กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 07-05-2012, 19:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,397,014 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์วันมาฆบูชา วันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๕

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง กุสะลัสสูปะสัมปะทา สะจิตตะปะริโยทะปะนัง เอตัง พุทธานะสาสะนัง ติ


ณ บัดนี้อาตมภาพรับหน้าที่วิสัชนาในโอวาทปาฏิโมกข์คาถา เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญาบารมี และสร้างเสริมกุศลบุญราศีของญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ที่พร้อมใจกันมาบำเพ็ญกุศลเนื่องในวันมาฆบูชา ณ วัดท่าขนุนแห่งนี้

ญาติโยมทั้งหลายในปี ๒๕๕๕ นี้ จัดว่าเป็นปีมหามงคลใหญ่อีกปีหนึ่ง ก็คือว่าเป็นปีครบ ๒,๖๐๐ ปีแห่งการตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น เสด็จออกบรรพชาเมื่อพระชนมายุ ๒๙ พรรษา ทรงแสวงหาธรรมะอยู่ ๖ ปีเต็ม ๆ ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เมื่อพระชมน์มายุ ได้ ๓๕ พรรษา

หลังจากนั้น..พระองค์ท่านก็ได้เสด็จออกสั่งสอนสรรพสัตว์ทั้งหลาย เพื่อให้ได้รับประโยชน์ในธรรมะที่พระองค์ท่านตรัสรู้อยู่ ๔๕ ปีเต็ม ๆ แล้วจึงเสด็จดับขันธปรินิพพานที่สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา หลังจากนั้นเป็นต้นมา เราก็ได้นับเป็นพุทธศักราชที่ ๑ ก็คือ พ.ศ.ที่ ๑ หลังจากการปรินิพพานของพระองค์ท่านแล้ว บัดนี้ล่วงมา ๒,๕๕๕ ปี บวกกับการตรัสรู้แล้วเสด็จออกประกาศพระศาสนา อีก ๔๕ ปี จึงเป็นปีที่ครบ ๒,๖๐๐ ปีแห่งการตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ทั้งทางราชการและทางคณะสงฆ์ ได้กำหนดให้ปีนี้เป็นปีแห่งการเฉลิมฉลอง ๒,๖๐๐ ปี การตรัสรู้ เรียกว่างานเฉลิมฉลองพุทธชยันตี ๒,๖๐๐ ปีการตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้น..การประกอบกองบุญการกุศลใด ๆ ก็ตามภายในปีนี้ ถือว่าเรามีส่วนในการร่วมฉลอง ๒,๖๐๐ ปีแห่งการตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราไปด้วย

เมื่อองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว หลังจากเสวยวิมุตติสุขอยู่ ๔๙ วัน พระองค์ท่านก็เสด็จไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี เพื่อแสดงธรรมโปรดปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ เมื่อปัญจวัคคีย์มีดวงตาเห็นธรรมแล้ว บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ให้แยกย้ายกันไป เพื่อประกาศศาสนาในที่ต่าง ๆ พระองค์ท่านก็เสด็จไปยังแคว้นมคธของพระเจ้าพิมพิสาร เพื่อที่จะโปรดองค์พระราชา ซึ่งได้มีปฏิญาณสัญญาต่อกันเอาไว้ว่า เมื่อพระองค์ท่านตรัสรู้แล้วจะกลับมาโปรด และสามารถสงเคราะห์ให้พระเจ้าพิมพิสาร พร้อมด้วยบริวารอีก ๑๑๐,๐๐๐ คน เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน ส่วนอีก ๑๐,๐๐๐ คนเข้าถึงพระรัตนตรัย ทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นอย่างมาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-05-2012 เมื่อ 02:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 73 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 08-05-2012, 07:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,397,014 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองขึ้น มีพระภิกษุสงฆ์มาบวชในบวรพุทธศาสนาเป็นจำนวนมากขึ้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเล็งเห็นวาระพิเศษ ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๓ ซึ่งเป็นวันที่พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ พระภิกษุสงฆ์จำนวน ๑,๒๕๐ รูป เดินทางมาประชุมรวมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ณ เวฬุวัน ซึ่งเป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา พระภิกษุสงฆ์เหล่านั้นล้วนแต่เป็นพระอรหันตขีณาสพ เป็นบุคคลที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานการบวชให้ โดยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทาทั้งสิ้น

เมื่อวาระสำคัญมาประจวบกันดังนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเห็นว่าสมควรที่จะแสดงโอวาทปาติโมกข์ตามพุทธประเพณี คำว่า “พุทธประเพณี” ก็คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์นั้น เมื่อตรัสรู้และเสด็จสั่งสอนประชาชนไประยะหนึ่ง จนกระทั่งมีพระภิกษุสงฆ์บวชเข้ามาในบวรพุทธศาสนาเป็นจำนวนมากพอแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วแต่ละพระองค์ ก็จะทรงประกาศโอวาทปาติโมกข์ ซึ่งจะว่าไปแล้วก็คือหลักการในพระพุทธศาสนา เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายนั้น เมื่อถึงเวลาออกไปสั่งสอนประชาชน จะได้กล่าวคำสอนไปในแนวเดียวกันทั้งหมด

โอวาทปาติโมกข์ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประกาศในวันนั้น ประกอบด้วยเนื้อหาเป็นพระบาลีว่า

ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา แปลเป็นใจความว่า ขันติ คือความอดทนนั้นเป็นตบะอย่างยิ่งของผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย
นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ล้วนแล้วแต่กล่าวถึงพระนิพพาน ว่าเป็นที่สุดแห่งธรรมของพระองค์ท่านทั้งสิ้น
น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี บุคคลที่ยังฆ่าผู้อื่นอยู่ไม่ถือว่าเป็นบรรพชิต
สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต บุคคลที่ยังเบียดเบียนผู้อื่นอยู่ไม่ได้ชื่อว่าเป็นสมณะ

เนื้อหาที่กล่าวมานี้ก็คือหลักการในพระพุทธศาสนา ว่าการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนานั้นเป้าหมายสูงสุดก็คือพระนิพพาน บุคคลที่จะไปสู่พระนิพพานได้ ต้องประกอบด้วยความอดทนและพากเพียรเป็นอย่างยิ่ง การที่เรายังเบียดเบียน เข่นฆ่าและทำร้ายผู้อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าเป็นนักบวช นี่คืออุดมการณ์ของพระพุทธศาสนา เป้าหมายสูงสุดที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประกาศต่อพระสงฆ์ทั้งหลาย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-05-2012 เมื่อ 08:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 67 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 09-05-2012, 08:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,397,014 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลังจากนั้นแล้วพระองค์ท่านก็ได้ประกาศหลักการของพระพุทธศาสนาว่า
สพฺพปาปสฺส อกรณํ ให้เว้นจากการกระทำความชั่ว คือบาปทั้งปวง
กุสลสฺสูปสมฺปทา ให้ทำความดีให้ถึงพร้อม
สจิตฺตปริโยทปนํ ให้ทุกคนชำระจิตใจของตนให้ผ่องใสจากกิเลส

นี่คือหลักการของพระพุทธศาสนา ที่ทุกคนจะได้ยึดถือนำไปปฏิบัติ การที่เราจะละเว้นความชั่วทั้งปวงนั้น ก็คือการที่ทุกคนตั้งมั่นอยู่ในศีล สมาธิ และปัญญา เว้นจากความชั่วในกายทุจริต ก็คือเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม ดื่มสุราเมรัย เป็นต้น เว้นจากการกระทำชั่วโดยวจีทุจริต ก็คือการพูดโกหก พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดวาจาไร้ประโยชน์

เว้นจากการกระทำความชั่วโดยมโนทุจริต ก็คือไม่คิดเบียดเบียนคนอื่น ไม่คิดฆ่าฟันคนอื่น ไม่คิดอาฆาตพยาบาทและมีความเห็นเป็นสัมมาทิฎฐิ นี่คือการละเว้นจากความชั่วทั้งปวง คือเว้นจากความชั่วด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจนั่นเอง

ส่วนการกระทำความดีให้ถึงพร้อมก็เป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม ก็คือต้องกระทำความดีด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจเช่นกัน ก็คือกายของเราไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ดื่มสุราเมรัย วาจาของเราไม่โกหก ไม่ส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ใจของเราไม่คิดอาฆาตพยาบาทผู้อื่น ไม่คิดโลภอยากได้ของเขาจนเกินพอดี และมีความเห็นเป็นสัมมาทิฏฐิ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็คือการประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริตและมโนสุจริตนั่นเอง

ในส่วนของการชำระจิตใจของตนให้ผ่องใสจากกิเลสนั้น จะว่าไปแล้วก็เป็นเป้าหมายของการที่เราเข้ามาปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา เพียงแต่ว่าญาติโยมทั้งหลายสามารถชำระจิตใจให้ผ่องใสได้ในระดับใดเท่านั้น การที่เราจะชำระจิตใจให้ผ่องใสจากกิเลสทั้งปวง ซึ่งประกอบไปด้วยโลภะ ความโลภอยากได้เกินพอดี โทสะความโกรธแค้นอาฆาตพยาบาทผู้อื่น ราคะความผูกพันอยู่ด้วยรูปสวย เสียงเพราะ รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ และโมหะความลุ่มหลงมัวเมา คิดอยู่ว่าเราจะไม่ตาย เป็นต้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-05-2012 เมื่อ 10:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 61 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 09-05-2012, 08:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,397,014 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การที่เราจะละเว้นจากโลภะได้ ก็คือการที่เราประกอบกองบุญการกุศล นั่นคือการให้ทานในวาระต่าง ๆ นั่นเอง อย่างเช่นว่าวันนี้ ญาติโยมทั้งหลายเดินทางมายังวัดท่าขนุนแห่งนี้ ท่านทั้งหลายก็ได้นำเอาข้าวปลาอาหาร ตลอดจนเครื่องสังฆทานมา เพื่อถวายให้แก่พระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ กว่าญาติโยมจะหามาได้ ก็ต้องสละเงินทองที่ตนเองหามาด้วยความเหนื่อยยาก ไปซื้อ ไปหา ไปปรุงขึ้นมา แล้วก็นำมาถวายต่อพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา

สิ่งที่เราหามาโดยยาก เรายังสละออกได้ ก็แปลว่าเราสามารถตัดความโลภในใจไปได้ส่วนหนึ่ง ถ้าหากว่าเราทำบ่อย ๆ ทำเป็นประจำ ทำจนเคยชิน การที่จะตัดความโลภด้วยทานสำหรับเราก็เป็นเรื่องง่าย ถ้าหากว่าท่านที่ไม่สามารถที่จะกระทำได้ เพราะว่าไม่เคยชินกับการกระทำทั้งหลายเหล่านี้ ญาติโยมก็จะเห็นว่า เขาทั้งหลายเหล่านั้น แม้แต่จะใส่บาตรก็คิดแล้วคิดอีก จะสละปัจจัยไทยธรรมสักเล็กน้อย เพื่อประกอบกองบุญการกุศลใด ๆ ตาม ที่เราเคยไปเรี่ยไร ไปบอกบุญ ก็คิดแล้วคิดอีกว่าจะทำหรือไม่ทำ เพราะว่าจิตใจประกอบไปด้วยมัจฉริยะ คือความตระหนี่ถี่เหนียว สละออกได้ยาก

ก็แปลว่าท่านทั้งหลายที่กระทำสิ่งเหล่านี้ได้โดยง่าย เพราะว่าเราทำจนเคยชิน คำว่าเคยชินในทางพระพุทธศาสนานั้น ก็คืออารมณ์ใจของเราทรงตัวอยู่ในการให้ทานจนเป็นปกติ ก็แปลว่าความโลภจะอยู่ในใจของเราได้น้อยมาก เราก็ได้กระทำการตัดความโลภตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สั่งสอนเอาไว้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-05-2012 เมื่อ 10:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 60 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 10-05-2012, 07:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,397,014 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การที่เราจะตัดราคะคือความผูกพันอยู่ในรูปสวย เสียงไพเราะ กลิ่นหอม รสอร่อย และสัมผัสระหว่างเพศนั้น พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนเอาไว้ว่า ราคะนั้นเราจะตัดด้วยกองกรรมฐานหลายกองด้วยกัน ได้แก่ กายคตานุสติ การที่เราระลึกถึงความเป็นจริงของร่างกายนี้ ว่าไม่ได้สวยงามอย่างแท้จริง เป็นเพียงผิวหนังหลอกตาอยู่ชั้นหนึ่งเท่านั้น

แค่ใต้หนังของเราลงไปก็ประกอบไปด้วยเลือด ประกอบไปด้วยน้ำเหลือง ประกอบไปด้วยไขมัน มีเส้นเอ็น มีกระดูก ถ้าหากว่ายกมาเป็นส่วน ๆ เราเห็นก็เกิดความรังเกียจมาก แม้กระทั่งเลือดของเราเองที่ออกมาจากร่างกาย เราก็ต้องรีบเช็ดรีบล้าง เพราะว่าเรารังเกียจ

ดังนั้น..ไม่ตัวเราหรือว่าตัวของคนอื่น ก็ประกอบไปด้วยอวัยวะภายใน ภายนอก ใหญ่น้อยทั้งปวง มีสภาพน่าเกลียดเป็นปกติ แต่เอาหนังชั้นหนึ่งมาห่อมาหุ้มลงไป เราก็ไปหลงติดอยู่แค่เปลือกด้านนอก แล้วเข้าใจว่าสวยงาม เป็นต้น เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ต้องใช้ปัญญาเข้ามาช่วย จึงจะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

ลำดับต่อไป ท่านให้ใช้อสุภกรรมฐาน คือการพิจารณาซากศพที่ตายไปแล้ว วันหนึ่งบ้าง สองวันบ้าง สามวันบ้าง เจ็ดวันบ้าง หรือว่าซากศพทั้งหลายที่โดนหั่น โดนสับ โดนฟัน เป็นชิ้น เป็นท่อน หรือว่าซากศพที่กำลังมีหมู่หนอน มีสัตว์ทั้งหลายกัดกินอยู่ เป็นต้น เราก็จะเห็นว่าสภาพร่างกายนี้ เต็มไปด้วยความโสโครก เน่าเหม็นเป็นปกติ ในเมื่อเราเห็นความเป็นจริง ก็จะเกิดความเบื่อหน่าย ทั้งในร่างกายนี้และร่างกายคนอื่น จิตก็จะถอนออกมา จากความยินดีในกามราคะโดยปริยาย

สำหรับคนรุ่นใหม่ที่ไม่มีป่าช้าผีดิบเหมือนสมัยเก่า ๆ นั้น ท่านทั้งหลายก็สามารถเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ ก็คือตามท้องตลาดที่มีเขียงขายหมู ขายเนื้ออยู่ สิ่งที่เขาสับ เขาฟัน หั่นเป็นชิ้นเป็นท่อนนั้น ลักษณะก็เหมือนเช่นเดียวกับร่างกายของเรานี้เอง เพียงแต่ว่านั่นเป็นร่างกายของสัตว์เดรัจฉาน ที่ประกอบไปด้วยเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง มีอวัยวะภายใน ภายนอกที่น่าเกลียด เราก็มานึกเปรียบเทียบกับสภาพร่างกายของเราว่า ความจริงก็เป็นเช่นนั้น ร่างกายของคนอื่นที่เรารักใคร่ยินดีก็เป็นเช่นนั้น

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เป็นเพียงสภาพหลอกตาอยู่เบื้องนอก ทำให้เราทั้งหลายไปหลงยึดติดอยู่ และท้ายที่สุดก็ไปยึดว่าตัวกูของกู คนทุกอย่างรอบข้างก็ต้องเป็นของกูไปด้วย การที่เรายึดติดเช่นนี้ สภาพจิตของเราก็มัวหมอง ไม่แจ่มใส แต่ถ้าหากว่าเราพิจารณาบ่อย ๆ สามารถที่จะละ จะวางได้ เราทั้งหลายก็จะชำระจิตใจของตน ให้ผ่องใสจากราคะ ซึ่งเป็นอกุศลมูลใหญ่ตัวนี้ลงได้อีกส่วนหนึ่ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-05-2012 เมื่อ 07:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 54 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 11-05-2012, 08:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,397,014 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในด้านของโทสะนั้น ท่านบอกว่าให้เจริญเมตตาเป็นปกติ ก็คือมีความเห็นว่า สรรพสัตว์ทั้งหลายก็ดี ตลอดจนกระทั่งคนเราทั้งหลายก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่มีใครที่อยากจะทำในสิ่งที่ไม่ดี แต่การที่เขากระทำสิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ แล้วทำให้เราไม่พอใจ ไม่ชอบใจ เกิดความโกรธเขาขึ้นมานั้น เขาไม่ได้มีเจตนาที่จะกระทำอย่างนั้นเลย

ที่เขากระทำสิ่งเหล่านั้น ก็เพราะเขาเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นดีเขาถึงได้กระทำ เพราะว่าปัญญาของเขาน้อยจึงเห็นผิดเป็นชอบ กระทำในสิ่งที่ไม่ดี โดยคิดว่าดี ถ้าหากเราเห็นว่า เป็นธรรมดาของบุคคลที่มีจิตใจต่ำ เขาทั้งหลายเหล่านั้นย่อมกระทำในสิ่งที่ไม่ดีเป็นปกติ เห็นคำว่า “ธรรมดา” ได้ เราก็จะรู้สึกว่า โอหนอ... เป็นปกติของเขาเหล่านั้นที่จะกระทำ เขาไม่รู้ว่าการกระทำนั้น สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเองและคนอื่นมากแค่ไหน

เราจะไปโกรธไปเกลียดเขา หรือไม่โกรธไม่เกลียดเขา เขาเองก็สร้างทุกข์สร้างโทษให้กับตนเองมากพอแล้ว แล้วเราจะไปโกรธไปเกลียดเขา เพื่อเพิ่มทุกข์เพิ่มโทษให้กับตัวเขา ตลอดจนกระทั่งทำให้กำลังใจของเราเสียไปทำไม ? ถ้าเรารู้จักใช้ปัญญาพิจารณาตรงนี้เพิ่มเติมขึ้น โทสะของเราก็จะค่อย ๆ ลดน้อยถอยลงจากจิตใจของเรา ก็ทำให้เราทั้งหลายสามารถชำระจิตใจผ่องใสจากโทสะได้อีกส่วนหนึ่ง

ในส่วนของโมหะที่เป็นรากเหง้าของอกุศลใหญ่อยู่ในใจของเรานั้น ถ้าเราสามารถชำระในเรื่องของโลภะ โทสะ ให้เบาบางลงได้ โมหะก็จะหมดกำลังไปเองโดยปริยาย ก็แปลว่าเราได้กระทำตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สั่งสอนเอาไว้ ในเรื่องของการปฏิบัติชำระจิตใจของตนให้ผ่องใสจากกิเลส

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของโอวาทปาติโมกข์ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ และพระองค์ท่านก็ยังได้ย้ำในตอนท้ายว่า เอตํ พุทฺธานสาสนํ ก็คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ล้วนแล้วแต่สั่งสอนอย่างนี้ ก็คือสอนให้ทุกคนละจากความชั่ว กระทำแต่ความดี ชำระจิตใจของตนให้ผ่องใสจากกิเลส เพื่อที่เราจะได้เข้าถึงความสุขทั้งในปัจจุบัน ในอนาคต และความสุขสูงสุดที่จะพึงมีได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-05-2012 เมื่อ 12:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 54 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 12-05-2012, 08:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,397,014 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ความสุขในปัจจุบันของเราก็คือ เราเป็นบุคคลที่มีโลภะ โทสะ โมหะเบาบางลง ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดเราก็เป็นผู้ที่มีความสุข มีความเยือกเย็นใจ บุคคลรอบข้างที่อาศัยอยู่ใกล้เรา ก็พลอยได้รับความสุขความเยือกเย็นไปด้วย นี่คือประโยชน์สุขในปัจจุบัน

ส่วนประโยชน์สุขในอนาคตก็คือ หากว่าเราหมดอายุขัยตายลงไป สิ่งทั้งหลายที่เรากระทำมานั้น ก็ส่งผลให้เราไปเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า หรือเป็นพรหมได้ เพราะว่าใจของเราเกาะความดีเป็นปกติ เมื่อถึงเวลาก็ย่อมก้าวเข้าไปสู่สุคติตามที่เราหวังได้

ส่วนประโยชน์สุขสูงสุดนั้น สำหรับคนที่ประกอบไปด้วยศีล สมาธิ และปัญญาเป็นอย่างมาก คือสามารถรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ล่วงศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นกระทำ และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล เป็นต้น เป็นผู้ที่สามารถสร้างเสริมสมาธิของตนเอง ให้ทรงฌานระดับใดระดับหนึ่งได้ มีฌานที่ ๑ - ๒ - ๓ - ๔ เป็นต้น

และเป็นผู้ที่มีปัญญาเห็นว่า สภาพร่างกายนี้หาความดีไม่ได้ โลกเรานี้หาความดีไม่ได้ หมดอยากที่จะเกิดมาทนกับความทุกข์ยากลำบากเช่นนี้ต่อไปอีก เขาทั้งหลายเหล่านั้นก็จะก้าวล่วงเข้าสู่กระแสพระนิพพาน ได้รับประโยชน์สูงสุดตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประกาศอุดมการณ์ไว้ในวันมาฆบูชานั่นเอง

ญาติโยมทั้งหลายที่มาทำบุญวัดท่าขนุนเนื่องในวันมาฆบูชานี้ นอกจากท่านทั้งหลายจะได้ถวายทานแล้ว ท่านทั้งหลายยังได้กระทำในสิ่งที่เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา คือ การที่ทางวัดนั้นได้จัดนำเอาพระพุทธรูป รอยพระพุทธบาท และรูปหล่อหลวงปู่พุก หลวงปู่สาย เพื่อให้พวกเราได้ทำการปิดทองถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชาส่วนหนึ่ง และภายในคืนนี้ยังมีการเวียนเทียนและตามประทีปเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชาอีกด้วย ส่วนในช่วงบ่ายนั้น เราจะมีการบวชพระภิกษุสงฆ์ เพื่อเข้ามาปฏิบัติธรรมเนื่องในสัปดาห์วันมาฆบูชา เป็นจำนวน ๙ รูปด้วยกัน เราก็ได้สร้างบุญใหญ่อีกส่วนหนึ่ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-05-2012 เมื่อ 16:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 12-05-2012, 08:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,397,014 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อท่านทั้งหลายได้สร้างบุญใหญ่ทั้งหลายเหล่านี้ ก็คือการประกอบด้วยทาน ด้วยศีล ด้วยภาวนานั่นเอง ท่านทั้งหลายก็จะสามารถก้าวเข้าไปถึงความเจริญ ในสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า เราเป็นผู้ละเว้นจากความชั่วทั้งปวง เป็นผู้ที่กระทำความดีให้ถึงพร้อมทั้งกาย วาจา และใจ

และท้ายที่สุดก็คือเราชำระจิตใจให้ผ่องใสจากกิเลส ก็คือการชำระความโลภด้วยการให้ทาน ชำระความโกรธด้วยการรักษาศีลและเจริญเมตตา ชำระความหลงด้วยการใช้ปัญญา มีสติรู้เท่าทันสภาพความเป็นจริงในร่างกายนี้ ไม่ไปยึด ไม่ไปถืออีก ท่านทั้งหลายก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ได้ดื่มกินในรสพระธรรม ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้มาเมื่อ ๒,๖๐๐ ปีมาแล้วนั่นเอง

เทสนาวสาเน ท้ายสุดแห่งพระธรรมเทศนา อาตมภาพขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ แลสังฆรัตนะ เป็นประธาน มีบารมีของหลวงปู่สาย อคฺควํโส แห่งวัดท่าขนุนแห่งนี้เป็นที่สุด ขอได้โปรดดลบันดาลให้เกิดความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูลผลแก่ญาติโยมทุกประการ อาตมภาพรับทานวิสัชนาในโอวาทปาติโมกข์กถา ก็สมควรแก่เวลา จึงขอสมมติยุติพระธรรมเทศนาลง คงไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์วันมาฆบูชา ณ วัดท่าขนุน
๗ มีนาคม ๒๕๕๕
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-05-2012 เมื่อ 16:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:11



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว