กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 15-03-2010, 12:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๓

นั่งในท่าที่สบายของทุกคน ผ่อนคลายให้ได้มากที่สุด เพียงแต่ว่าตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดไว้เฉพาะหน้า คือให้ความรู้สึกของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา หายใจเข้าพร้อมกับคำภาวนาที่เราถนัด หายใจออกพร้อมกับคำภาวนาที่เราถนัด เพื่อสร้างความมั่นคงให้เกิดขึ้นแก่จิตของเราก่อน

สำหรับวันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ เป็นวันแรกของการปฏิบัติกรรมฐานในเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งช่วงนี้เหตุการณ์บ้านเมืองทั้งหลายก็ไม่ค่อยจะปกตินัก

มีญาติโยมสอบถามถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในบ้านในเมือง การสอบถามนั้น อยากจะบอกว่าจริง ๆ แล้ว ก็คือ กลัวว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นกับตนเอง หรือกับคนที่ตัวเองรัก ความที่กลัวจะเกิดเรื่องนั้น ขอให้เข้าใจว่าเป็นความกลัวตาย เพราะว่าถ้าอันตรายรุนแรงมากก็อาจจะถึงตาย ตัวเราหรือคนที่เรารักได้ตายไป เป็นต้น จึงกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ความกลัวทุกประเภท มีพื้นฐานมาจากการกลัวตายทั้งหมด

เหตุที่เรากลัวตายเพราะเรายังไม่รู้ว่าความตายที่แท้จริงนั้นคืออะไร ถ้าเรารู้จักความตายอย่างถ่องแท้ ความกลัวก็จะหมดไป

ความตายนั้น ที่จริงแล้วเป็นการเปลี่ยนรูปเปลี่ยนขันธ์ไปตามบุญตามบาปที่เราสร้างมาเท่านั้น พูดง่าย ๆ ก็คือว่า การตายนั้น ตายแต่ร่างกาย แต่ใจนั้นไม่ได้ตายไปด้วย เมื่อถึงเวลาแล้ว บุญบาปที่เราทำอยู่ ก็ส่งให้ใจนั้นเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิไป ไปยึดถือรูปอื่นขันธ์อื่น ตามกำลังบุญกำลังบาปของตน

ถ้าสร้างบาปไว้มาก ก็เป็นสัตว์นรกบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสุรกายบ้าง เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง ถ้าหากทำความดีไว้บ้าง ก็ได้เกิดเป็นมนุษย์ ถ้าหากดีกว่านั้นก็ได้เกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า ดีปานกลางก็เกิดเป็นพรหม ถ้าดีถึงที่สุดก็หลุดพ้นไปสู่พระนิพพาน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายนั้นเป็นของเที่ยง คือ ชีวิตของเรานั้นจะตายเมื่อไรก็ไม่แน่ แต่ความตายนั้นต้องมาถึงแน่นอน พระองค์ตรัสไว้อีกว่า สัตว์โลกทั้งหลายเกิดมาเท่าไร ตายหมดเท่านั้น เพียงแต่ว่าระยะในการเกิดนั้นใช้ระยะเวลาประมาณสิบเดือน แต่เวลาจะตายนั้นใช้ระยะเวลาหลายสิบปี เราจึงคิดว่ามีการเกิดมากกว่าการตาย แต่ความจริงแล้วมีเท่ากัน เกิดมาในที่สุดก็ต้องตายกันทุกคน

ถ้าหากเรามีความเข้าใจอย่างชัดเจนว่า ความตายไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เป็นธรรมดาของทุกคนที่จะต้องพบเห็น ความตายเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนสภาพของร่างกายที่เรายึดถือนี้เท่านั้น ถ้าเรารู้ความจริงเช่นนี้ ความกลัวตายก็จะค่อย ๆ หมดไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-03-2010 เมื่อ 20:46
สมาชิก 62 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 15-03-2010, 14:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเรื่องของความตายนั้น เป็นเครื่องช่วยไม่ให้พวกเราประมาท เมื่อรู้ว่าความตายจะมาถึง ด้วยความที่เกรงว่าอาจจะต้องตกอยู่ภพภูมิที่ไม่ดี เราก็จะได้เร่งทำความดีให้มากเข้าไว้ ความดีทั้งหลายที่ต้องทำ ก็ไม่ได้พ้นจากศีล จากสมาธิ จากปัญญาเลย

ดังนั้น..ถ้าหากว่ามีความกลัวตายเกิดขึ้น ถ้าเราเข้าใจในความเป็นจริงแล้ว เราก็จะเห็นว่าความตายไม่ได้น่ากลัว แต่ความเกิดจึงเป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะว่าเมื่อเกิดมาแล้ว ก็ต้องเผชิญอยู่กับความทุกข์อยู่ตลอดเวลา ตราบใดที่ยังเวียนตายเวียนเกิดอยู่ ก็จะมีแต่ความทุกข์เป็นปกติ

ดังนั้น..การเกิดจึงเป็นเรื่องที่น่ากลัวกว่าความตาย ในเมื่อเรายังกลัวความตายอยู่ ก็ต้องเร่งสั่งสมความดีของเรา ความดีเบื้องต้นคือศีล จำเป็นที่จะต้องระมัดระวังรักษา ให้ทุกสิกขาบทบริสุทธิ์บริบูรณ์ ความดีเบื้องกลางคือสมาธิ ต้องทำกำลังใจให้มั่นคง มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งในหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเครื่องยึดเกาะ อย่างเช่นลมหายใจเข้าออกก็ดี คำภาวนาตามกองกรรมฐานก็ดี ภาพพระของเราก็ดี เป็นต้น

ความดีของการเจริญภาวนาก็คือ มีปัญญา รู้จักแยกแยะ ให้เห็นสภาพความเป็นจริงร่างกายของเรา ไม่ว่าจะเป็นคน เป็นสัตว์ก็ตาม ก็มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความเปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุด ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ก็มีแต่ความทุกข์ ท้ายสุดก็ไม่มีอะไรเหลือเป็นเรา เป็นของเราได้

ถ้าหากว่าเราระลึกถึงความตายเป็นปกติ มีความไม่ประมาท ตั้งใจปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา การก้าวถึงความเป็นพระอริยเจ้าก็ไม่ใช่ของยาก เนื่องจากพระอริยเจ้าระดับต้นได้แก่พระโสดาบัน ระลึกถึงความตาย โดยรู้ตัวอยู่เสมอว่าชีวิตนี้ต้องตาย เมื่อรู้ตัวอยู่เสมอว่าต้องตายก็เร่งทำความดีของตนเอาไว้

ดังนั้น..การที่เรารู้ตัวว่าจะต้องตายก็ดี การพิจารณามรณานุสติ คือ ระลึกถึงความตายก็ดี ถือว่าเป็นกำลังใจเบื้องต้นที่จะยึดเกาะความดีได้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพราะส่วนใหญ่แล้วเกรงว่าจะตายลงสู่ทุคติ เราจะเห็นว่าจริง ๆ ความตายของเป็นดี เพียงแต่เราจะรู้จักนำของดีนั้นมาใช้หรือเปล่าเท่านั้นเอง

ความตายนั้นที่จริงแล้วอยู่กับเราทุกลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออกถ้าไม่หายใจเข้าก็ตายแล้ว เมื่อเป็นดังนี้ก็จะเห็นว่าความตายใกล้ชิดกับเราเป็นอย่างยิ่ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-03-2010 เมื่อ 20:47
สมาชิก 55 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 16-03-2010, 00:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

บุคคลที่เกิดก่อนเรา ในรุ่นของปู่ย่า ตาทวด และพ่อแม่ ลุงป้า น้าอา ตายไปมากแล้ว บุคคลที่เกิดไล่เลี่ยกับเรา จะเป็นรุ่นพี่ รุ่นเพื่อน รุ่นน้องก็ดี ก็มีตายให้เห็นแล้ว และท้ายสุดบุคคลที่เกิดหลังเรา ไม่ว่าจะเป็นลูก เป็นหลาน เป็นเหลนก็ตาม ก็มีบ้างที่ได้ตายไปแล้ว จึงกล่าวได้ว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง

เมื่อเราเห็นว่าความตายเป็นของเที่ยง ถ้ายังประมาทมัวเมาอยู่ ตายแล้วตกสู่ทุคติ ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะว่าเสียทีที่เกิดมา ดังนั้น...ขอให้ทุกท่านทบทวนในเรื่องของความตายไว้เสมอ กำหนดจิตรู้อยู่เสมอว่าจะต้องตาย อารมณ์ราคะเกิดขึ้นให้รู้เอาไว้ว่า เราจะต้องตายแน่นอน อารมณ์โทสะเกิดขึ้น ให้รู้ไว้ว่าเราจะต้องตายแน่นอน อารมณ์โมหะเกิดขึ้น ก็ให้รู้ว่าเราจะต้องตายแน่นอน ถ้ามีความรู้ตัวอยู่อย่างนี้ ราคะ โทสะ โมหะ ก็ทำอันตรายเราได้ยาก


เพราะในเมื่อเรารู้ว่าจะต้องตาย ก็เร่งขวนขวายความดีเอาไว้ ถ้าหากเรารักษาศีลก็ระงับซึ่งโทสะ ถ้าหากว่าเราเจริญภาวนาก็ระงับซึ่งโมหะ ถ้าเราเจริญในจาคานุสติหรือปฏิบัติในทานบารมีก็ระงับในซึ่งโลภะ เป็นต้น

ดังนั้น..สำหรับวันนี้แล้ว ขอให้ทุกคนทราบไว้ว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองนั้น ไม่ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ตาม เรามีความตายเป็นปกติอยู่แล้ว ในเมื่อความตายจะมาถึงเป็นปกติ การสั่งสมบุญความดีก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องเร่งทำให้มากไว้

ถ้าหากว่าเรามั่นคงในทาน ศีล ภาวนา เชื่อมั่นว่าความดีนั้นคุ้มครองรักษาเราได้ เชื่อมั่นว่าคุณพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สามารถคุ้มครองรักษาเราได้ เชื่อมั่นในอานุภาพของพรหมของเทวดา ของครูบาอาจารย์ว่าคุ้มครองเราได้ ความกลัวตายก็ลดน้อยถอยลง และในที่สุดก็จะเห็นความเป็นปกติ ว่าการเกิดมามีร่างกายนี้ต้องตายแน่นอน

ถ้าหากว่าตายแล้วเราควรจะเลือกที่หมายที่ไหน ก็ขอให้เลือกเป้าหมายที่สูงที่สุด ที่ไกลที่สุดคือพระนิพพานเอาไว้ เมื่อรู้ตัวว่าจะตาย ก็ให้ตั้งใจเอาไว้ว่าไปนิพพานแห่งเดียว เมื่อความรู้สึกว่าร่างกายนี้ต้องตายเป็นปกติ ลมหายใจเข้าออกของเรานั้น มีอยู่เป็นปกติ ก็เอาจิตของเราเกาะพระนิพพานเอาไว้ ตั้งใจว่าถ้าตายตอนนี้เราก็ขอไปอยู่ที่พระนิพพานแห่งเดียวเท่านั้น

ให้ทุกคนกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกและคำภาวนาตามอัธยาศัย หรือกำหนดกสิณภาพพระอย่างใดอย่างหนึ่งตามอัธยาศัย ถ้าหากว่าลมหายใจเข้าออกมีอยู่ ก็กำหนดลมไป ถ้าไม่มีลมหายใจเข้าออก ก็กำหนดรู้ลมไว้ว่าไม่มี ถ้ามีคำภาวนาอยู่ ก็กำหนดคำภาวนาไปด้วย ถ้าไม่มีคำภาวนา ก็กำหนดรู้ไว้ว่าไม่มีคำภาวนา ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้รับสัญญาณว่าหมดเวลา



พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันศุกร์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๓
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-03-2010 เมื่อ 03:12
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:14



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว