กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 11-12-2011, 21:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,034 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๔

ให้ทุกคนขยับตัวนั่งในท่าที่สบาย หายใจเข้าออกยาว ๆ สัก ๒-๓ ครั้ง เพื่อระบายลมหายใจหยาบออกให้หมดก่อน แล้วหลังจากนั้นก็ปล่อยลมหายใจให้เป็นไปตามความต้องการของร่างกาย หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา

วันนี้..เป็นวันศุกร์ที่ ๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ ระยะนี้น้ำที่ท่วมก็เริ่มลดลงมาก หลายต่อหลายแห่งจัดการทำความสะอาดกันครั้งใหญ่ ไม่ว่าหน่วยงานราชการหรือเอกชนต่างก็มี Big Cleaning Day กัน นี่ถือว่าเป็นการทำความสะอาดภายนอก

แต่สำหรับนักปฏิบัติของเรานั้น การทำความสะอาดของเราก็คือ การชำระจิตใจของตนให้ผ่องใสจากกิเลส นี่คือหนึ่งในโอวาทปาติโมกข์ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ เป็นหลักการปฏิบัติของพระพุทธศาสนา คือ สพฺพปาปสฺส อกรณํ ให้ละเว้นจากการกระทำความชั่วทั้งปวง

กุสลสฺสู ปสมฺปทา การบำเพ็ญความดีให้ถึงพร้อม สจิตฺตปริโยทปนํ การชำระจิตของตนให้ใสสะอาด ปราศจากกิเลส สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเราทำได้ ถึงจะนับว่าเป็นการทำความสะอาดอย่างแท้จริง แต่ว่าการทำความสะอาดภายนอก ก็สามารถที่จะโยงเข้าหาความสะอาดภายในได้

อย่างพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชวชิรโมลี วัดสวนพลู ท่านเป็นเจ้าคุณ จบเปรียญธรรม ๙ ประโยค เป็นเจ้าอาวาสวัดสวนพลู เป็นรองเจ้าคณะภาค ๑๐ หลวงพ่อเจ้าคุณยังกวาดวัดอยู่ทุกวัน เพราะฉะนั้น..วัดสวนพลูจะเป็นวัดที่สะอาดมาก ต่อให้พระเณรไม่กวาด หลวงพ่อเจ้าอาวาสก็ไปกวาดเอง
หลวงพ่อเจ้าคุณพระราชวชิรโมลีท่านกล่าวว่า การทำความสะอาดวัด ปัดกวาดเช็ดถู ถ้าเราเอาสติตั้งไว้เฉพาะหน้า ก็คือการปฏิบัติธรรมนั่นเอง นี่เป็นสิ่งที่ยืนยันว่า การทำความสะอาดภายนอก ก็สามารถที่จะโยงเข้าไปสู่การทำความสะอาดภายในได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-12-2011 เมื่อ 02:08
สมาชิก 95 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 12-12-2011, 11:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,034 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้การทำความสะอาดภายในเราต้องทำอย่างไร ? เราก็ต้องทำความสะอาดด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ศีลเป็นเครื่องชำระกิเลสเบื้องต้นที่เรียกว่า วีติกกมกิเลส กิเลสที่เกิดจากการล่วงละเมิดต่อข้อห้ามต่าง ๆ ด้วยกายและวาจา อย่างเช่น การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม การดื่มสุราเมรัย นี่เป็นการล่วงละเมิดด้วยกาย การพูดโกหก พูดคำหยาบ พูดส่อเสียด พูดวาจาไร้ประโยชน์ เป็นการล่วงละเมิดด้วยวาจา

ถ้าเรารักษาศีลได้ ก็แปลว่าสามารถกำจัดวีติกกมกิเลสส คือกิเลสที่เกิดจากการล่วงละเมิดนี้ออกจากใจของเราได้ เท่ากับว่าความสะอาดในเบื้องต้นของจิตใจของเราก็มีขึ้นได้ เกิดขึ้นได้

หลังจากนั้นก็ต้องใช้สมาธิในการชำระล้าง กำจัดปริยุฏฐานกิเลส ก็คือกิเลสที่ก่อตัวอยู่ภายใน พร้อมต่อการล่วงละเมิดด้วยกาย ด้วยวาจา ก็คือตัว ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ นั่นเอง

ตัวราคะจะทำให้เราล่วงละเมิดลูกเขาเมียใคร ตัวโทสะจะทำให้เราฆ่าเขาทำร้ายเขา ตัวโลภะจะทำให้เราลักขโมยช่วงชิงของคนอื่น เป็นต้น ถ้าหากว่าเราสามารถทรงสมาธิอยู่ได้ กำลังใจทรงตัวต่อเนื่องอยู่ตลอด ก็จะสามารถระงับยับยั้งกำจัดปริยุฏฐานกิเลส ที่อยู่ในใจของเราลงได้ เป็นการชำระล้างทำความสะอาดใจของเราในระดับที่ ๒

ส่วนระดับที่ ๓ นั้นเป็นการชำระล้างทำความสะอาดจิตใจขั้นสูงสุด ก็คือใช้ปัญญาในการกำจัดอนุสัยกิเลส คือกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดานของเรา เหมือนกับตะกอนที่นอนอยู่ก้นภาชนะ ถ้าไม่มีใครไปแกว่งไปกระทบ ตะกอนก็นอนนิ่งอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าหากว่ามีการกระทบเมื่อไร ตะกอนก็จะฟุ้งขึ้นมาทันที

อนุสัยกิเลส อย่างเช่น กามราคานุสัย กิเลสคือกามราคะที่นอนเนื่องอยู่ ปฏิฆานุสัย กิเลสก็คือเมื่อกระทบแล้วเกิดโทสะนอนเนื่องอยู่ในใจ หรือ อวิชชานุสัย กิเลสก็คืออวิชชา ความมืดบอด ความหลงผิดที่นอนเนื่องอยู่ในใจของเรา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้บางทีถ้าศีลเราดี สมาธิเราดี ก็จะโดนกดให้นิ่งสนิทไป ไม่รู้ว่ายังมีอยู่ในใจ แต่ถ้าได้รับการกระทบเมื่อไร ก็จะรู้ทันทีว่าเรายังมีกิเลสอยู่ในใจอย่างครบถ้วน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-12-2011 เมื่อ 16:29
สมาชิก 76 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 13-12-2011, 09:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,034 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ตัวอย่างเช่นในอรรถกถา มหาสติปัฏฐานสูตร กล่าวถึงภิกษุรูปหนึ่งเจริญสมาธิภาวนาจนกระทั่งได้อภิญญาสมาบัติ กำลังใจทรงตัวตั้งมั่น รัก โลภ โกรธ หลง ไม่สามารถกำเริบได้ชั่วคราว ก็เกิดความหลงผิดพยากรณ์ว่า ตนเองเป็นพระอรหันต์แล้ว

เมื่อเป็นดังนั้นท่านผู้เป็นพระอรหันต์ที่แท้จริง เกรงว่าท่านจะสูญจากความดี จึงมาออกอุบายว่า “อาวุโส...เธอจงใช้อำนาจอภิญญาของเธอ บันดาลให้เกิดเป็นช้างตัวกลั่นที่ตกมันกล้า วิ่งเข้ามาหาพวกเราดูทีฤๅ” ภิกษุผู้พยากรณ์ว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ ก็สามารถที่จะเนรมิตช้างตัวมหึมาที่กำลังตกมัน วิ่งแผดเสียงชูงวงเข้าใส่ ปรากฏว่า ทันทีที่เห็นภาพนั้น ความกลัวที่นอนนิ่งอยู่ในใจของท่านก็กำเริบขึ้นมา ถึงขนาดต้องวิ่งหนีจากที่นั้น ทั้ง ๆ ที่เป็นภาพที่เกิดจากอำนาจอภิญญาของตนเองบันดาลขึ้น

พระภิกษุผู้เป็นอรหันต์จึงได้ทำลายเสียซึ่งมายาภาพนั้น แล้วก็กล่าวเตือนสติว่า “ดูก่อน..อาวุโส บัดนี้เธอเห็นแล้วหรือไม่ว่า กิเลสทั้งหลายยังนอนเนื่องอยู่ในจิตใจของเธอเป็นปกติ เพียงแต่โดนอำนาจสมาธิกดนิ่งลงชั่วคราวเท่านั้น เธอจงอย่าปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์อีกเลย ขอให้เร่งกำจัดกิเลสในใจให้หมดเสียเถิด” พระภิกษุผู้เคยปฏิญาณตนเป็นพระอรหันต์ เมื่อทราบว่าตัวเองยังกลัวตายอยู่ ยังกลัวภัยอยู่ แสดงว่าไม่ใช่พระอรหันต์อย่างแน่นอน ก็รีบใช้กำลังใจของตนเองชำระจิตใจให้ผ่องใสจากกิเลส ในที่สุดก็สามารถปล่อยวางสภาพที่ห่วงใยในขันธ์ ๕ ร่างกายนี้ลงได้ จึงกลายเป็นพระอรหันต์อย่างแท้จริง

ดังนั้น..เราทั้งหลายเมื่อเห็นบุคคลภายนอก ทำการชำระล้างอาคารบ้านเรือนต่าง ๆ ที่เกิดจากสภาพน้ำท่วมให้สะอาด หรือว่า ดูตัวอย่างหลวงพ่อพระราชวชิรโมลี ที่ท่านสามารถโยงการทำความสะอาดภายนอก เข้าสู่การทำความสะอาดภายในได้ก็ดี ก็ขอให้ทุกคนเร่งปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญาของตน ซึ่งในระดับนี้นั้นสำคัญอยู่ตรงสมาธิภาวนา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 13-12-2011 เมื่อ 19:10
สมาชิก 70 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 13-12-2011, 19:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,034 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เพราะว่าศีลพวกเราสามารถรักษาได้ทุกสิกขาบทอยู่แล้ว ทั้งไม่ละเมิดศีลด้วยตัวเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นทำ ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นกระทำ

ในเรื่องของปัญญา พวกเราแม้ว่าจะสามารถใช้ปัญญาได้แค่ระดับต้น ๆ โดยการพิจารณาจากสัญญา ก็คือความจำได้หมายรู้ของตนก็จริง แต่ก็จัดว่าเป็นปัญญาในระดับจินตามยปัญญาแล้ว

ในส่วนที่สำคัญก็คือว่าสมาธิของเรามีกำลังเพียงพอหรือไม่ ? ถ้ากำลังสมาธิเพียงพอ สภาพจิตมีความแหลมคมว่องไว ก็จะไปควบคุมศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ในขณะเดียวก็จะไปเสริมปัญญา ให้มีกำลังในการตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานลงได้

ดังนั้น..ถ้าหากพวกเราจะชำระใจของตนให้ผ่องใสจากกิเลส ในระดับการปฏิบัติของตนในปัจจุบันนั้น ให้เน้นเรื่องสมาธิเป็นหลัก เมื่อสมาธิทรงตัวจนถึงที่สุด ไปต่อไม่ได้แล้วก็คลายกำลังใจออกมา เพื่อพิจารณาให้เห็นสภาพความเป็นจริงของร่างกายนี้ ของร่างกายผู้อื่น ของโลกนี้ ของสรรพวัตถุธาตุทั้งหลาย

ว่ามีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง และสลายตัวไปในที่สุด ระหว่างที่ดำรงคงอยู่ก็ประกอบไปด้วยทุกข์เป็นปกติ และท้ายสุดก็ไม่สามารถยึดถือมั่นหมายเป็นตัวเป็นตนได้ ต้องมีการเสื่อมสลายพังไป ไม่มีเหลือ เมื่อเป็นดังนั้น..เราก็ควรที่จะหาทางล่วงพ้น จากความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรเป็นตัวตนเหล่านี้ ก็คือทางที่หลุดพ้นไปสู่พระนิพพาน

เมื่อพิจารณาจนกำลังใจมั่นคงแล้วก็เอาใจของเราเกาะพระนิพพาน หรือเกาะภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาไว้ ตั้งใจว่าถ้าเราต้องตายลงไปเมื่อไร เราขอมาอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระนิพพานแห่งเดียวเท่านั้น

ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านตั้งใจดูลมหายใจเข้าออกของตนเอง พร้อมกับคำภาวนาหรือภาพพระของตนตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินเสียงสัญญาณบอกหมดเวลา


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๔
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-12-2011 เมื่อ 02:31
สมาชิก 59 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 04-02-2012, 14:54
ชินเชาวน์'s Avatar
ชินเชาวน์ ชินเชาวน์ is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Oct 2008
ข้อความ: 259
ได้ให้อนุโมทนา: 13,956
ได้รับอนุโมทนา 50,227 ครั้ง ใน 1,280 โพสต์
ชินเชาวน์ is on a distinguished road
Default

สามารถรับชมได้ที่

http://www.sapanboon.com/vdo/demo.ph...ame=2554-12-09

ป.ล.
- สามารถชมบนไอโฟนและแอนดรอยด์ได้
- ห้ามคัดลอกไฟล์ไปเผยแพร่ที่อื่นเด็ดขาด !
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:37



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว