กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > ปกิณกธรรมจากเกาะพระฤๅษี

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 20-07-2010, 09:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๐

วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๐

แก่แล้วนี่ไม่มีอะไรดีเลย เมื่อครู่นี้ทำวัตรไปนึกขึ้นมาได้ว่า อาจารย์ท่านสั่งทำรายงาน ชีวิตและผลงานของนักปราชญ์ในพระพุทธศาสนา มีทั้งฝ่ายเถรวาทฝ่ายมหายาน แล้วก็นักปราชญ์ในยุคปัจจุบัน เมื่อวานนี้หลงดีใจว่าเราทำเสร็จแล้ว ลืมไปถนัดว่ายุคปัจจุบันยังไม่ได้ทำ ถ้าเย็บเล่มไปส่งก็เรียบร้อย..! ตอนนี้มาลาเรียกำลังขึ้นอยู่ ไม่รู้ว่าจะมีแรงทำหรือเปล่า ?

สมัยที่อยู่กับหลวงพ่อ ท่านก็ป่วยด้วยโรคมาลาเรีย แต่ท่านไม่รู้ เพราะว่าปกติพระท่านจะสงเคราะห์เสมอ สี่โมงเย็นหลังจากเลิกรับสังฆทาน กลับไปถึงกุฏิแล้วท่านจะอาเจียนอยู่ทุกวัน หลวงพ่อคิดว่าเป็นเพราะพระสงเคราะห์เอาไว้ เพื่อให้รับแขกได้

กว่าจะรู้ว่ามาลาเรียลงกระเพาะมาตรงเวลาทุกวัน ก็ล่อไป ๒๐ – ๓๐ ปี ก่อนจะมรณภาพปีเศษ ๆ พระท่านทำภาพให้ดูว่า ใช้ยาอย่างนี้แล้วจะหาย นั่น..กรรมท่านหนักขนาดนั้น หนักขนาดว่าพระท่านไม่สามารถที่จะบอกให้ก่อนได้

พอบอกยามา หลวงพ่อก็ไปอธิบายให้หมอฟัง ในที่สุดหมอก็สรุปว่า น่าจะเป็นยาควินินเข้มข้นแบบน้ำ ใช้ฉีด ก็เลยลองดู ปรากฏว่าหาย พอหายจากโรคมาลาเรีย หลวงพ่อท่านก็บวมทั้งตัว ต้องฉันยาขับน้ำออกจากร่างกายตลอด บวม ๆ ยุบ ๆ อยู่ ๔ – ๕ ครั้งแล้วก็มรณภาพ

ท่านเคยบอกว่า บางวันท่านคิดอะไรไม่ออก สมองไม่ทำงาน ตอนแรกผมก็สงสัยว่าเป็นอย่างไร ? ตอนนี้ผมไม่สงสัยแล้ว บางวันผมทำรายงานอยู่ ผมพิมพ์ไม่ไหว ก็บอกให้น้องเล็กเขาพิมพ์แทน ผมบอก ๆ ไป สมองหยุดทำงานเอาดื้อ ๆ นึกไม่ออกว่าประโยคต่อไปจะว่าอย่างไรดี ก็เป็นแบบเดียวกันกับที่ท่านว่าไว้

เมื่อเช้าผมล้างหน้าแทบไม่ได้ เจ็บไปหมด แต่พวกคุณจะเห็นผมสบายดี คือมาลาเรียนี่ ผมเพิ่งเข้าใจไม่นานมานี้เองว่า เวลากำเริบขึ้นมา มันจะไปชวนโรคอื่น ๆ มาหมด ต่อให้คุณเป็นหวัดเล็กน้อยอย่างไรก็ตาม ก็จะกลายเป็นอาการหนักปางตายไปเลย เพราะมาลาเรียช่วยซ้ำ

ถ้าหากว่าเคยอักเสบ เคยแตกเคยหักที่ไหนมา จะขึ้นมาหมด อักเสบปวดขนาดที่ว่า เวลาเราแตะตัวเอง เส้นขนของเราเหมือนกับเข็มแทงตัวเราเอง เพราะขุมขนก็อักเสบ ปวดจนกระทั่งรู้ว่ากระดูกในตัวมีกี่ชิ้น อยู่ที่ไหนบ้าง..!

ในเรื่องของหลวงพ่อท่านก็ดี หรือแม้แต่ผมที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ก็ดี ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ร่างกายนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ แม้กระทั่งพระที่เราเชื่อว่าบริสุทธิ์อย่างสิ้นเชิงแล้วอย่างหลวงพ่อท่าน ก็ยังหนีกรรมตรงนี้ไม่พ้น ยังคงถูกตามสนองจนกระทั่งถึงวาระสุดท้าย กลายเป็นว่าชีวิตของท่าน จะไปเสียเมื่อไรก็ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 28-05-2015 เมื่อ 13:10
สมาชิก 110 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 20-07-2010, 21:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ช่วงที่ผมอยู่กับท่าน ผมถึงได้ไม่ประมาท มีอะไรที่ทำได้ ผมตั้งหน้าตั้งตากอบโกยไป ทำไป เพราะผมไม่ทราบว่าหลวงพ่อจะอยู่สอนผมไปอีกกี่วัน ? ท่านบอกว่า “หนังสือมี เทปมี คุณไปฟังเอา ไปทำเอา ถ้าติดขัดตรงไหนให้มาถามผมได้...”

ผมขอยืนยันว่า ตลอดเวลาความเป็นพระและฆราวาส รวมแล้ว ๑๘ ปีที่ผมตามหลวงพ่ออยู่ ปฏิบัติตามหลักธรรมของท่าน ผมเคยถามปัญหาท่านแค่ ๔ ครั้งเท่านั้น

แต่ละครั้งก็คือปัญหาที่ผมเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า สิ่งที่หลวงพ่อสอนอาจจะผิด ผมบังอาจขนาดนั้น..! พอท่านอธิบายให้ฟัง ผมถึงได้รู้ว่าผมเข้าใจผิด

อีกส่วนก็คือว่า ปฏิบัติไปแล้วเหมือนกับตัน ไปต่อไม่ได้ เหมือนเดินชนกำแพง ท่านอธิบายให้ฟังว่า เกิดจากการที่กำลัง ศีล สมาธิ ปัญญา ของเรายังไม่พอ บางอย่างผมติดอยู่เป็นปี ๆ

ท่านบอกว่าสิ่งที่ผมทำนั้นถูกแล้ว แต่ให้ทำซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำแล้วย้ำอีก ตอกย้ำจนกว่าสภาพจิตจะยอมรับ ถ้าสภาพจิตยอมรับ กำลังสมาธิเพียงพอ จะส่งผลให้ก้าวข้ามตรงนั้นไปได้เอง

ตราบใดที่ยังข้ามไปไม่ได้ แม้ว่าจะกี่ปีก็ตาม เราจะทิ้งไม่ได้ ต้องย้ำแล้วย้ำอีก ทำแล้วทำอีก ซ้ำอยู่ตรงจุดนั้นไปเรื่อย ถ้ากำลังพอ ปัญญาถึงเมื่อไร ก็จะข้ามไปได้เอง


เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติ ผมอยู่กับหลวงพ่อ ผมไม่เคยคิดว่าหลวงพ่อจะอยู่ถึงพรุ่งนี้ กลางค่ำกลางคืนถ้าฝนฟ้าผิดปกติ ผมจะลุกขึ้นมานั่งกรรมฐาน ดูว่าหลวงพ่อไปแล้วหรือยัง ? เพราะสภาพร่างกายท่านไว้ใจไม่ได้เลย

แล้วก็มาส่งผลเมื่อท่านมรณภาพ ผมเองสามารถยืนหยัดได้ เป็นที่พึ่งให้กับญาติโยมเขาได้ ผมรับโทรศัพท์อยู่สองวันสองคืน ไม่มีเวลาว่างเลย ทั้งในประเทศและต่างประเทศโทรมาถามว่า “หลวงพ่อมรณภาพแล้วจริงหรือ ?”

วันที่สามผ่านไปครึ่งวันผมเป็นลม ผมเพิ่งรู้ว่าผมไม่ได้พักเลย ผมก้มหน้าก้มตารับโทรศัพท์ เงยหน้าขึ้นมาโยมนั่งกันเต็มห้องยาม ผมถามว่ามาทำอะไรกัน ?

โยมเขาบอกว่า ฟังผมรับโทรศัพท์แล้วรู้สึกว่ามีกำลังใจ มีความหวัง เขาก็เลยอยากนั่งฟังต่อ แม่ครัววัดบ้าง ทหารบ้าง เด็กวัดบ้าง ญาติโยมที่อาศัยอยู่กับวัดบ้าง ไม่ไปไหนกันหรอก นั่งแปะกันอยู่อย่างนั้น

แล้วคุณจะให้ผมทำอย่างไร ? ในเมื่อต่างประเทศเขาโทรมา ร้องไห้ร้องห่มว่า “หลวงพ่อมรณภาพแล้วหรือ ? ทำไมหลวงพ่อไปเร็วจัง ? ไม่รอลูกกลับเมืองไทยเลย..!” เป็นคุณจะตอบเขาอย่างไร ?

ผมก็ต้องบอกเขาไปว่า "หลวงพ่อตายออกจะบ่อยไป ช่วงที่ผมอยู่กับท่าน ท่านก็ตายมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง แล้วท่านก็ฟื้นทุกที เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าเราตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติกันให้ดี ๆ ท่านอาจจะฟื้นอีกก็ได้.." ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าท่านไม่ฟื้นแล้ว แต่ก็ต้องตอบไปอย่างนั้น

ตอบไปในลักษณะที่เรียกว่า มีความมั่นคงในน้ำเสียง มีความมั่นใจในสิ่งที่ตนเองพูด ทำให้โยมเขามีกำลังใจ หลังจากนั้นพอเขาตั้งสติได้ เขาก็จะรู้เองว่าอะไรเป็นอะไร แต่ผมตอบไป ๆ ปรากฏว่าโยมที่อยู่ในวัดมานั่งฟังกันเต็มหน้าห้องยามเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-07-2010 เมื่อ 02:01
สมาชิก 105 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 21-07-2010, 14:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พอวันที่ ๑ ที่ ๒ ผ่านไป สองวันสองคืน วันที่ ๓ บ่าย ๆ ผมเป็นลม โทรศัพท์ไม่ว่างเลย สายนอกมีทั้งหมด ๘ สาย สายในอีก ๕๓ สาย วิทยุอีก ๒ เครื่อง ทำอย่างไรที่คุณจะต้องรับให้ทัน จะต้องไม่มีความสับสน จะต้องประสานงานให้คล่องตัวที่สุด กำลังใจทั้งหมดที่ทำมา ผมใช้ได้ก็ตอนนั้นเอง

ผมถึงได้บอกว่า จากการที่ทุ่มเทด้วยความไม่ประมาท ว่าหลวงพ่อจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เราคิดอยู่เสมอว่า ท่านอาจจะตายเสียภายในวันนี้ ถ้าหากว่าเราไม่เร่งตัวเองให้มีที่พึ่งได้ ถ้าสิ้นท่านแล้ว เราก็ไม่รู้จะไปพึ่งใคร

สิ่งที่ผมทำก็เห็นผล คือว่าผมสามารถเป็นที่พึ่งของคนเขาได้ พระผู้ใหญ่มาจากกรุงเทพฯ หรือว่ามาจากต่างจังหวัด กี่รายก็ตาม มาถึงก็มักจะถามว่า ผมเป็นเจ้าอาวาสคนใหม่หรือ ?

ผมกราบเรียนไปว่า ผมเป็นพระใหม่ครับ มีหน้าที่ต้อนรับพระผู้ใหญ่ รักษาการเจ้าอาวาสมี รองเจ้าอาวาสก็มี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสก็มี ผมเชื่อว่าพระผู้ใหญ่ทุกรูปท่านตีราคาพระวัดท่าซุงไว้สูงลิบโลกเลย เพราะว่าท่านวัดจากพระใหม่อย่างผม

ที่พูดมานี่ไม่ได้อวดตัวเอง แต่ต้องการให้ทุกท่านทำแบบเดียวกับที่ผมทำมาแล้ว โดยเฉพาะเรื่องกรรมฐาน ทิ้งไม่ได้เด็ดขาด ปล่อยให้ขาดช่วงลงเมื่อไร ถ้ากิเลสตีได้ คราวนี้เราจะฟุ้งซ่านไปนาน แล้วคุณก็จะเป็นเหมือนผม เสียดายใจแทบขาด ว่าเราไม่น่าพลาดให้กิเลสเลย

ดังนั้น..ในเรื่องการปฏิบัติ เมื่อเราทำได้แล้ว ต้องรักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่อง แล้วก็พยายามดูว่า กำลังใจเราตอนนี้เป็นอย่างไร โดยเฉพาะอย่างที่ชีปุ๊กกำลังเป็นอยู่

จะต้องซ้อมการเข้าสมาธิ เข้าออกให้มันคล่องตัว ต้องการอยู่ในอารมณ์ระดับไหนต้องได้ ถ้าหากว่าเราทำไม่ได้ ถึงเวลาโอกาสที่จะใช้งานก็น้อย เพราะไปนิ่งอยู่ข้างในร่างกาย ก็เหมือนกับคนตาย เหมือนกับตอไม้ ทำอะไรไม่ได้หรอก

ยกเว้นไว้ว่าเราตั้งใจจะไปกราบพระ ตั้งใจไปหาหลวงพ่อ ไปคุยกับท่าน ไปถามท่านว่ามีงานอะไรไหม ? แต่ถ้าหากว่าเราจะใช้งานด้านนอกได้ ต้องทำได้ในลักษณะที่ว่า ตัวเราไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน จะเข้าห้องน้ำห้องส้วม ทำงานทำการอะไรก็ตาม กำลังใจต้องนิ่งให้ได้เท่ากับตอนที่เรานั่ง

เปรียบเหมือนกับน้ำในบ่อน้ำลึก ๆ เวลาลมพัดก็จะกระเพื่อมแค่ปากบ่อ ก็คืออาการภายนอกเป็นไปตามโลก แต่ว่าจิตเรานิ่งอยู่ข้างใน กิเลสก็จะกินเราไม่ได้ นี่คือจุดที่ต้องการให้ทำ พยายามเข้าออกฌานให้ชำนาญ ไม่ต้องไปสนใจว่าจะตัดข้างใน หรือว่าตัดข้างนอก สนใจอยู่แค่ว่า ในขณะที่ทรงตัวตัดอยู่นั้น เราทำอย่างอื่นได้ไหม ?

ถ้าหากว่าเราทำได้ในขณะที่จิตตัดไปเลยนั้น จะเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุด เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ จะเป็นแค่กิริยาอาการ เป็นความเป็นไปของนามรูปเท่านั้น ไม่มีการปรุงแต่งเป็นดีเป็นชั่ว อารมณ์ตัวนี้แหละที่จะพาเราไปนิพพาน เขาเรียกว่า อัพยากตธรรม* เป็นอารมณ์กลาง ๆ ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว ผ่ากลางไปเลย

ที่ทุกคนทำอยู่นั้น ผมดีใจว่า พวกเรามีโอกาสมากกว่าพระที่บวชอีกนับแสน ๆ รูป เพราะว่าสมัยนี้บวชมาแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านไม่ค่อยได้ใส่ใจที่จะดูแล ท่านทิ้งเลย ปล่อยให้โตเอง ในเมื่อเรามีโอกาสแล้ว เราต้องใช้โอกาสของเราให้ดีที่สุด


หมายเหตุ :
* อภิ.สํ. ๓๔/๑/๑ ; ๖๖๓/๒๕๙ ; ๘๗๘/๓๔๐
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-07-2010 เมื่อ 14:28
สมาชิก 99 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 21-07-2010, 19:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ผมก็คิดว่าถ้าพรรษานี้ พระอยู่กับผมจำนวนแค่นี้พอแล้ว มากเกินนี้ก็รบกวนเขา เพราะทางป่าไม้เขาเลี้ยงเราอยู่ ฉะนั้น..ถ้าหากว่าใครจะอยู่ประจำ รีบแจ้งความจำนงมาโดยเร็ว ถ้ายอดเต็มผมจะไม่รับเพิ่มแล้ว ใครจะมาเพิ่มก็ต้องไปอยู่วัดวาใกล้เคียงโน่น

เราอยู่กับเขา เราต้องเกรงใจ อย่างที่ผมพยายามทำตัวอย่างให้ดู ปิดน้ำปิดไฟให้เรียบร้อยทุกครั้ง ก่อนหน้านี้ผมช่วยจ่ายค่าไฟให้เขาปีละ ๖,๐๐๐ บาท เฉลี่ยเดือนละ ๕๐๐ บาท หัวหน้าท่านไม่ยอมรับ

ผมให้ผู้ช่วยไป ๒ - ๓ เดือน พอผู้ช่วยรายงาน หัวหน้าท่านสั่งเลิกเลย เราอยู่กับเขา กลายเป็นใช้ฟรี เราจึงต้องช่วยประหยัดที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ เรื่องของนักปฏิบัติเราต้องละเอียดทั้งทางโลกและทางธรรม ต้องรู้จักเกรงใจคนอื่นเขา ถ้าหากว่าความละเอียดทางโลกเราไม่มี ความละเอียดทางใจที่เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม เราก็เข้าถึงไม่ได้

จำไว้ว่าหน้าที่ของเรา คือ รักษา กาย วาจา ใจ ของเราให้ดีที่สุด อย่าประมาทว่าชีวิตของเราจะยาวนาน อย่าประมาทว่าครูบาอาจารย์จะอยู่กับเรานาน อย่าไปคิดว่าเรามีคนโน้นเป็นที่พึ่ง มีคนนี้เป็นที่พึ่ง แม้แต่เราเองก็อาจจะตายลงไปวันนี้ก็ได้

เราต้องเร่งทำความดีให้มากที่สุดเท่าที่จะพึงทำได้ การทำอย่างอื่น เช่น ออกไปข้างนอกหรือว่าอะไรก็ตาม ให้สังเกตอารมณ์ใจของเราดู ถ้าเราไม่ไปจะดิ้นตายเลยใช่ไหม ? ถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้นเราก็แย่แล้ว

กิเลสพยายามจะดันให้เราออกไป เราก็เชื่อ มันอ้างความจำเป็นอย่างนั้น อ้างเรื่องสำคัญอย่างนี้ เราก็ไป แปลว่าเราไม่ได้รักสงบจริง ๆ เรากำลังยอมแพ้กิเลส กำลังเลี้ยงกิเลสให้อ้วน

อาหารนั้นมี กวฬิงการาหาร** ก็คือพวกข้าว กับ น้ำ ขนม มีวิญญาณาหาร คือสิ่งที่ต้องรับเข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ถ้าไม่มีเราจะรู้สึกเฉา กิเลสเริ่มเฉาใกล้จะตาย ก็ดิ้นรนอาละวาด แล้วเราก็ไปเติมให้มันทุกที ก็เลยไม่รู้จักตายสักที แล้วก็กลับมาฟัดเราใหม่ทุกทีเหมือนกัน


หมายเหตุ :
** ที.ปา. ๑๑/๒๔๔-๒๔๐ : ม.มู. ๑๒/๑๑๓/๘๗ : สํ.นิ. ๑๖/๒๔๕/๑๒๒ : อภิ.วิ. ๓๕/๑๐๘๑/๕๔๓
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-07-2010 เมื่อ 03:15
สมาชิก 91 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 22-07-2010, 10:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ยังมีมโนสัญเจตนาหาร ตัวนี้คือความมุ่งมั่นของจิต ถ้าตราบใดที่งานนี้ไม่เสร็จ หรือตราบใดที่ภาระในรับผิดชอบไม่เสร็จ จิตนี้จะมุ่งต่อไปไม่เลิก ถึงขนาดอยู่ต่อได้ทั้งที่หมดอายุไปแล้ว ถ้าจะใช้ให้ใช้ตัวนี้แทน

แต่ประเภทที่ชวนออกไปข้างนอก มีเรื่องสำคัญอย่างนั้นอย่างนี้ อย่าไปฟัง มันกำลังหลอกเราอยู่ ถ้าจำเป็นจริง ๆ ออกไปได้ แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าหากหลาย ๆ คนมีความจำเป็น ดูว่าภาระนั้นฝากคนอื่นไปได้ไหม ? ถ้าฝากได้ฝากกันไปเลย แล้วเราก็มานั่งดูกิเลสมันดิ้น ดูว่าจะตายไหม ?

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ จริง ๆ แล้วที่เราทำในทาน ในศีล ในภาวนา เป็น “ตบะ” *** คำว่า ตบะ บาลีเรียกอีกคำว่า อาตาปี**** ความเพียรในการเผากิเลส ยิ่งเผามากเท่าไร กิเลสก็ยิ่งดิ้นรนมากเท่านั้น ต้องเผาให้ตายกันไปข้างหนึ่งเลย..!

ไม่ใช่เวลามันดิ้นแล้วเราก็ไปผ่อน พอยอมให้ทีไร มันก็เล่นงานเราทุกที ผมเองก็ไม่ค่อยมีเวลาที่จะมาอบรมพวกท่านนัก ในขณะเดียวกันร่างกายผมก็แย่มาก ๆ กลายเป็นว่าผมเองไม่มั่นใจว่าตัวเองจะอยู่ได้นานเท่าไร

ฉะนั้น..พวกท่านอย่ามั่นใจเกินไป ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติให้มากที่สุด เพื่อที่ถึงเวลาแล้ว เราจะได้ยืนหยัดด้วยตัวเองให้เร็วที่สุด เพราะว่า..นอกจากตัวเราแล้ว คนที่หวังพึ่งเรายังมีอยู่ ถ้าเราพึ่งตัวเองไม่ได้แล้วคนอื่นจะพึ่งเราได้อย่างไร ?

------------------------------------------

หมายเหตุ :

***ขุ.ขุ. ๒๕/๕๓ : ขุ.สุ. ๒๕/๓๑๗/๓๗๖ : ขุ.ชา. ๒๘/๒๔๐/๘๖
**** พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ : พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ : ทีฆนิกาย : มหาวรรค : มหาสติปัฏฐานสูตร
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-07-2010 เมื่อ 13:54
สมาชิก 92 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:33



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว