศัยอานาปานสติ อานาปานสตินั้นก็คือการดูลมหายใจเข้าออกของเรา สร้างกำลังสมาธิให้สูงที่สุดเท่าที่จะสูงได้ แล้วเอากำลังสมาธิกดกามราคะให้ดับลงชั่วคราว หลังจากนั้นแล้วค่อยมาพินิจพิจารณาในการตัดละกันต่อไป

ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันศุกร์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-11-2017 เมื่อ 19:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:22



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว