กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 17-04-2019, 21:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,397,011 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุุกร์ที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๒

ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราเอาไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๒ ซึ่งระยะนี้สถานการณ์บ้านเมืองของเราต้องบอกว่าค่อนข้างจะหนัก ภัยธรรมชาติอย่างพายุฤดูร้อนก็ดี การแล้งน้ำขาดน้ำก็ตาม กำลังคุกคามทุกคนอยู่ ขณะเดียวกันความวุ่นวายทางการเมือง ซึ่งเลือกตั้งแล้วทุกอย่างกลับไม่จบไม่สิ้น อาจจะมีการเดือดร้อนครั้งใหญ่ ก็กำลังรอพวกเราอยู่ ในสถานการณ์แบบนี้ ความมีสติรู้จักยั้งคิดเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

ในเรื่องของภัยธรรมชาติ เมื่อเกิดขึ้นก็แก้ไขกันไปตามเพลง อย่างเช่นว่าถ้าเป็นเรื่องของพายุฤดูร้อน ก็ซ่อมแซมบ้านเรือน โดยเฉพาะหลังคาหรือฝ้าให้แข็งแรง ในเรื่องของภัยแล้ง อาตมาก็เตือนล่วงหน้าตั้งแต่ปีที่แล้วยันปีนี้ว่า ให้ทุกท่านสำรองน้ำเอาไว้บ้าง เพราะว่าจะแล้งหนัก ถ้าเรามีน้ำสำรองอยู่ แม้ว่าจะขาดน้ำ อย่างน้อยเราก็ยังอยู่ได้นานกว่าคนอื่นเขาระยะหนึ่ง

ในส่วนของเรื่องการเมืองที่ไม่รู้จักจบจักสิ้นนั้น เราต้องรักษาใจของเราเอง อย่าให้ไปยินดียินร้ายกับสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะทั้งข่าวจริงข่าวเท็จ การที่เราจะมีสติรู้จักมัดระวัง ไม่เปลี่ยนจากคนดูลงไปเป็นคนเล่น จะทำให้เราเห็นภาพที่ชัดเจนว่าแต่ละฝ่ายเป็นอย่างไร ใครดีใครชั่ว

การที่เราจะเป็นผู้มีสติก็ต้องมีอานาปานสติ คือสติที่อยู่กับลมหายใจเข้าออก นอกจากจะทำให้เรามีสติรู้เท่าทันว่า รัก โลภ โกรธ หลง กำลังจะเกิดขึ้น หรือว่าเกิดขึ้นแล้ว กำลังตั้งอยู่ หรือว่าดับไปแล้ว ขณะเดียวกันก็จะได้มีกำลังในการระงับยับยั้ง กาย วาจา ใจ ของตนเอง ไม่ให้ไหลไปตามกระแสของ รัก โลภ โกรธ หลง ที่เกิดขึ้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-04-2019 เมื่อ 04:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 17-04-2019, 21:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,397,011 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น...อานาปานสติจึงเป็นกรรมฐานที่สำคัญที่สุด จัดเป็นพื้นฐานใหญ่ของกองกรรมฐานทั้งปวง กองกรรมฐานทั้งหมดโดยเฉพาะกรรมฐานทั้ง ๔๐ กองตามวิสุทธิมรรค ถ้าไม่มีอานาปานสติควบคุมแล้ว กรรมฐานอีก ๓๙ กองจะทรงตัวได้ยาก ส่วนมากก็ได้แค่อุปจารสมาธิ อย่างดีก็ได้แค่ปฐมฌาน และเป็นปฐมฌานอย่างหยาบด้วย

การปฏิบัติกรรมฐานจึงขาดอานาปานสติ คือการระลึกถึงลมหายใจเข้าออกไม่ได้เลย ขาดเมื่อไรก็ไม่มีสติ ไม่มีกำลังในการระงับยับยั้ง และไม่มีเครื่องเสริมปัญญาให้แก่กล้า หนักแน่น แหลมคม ในการที่จะตัดละกิเลสต่าง ๆ ได้

ถ้าท่านสังเกตจะเห็นว่า ทุกครั้งที่นำทำกรรมฐาน อาตมาจะกล่าวถึงเรื่องของการตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออก ลมหายใจเข้าออกต้องมาก่อน ถ้าไม่มีลมหายใจเข้าออกเป็นตัวนำ โอกาสปฏิบัติธรรมแล้วจะได้ดีก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ ท่านทั้งหลายจึงควรที่จะรักษาความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก ตลอดเวลาได้ยิ่งดี ไม่ว่าจะหลับ จะตื่น จะยืน จะนั่ง จะทำกิจกรรมอะไรก็ตาม ให้ความรู้สึกของเราอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกเสมอ เผลอไปคิดเรื่องอื่นเมื่อไร ถ้าหากว่ารู้ตัว ก็ให้รีบดึงกลับมาที่ลมหายใจเข้าออกตามเดิม
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-04-2019 เมื่อ 04:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 18-04-2019, 22:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,397,011 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนคำภาวนานั้นเป็นเพียงเครื่องโยงใจให้เป็นสมาธิ เราจะรู้ลมหายใจเข้าออกอย่างเดียวโดยไม่ใช้คำภาวนาก็ได้ หรือว่าเราจะใช้คำภาวนาแบบไหนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นพุทโธ สัมมาอะระหัง พองหนอ ยุบหนอ นะมะพะธะ ตลอดจนกระทั่งตัวบทพระคาถาใด ๆ ที่เราชอบใจก็ได้ทั้งสิ้น สำคัญตรงที่ต้องไม่ลืมลมหายใจเข้าออก

ถ้าท่านสามารถทำได้อย่างนี้ โอกาสที่จะเข้าถึงอัปปนาสมาธิ คือสมาธิที่ทรงตัวแนบแน่นตั้งแต่ปฐมฌานละเอียดขึ้นไป จนถึงฌาน ๔ หรือสมาบัติ ๘ จึงจะสามารถเกิดขึ้น มีขึ้นได้ เมื่อท่านทรงสมาธิแล้วก็อย่าลืมคลายกำลังใจออกมา แล้วพิจารณาด้วยปัญญา อย่าภาวนาอย่างเดียว เพราะว่าจะเป็นการทำแล้วทิ้ง ซึ่งจะทำให้กดกิเลสได้เพียงชั่วคราว แต่การใช้ปัญญาพิจารณา ถ้าสามารถตัดละได้ เราจะชนะกิเลสอย่างถาวร

การพิจารณาคือมองให้เห็นว่า ร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสัตว์อื่นก็ดี วัตถุธาตุทั้งหลายก็ดี มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนไปในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุด ถ้าเราไปยึดมั่นถือมั่นเราก็จะเป็นทุกข์ โดยเฉพาะความทุกข์ตามสภาวะ หนาว ร้อน หิว กระหาย เจ็บไข้ได้ป่วย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ เป็นต้น มีแก่เราอยู่ตลอดเวลา มีแก่มนุษย์ทุกรูปทุกนาม มีแก่สัตว์ทุกตัวทุกหมู่เหล่า มีแก่วัตถุธาตุทุกชิ้น

และท้ายที่สุดไม่มีอะไรให้เรายึดถือมั่นหมายได้ เพราะว่าเมื่อแยกแยะออกมา ก็เป็นเพียงส่วนประกอบของ ดิน น้ำ ลม ไฟ เท่านั้น ตึกรามบ้านช่องหลายสิบชั้น หรือเป็นร้อยชั้น ก็เป็นส่วนประกอบของ ดิน น้ำ ลม ไฟ พอแยกแยะออกมา นี่คือทราย นี่คืออิฐ นี่คือปูน นี่คือเหล็กที่เป็นโครงสร้าง เป็นต้น แล้วเราก็จะได้เห็นชัดเจนว่า ร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราอย่างแท้จริง ดำรงชีวิตอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์
ดังนั้น...กำลังใจสุดท้ายก็คือ เราไม่ปรารถนาการเกิดมามีร่างกายนี้อีก ตายเมื่อไรเราขอไปพระนิพพานเพียงที่เดียว


ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันศุกร์ที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๒

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-04-2019 เมื่อ 22:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:17



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว