กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 11-12-2009, 11:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,736 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๒

นั่งพยายามตั้งกายให้ตรงไว้ แต่ไม่ใช่ไปเกร็ง ก็คือให้กระดูกสันหลังตั้งตรงไว้ ถ้าว่ากันตามหลักโยคะแล้ว ก็เพื่อให้ปราณหรือลมหายใจของเรา สามารถเดินได้คล่องตัว หายใจเข้าออกยาว ๆ สักสองสามครั้ง ระบายลมหยาบให้หมดเสียก่อน แล้วหลังจากนั้นก็กำหนดรู้ลมหายใจพร้อมกับคำภาวนาของเรา หายใจเข้าพร้อมกับคำภาวนา หายใจออกพร้อมกับคำภาวนา หรือจะกำหนดเป็นภาพพระ หายใจเข้าภาพพระไหลเข้าไป หายใจออกภาพพระไหลออกมาก็ได้

วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒ ปกติแล้ววันนี้จะเป็นวันที่ในหลวงเสด็จออกมหาสมาคม พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่ประชาชน แต่ระยะนี้พระวรกายของพระองค์ท่านไม่แข็งแรง คงจะเสด็จออกในวันที่ ๕ วันเดียวเท่านั้น เราทั้งหมดที่ตั้งใจปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา ก็ขอให้ตั้งใจทำให้ดี เพื่อที่จะได้อุทิศถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อให้พระองค์ท่านมีพระพลานามัยที่แข็งแรง อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของเราไปนาน ๆ

เมื่อจับลมหายใจเข้าออกจนกระทั่งกำลังใจทรงตัวแล้ว อย่าลืมแผ่เมตตาไปด้วย ตั้งใจว่าเราไม่เป็นศัตรูกับใคร ยินดีเป็นมิตรกับคนและสัตว์ทั่วทั้งโลก ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายล่วงพ้นจากความทุกข์ มีแต่ความสุขความเจริญโดยถ้วนหน้ากัน หลังจากที่แผ่เมตตาจนกำลังใจทรงตัวแล้ว ก็ให้พิจารณาดูให้เห็นว่าร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของคนอื่นก็ดี วัตถุธาตุสิ่งของก็ดี ล้วนแล้วแต่มีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง และสลายตัวไปในที่สุด ระหว่างที่ดำรงอยู่นั้นก็มีแต่ความทุกข์เป็นปกติ ท้ายสุดก็ไม่สามารถบังคับบัญชา ไม่สามารถจะสั่งมันให้ทรงตัวอยู่ได้ มันก็สลายตัวไปไม่เหลืออะไรอยู่เลย

เนื่องจากว่าวันนี้เป็นวันที่ ๔ ธันวาคม ถ้าเราจะพิจารณาในเรื่องที่กล่าวมา ซึ่งเรียกตามภาษานักปฏิบัติว่า สามัญญลักษณะ คือ ลักษณะความเป็นปกติของทุกสิ่งทุกอย่าง จะต้องประกอบไปด้วยอนิจจลักษณะ ก็คือ ความไม่เที่ยงเป็นปกติ ทุกขลักษณะ คือ จะต้องทนอยู่กับมัน และอนัตตลักษณะ ก็คือ การที่ไม่สามารถยึดถือมั่นหมาย เป็นเราเป็นเขาได้ ในเมื่อเป็นวันที่ใกล้วันเฉลิมพระชนมพรรษา เราก็มาพิจารณาถึงองค์ในหลวงของเราก็ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-12-2009 เมื่อ 14:52
สมาชิก 59 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 11-12-2009, 11:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,736 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อันนี้เป็นการดูข้างนอก ดูว่าพระองค์ท่านตั้งแต่ประสูติในปี ๒๔๗๐ เป็นต้นมา พระองค์ท่านก็เติบโตขึ้นมา จากหม่อมเจ้าเล็ก ๆ ค่อย ๆ เติบโตขึ้นมาเป็นเด็กวัยรุ่น..เป็นหนุ่ม..ทรงเสด็จขึ้นครองราชย์..ทรงอภิเษกสมรส..ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจต่าง ๆ เพื่อประเทศชาติและประชาชนโดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก เราจะเห็นว่าอายุกาลของพระองค์ผ่านวัยไปเรื่อย จากวัยหนุ่มก็เริ่มเข้าสู่วัยกลางคน และวัยชรา สภาพพระวรกายของพระองค์ท่านก็เหมือนกับเราทั้งหลายนี่เอง ก็คือ เป็นทารก เป็นเด็กเล็ก เป็นเด็กโต เป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นวัยกลางคน เป็นคนแก่ มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ เปลี่ยนแปลงแปรปรวนเรื่อย ๆ ไปตลอดเวลา

นอกจากความปกติในอนิจจลักษณะนี้แล้ว ความทุกข์ก็ยังปรากฏแก่พระองค์เป็นปกติ สภาพร่างกายของพระองค์นั้นประกอบไปด้วยความหิว ความกระหาย ความร้อน ความหนาว ความเจ็บไข้ได้ป่วย เหมือนเราทั้งหลายเช่นกัน โดยเฉพาะหน้าที่ต่าง ๆ ที่พระองค์ทรงแบกเอาไว้เพื่อคนไทยทั้งชาติ ทำให้ต้องตรากตรำพระวรกาย ไปแทบจะทุกซอกทุกมุมของประเทศไทย มีแต่ความเหนื่อยยาก ในสภาพเยี่ยงนั้นก็คือความทุกข์นั่นเอง โดยเฉพาะความทุกข์ของพระองค์ที่แบกภาระในการดูแลพสกนิกรของพระองค์ที่เปรียบเสมือนลูก ๆ จำนวน ๖๐ กว่าล้าน นั่นเป็นความทุกข์ที่หนักหนาขนาดไหน? ถ้าเป็นครอบครัวของเราอาจจะมีสองคนสามีภรรยา หรือมีลูกเล็ก ๆ สักคนหนึ่ง ก็เป็นสามคน หรือถ้ามีสักสองคนก็เป็นสี่คน ถ้าคุณพ่อคุณแม่อยู่ก็เป็นหกคน ครอบครัวเล็ก ๆ ของเรายังดูแลบริหารให้ดีได้ยาก ยังต้องเหน็ดเหนื่อยในการทำมาหากินเพื่อเลี้ยงตนเอง เลี้ยงครอบครัว มีแต่ความทุกข์ แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ต้องดูแลคนทั้งประเทศ ซึ่งประกอบไปด้วยพสกนิกร ๖๐ กว่าล้านนี้ พระองค์แบกความทุกข์เอาไว้หนักหนาสาหัสอย่างไร? เราคงพอจะนึกออก

นอกจากความทุกข์ปกติที่เราเป็นอยู่แล้ว พระองค์ท่านยังมีความทุกข์ของประเทศชาติ ซึ่งจะต้องแบกเอาไว้อย่างเต็มที่ด้วย ภาระหน้าที่ของเราไม่ได้หนึ่งในล้านของพระองค์ท่าน เราก็ว่าทุกข์มากแล้ว พระองค์ท่านจะต้องทนทุกข์มากขนาดไหน? ยิ่งทรงชราภาพไปทุกวัน แต่ว่าความหนาว ความร้อน ความหิว ความกระหาย ความเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ได้น้อยลงเลย โดยเฉพาะในปัจจุบัน พระองค์ท่าน ทรงเสด็จไปอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นปกติ เราก็จะเห็นได้ว่า แม้แต่บุคคลที่ทุกคนในประเทศพร้อมจะมอบกายถวายชีวิตให้ พระองค์ท่านก็ยังพบกับความทุกข์เป็นปกติ ดังนั้น..ตัวเราจะขึ้นชื่อว่าไม่ทุกข์นั้นไม่มี ท้ายที่สุดแล้วสักวันหนึ่งพระองค์ก็ต้องสวรรคต เสด็จสู่สวรรคาลัย จากเราไป ไม่สามารถที่จะยึดถือเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรต่อไปได้ นั่นคือสภาพที่ไม่มีอะไรเหลือเป็นตัวตนอยู่ เรียกกันว่า อนัตตา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-12-2009 เมื่อ 14:51
สมาชิก 60 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 12-12-2009, 09:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,071
ได้รับอนุโมทนา 4,399,736 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าจะดูย้อนสูงขึ้นไป สมเด็จพระบรมราชชนก สมเด็จพระบรมราชชนนี สวรรคตไปแล้วทั้งคู่ ถ้าหากว่าจะดูสูงขึ้นไปอีก สมเด็จพระอัยยิกา ก็คือรัชกาลที่ ๕ ตลอดจนกระทั่งพระมเหสีก็สวรรคตไปก่อนหน้านั้นนานแล้ว ถ้าหากดูสูงขึ้นมาอีก สมเด็จพระมหัยยิกา ก็คือ รัชกาลที่ ๔ และพระมเหสีก็สวรรคตสิ้นไปนานแล้ว แต่ละรุ่น แต่ละลำดับของบรรพบุรุษ ก็ล้วนแล้วแต่เสด็จสู่สวรรคาลัยไปตามลำดับ ๆ ไม่สามารถที่จะทรงอยู่ได้ แม้ในปัจจุบัน พระวรกายของพระองค์ท่านก็แสดงความเป็นอนัตตา ไม่สามารถบังคับบัญชาได้อย่างใจ มีสภาพที่เรียกง่าย ๆ ว่าเหมือนคนแก่ทั่ว ๆ ไป มีสุขภาพทรุดโทรมไปด้วยความเจ็บไข้ได้ป่วยนั่นเอง

ดังนั้น ถ้าหากจะนับในหมู่คนที่เลิศที่สุดในประเทศของเรา โดยเอาในหลวงท่านเป็นหลักเป็นประธาน เราก็จะเห็นว่าพระองค์ท่านนั้นก็ประกอบด้วยความไม่เที่ยงเป็นปกติ ประกอบไปด้วยความทุกข์เป็นปกติและท้ายที่สุดก็เสื่อมสลาย สวรรคตไปเป็นปกติ เหมือนกับเราท้ายสุดก็ต้องเสื่อมสลายตายพังไปเช่นกัน ในเมื่อร่างกายมีความไม่เที่ยงอย่างนี้เป็นปกติ มีความทุกข์อย่างนี้เป็นปกติ และท้ายสุดไม่อาจยึดถือมั่นหมายเป็นเรา เป็นของเราได้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีสภาพอย่างนี้ คือ เกิดมาด้วยความทุกข์ เกิดมาในโลกที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนนี้ เราก็คงไม่พึงปรารถนามันอีก ถ้าอย่างนั้นก็เหลือที่เดียวที่เราจะไป คือพระนิพพาน

การจะไปพระนิพพานนั้น อันดับแรกต้องมีความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงใจ อันดับที่สองต้องรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์ ไม่ล่วงละเมิดด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้คนอื่นเขาทำ และไม่ยินดีเมื่อเห็นคนอื่นเขาทำ ท้ายสุดมีความรู้ตัวอยู่เสมอว่าร่างกายที่ไม่เที่ยงอย่างนี้ มีแต่ความทุกข์อย่างนี้ ในที่สุดก็ต้องเสื่อมสลายตายพังอย่างนี้ เราไม่ต้องการอีกแล้ว เราต้องการที่เดียวคือพระนิพพาน เมื่อสรุปรวบยอดมาตรงนี้ได้ ก็ยกกำลังใจเกาะพระนิพพาน หรือเกาะภาพพระของเราเอาไว้

ถ้ายังมีลมหายใจเข้าออกอยู่ ก็ให้กำหนดรู้ลมหายใจไป ถ้าไม่มีลมหายใจเข้าออก ไม่มีคำภาวนา ก็ให้กำหนดรู้อยู่ว่า ไม่มีลมหายใจเข้าออก ไม่มีคำภาวนา กำหนดรู้อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้ยินเสียงสัญญาณบอกหมดเวลา


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันศุกร์ที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๒
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-12-2009 เมื่อ 10:25
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:15



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว