กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 03-12-2014, 07:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default พระอาจารย์ให้โอวาทก่อนพระสึก ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๗

คุณรู้จักความดีของเต่าบ้างไหม ? เต่าอยู่ในน้ำได้ อยู่บนบกก็ได้ เต่าเป็นสัตว์ ๒ โลก มาเห็นอะไรบนบกจึงไปเล่าให้ปลาในน้ำฟัง เล่าให้ตายปลาก็ไม่เชื่อหรอก เพราะปลาไม่เคยขึ้นบก

ถึงได้บอกว่า นักปฏิบัติรู้เรื่องอะไรอย่าไปเล่าให้คนอื่นฟัง คนที่ไม่ได้ทำเองไม่รู้เรื่องด้วยหรอก นกบินอยู่บนฟ้า ไปบอกปลาในน้ำว่าข้างบนหน้าตาเป็นอย่างไร ปลาไม่เชื่อหรอก เพราะปลาเห็นแต่ในน้ำนั่นแหละ ขนาดน้ำปิดลูกตาปลาอยู่ ปลายังไม่เห็นเลยว่าน้ำเป็นอย่างไร

ความดีของเต่าอย่างที่ ๒ คือ เดินช้า แต่มีใครเคยเห็นเต่าเดินถอยหลังไหม ? ไม่เคย..เต่าเดินช้าอย่างไรไม่ว่า แต่ขึ้นหน้าอย่างเดียว ต้องเลียนแบบเต่าให้ได้นะ

ความดีของเต่าอย่างที่ ๓ เหมาะสำหรับนักปฏิบัติอย่างมากเลย เต่ามี ๑ หัว ๔ ขากับอีก ๑ หาง ถ้าเปรียบเทียบกับของเราก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๖ อย่างพอดี อันตรายเกิดขึ้นมา เต่าหดอวัยวะหมดเกลี้ยงเลย อันตรายไม่ผ่านไปเต่าก็ไม่โผล่ออกมา หัดรู้จักเลียนแบบเต่าบ้าง ที่เราว่าโง่เง่าเต่าตุ่นน่ะ เต่าฉลาดกว่าเราเยอะเลย พวกเรานี่ชอบยื่นหัวออกไปให้เขาฟัน อยู่ในวัดดี ๆ ไม่ชอบ ชอบสึกออกไป สมควรโดน..! กลายเป็นยำเต่าไปเถอะ

ฉะนั้น..ในเมื่อเห็นความดีของเต่า ก็ให้เลียนแบบไปบ้าง ถ้ารู้จักคิด..ทุกสิ่งรอบด้านของเรา เอาขึ้นมาคิดให้เกิดเป็นตัวปัญญาได้หมด เพียงแต่ว่าเป็นปัญญาแบบไหน ? ปัญญามี ๓ ประเภท สหชาติกปัญญา ปัญญาที่ติดตัวมาพร้อมกับการเกิด อีกศัพท์หนึ่งเขาเรียกว่าสัญชาตญาณ รู้จักวิธีกิน รู้จักวิธีนอน รู้จักวิธีหลบภัย รู้จักการสืบพันธ์ุ เป็นสัญชาตญาณเลย เพราะสั่งสมมาชาติแล้วชาติเล่า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-12-2014 เมื่อ 09:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 123 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 03-12-2014, 07:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ปัญญาอย่างที่ ๒ เรียกว่า ปาริหาริกปัญญา เป็นปัญญาที่มาศึกษาเรียนรู้เอาในปัจจุบันนี้ ได้ยินมา ได้ฟังมา ได้อ่านมา ครูบาอาจารย์สั่งสอนมา พ่อแม่อบรมมา ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยตัวเองอีกอย่างหนึ่ง รวมแล้วเป็นปาริหาริกปัญญา

ปัญญาตัวสุดท้าย เรียกว่า เนปักกปัญญา เป็นปัญญาที่หาทางเอาตัวรอดจากวัฏสงสาร พยายามเสาะหาว่าทางไหนที่จะพ้นทุกข์ จนกระทั่งในที่สุดพระพุทธเจ้าท่านก็พบ แล้วนำมาบอกต่อ คือ มรรค ๘ ย่อลงมาเหลือ ศีล สมาธิ และปัญญา

ในเมื่อเรามีปัญญามากกว่าเต่าตั้งเยอะ ก็หัดใช้ปัญญาเสียบ้าง ไปเดิน ๆ อยู่ตามโบราณสถานที่เตี้ย ๆ มีภาษาอังกฤษเขียนว่า Mind your head แปลตรง ๆ ว่า คิดถึงกบาลเอ็งบ้าง..! แต่ถ้าแปลเป็นไทยแบบเพราะ ๆ ก็ "ระวังศีรษะ" แต่ป้ามอยแปลตรงที่สุด แปลว่า “หัดใช้หัวซะบ้าง” ของแข็งขนาดนั้นเสือกไปเดินชน แปลว่าไม่ได้ใช้หัวคิด..! เพราะฉะนั้นโปรดใช้หัวคิดกันบ้าง

อะไรก็ตามที่ผมศึกษามา ผมถือหลักตามครูบาอาจารย์ ก็คือ ไม่มีกำมือสำหรับศิษย์ แปลว่าไม่ซุกซ่อนวิชา ผมรู้เท่าไรผมบอกแค่นั้น อยู่ที่ว่าพวกคุณจะทำได้เท่าไร ก็เหลือแต่ความพากเพียรพยายามเป็นการส่วนตน

ชีวิตฆราวาสเราปฏิบัติธรรมได้ แต่อย่าให้คนอื่นเขารู้ เพราะเมื่อคนอื่นเขารู้เราจะอยู่ลำบาก เราต้องทนเป็นขี้ปากเขา มีโยมอยู่คนหนึ่ง เคยมาบวชชีที่นี่เป็นปีเลย ตอนนี้ไปนับถือศาสนาคริสต์เรียบร้อยแล้ว ดูท่าอีกไม่นานต้องไปเป็นอิสลามแน่นอน โยมคนนี้ตอนเป็นแม่ชีอยู่ปฏิบัติดีมาก หลังจากนั้นสึกไปไม่นานก็โทรมาโวยวายว่า จำเป็นต้องเปลี่ยนไปศาสนาคริสต์ เพราะปฏิบัติในศาสนาพุทธแล้วอยู่กับเขาลำบาก เขาไปถือกรรมบถ ๑๐ ในที่ทำงาน แล้วโดนเจ้านายเล่นงาน โดนเพื่อนพ้องว่าด่าทุกคน คือใครจะคุยงานด้วยเธอเงียบอย่างเดียว กลัวว่าจะผิดกรรมบถ ตกลงใครโง่วะ..?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-12-2014 เมื่อ 09:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 118 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 03-12-2014, 08:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ธรรมะของพระพุทธเจ้าดีทุกอย่าง สำคัญตรงที่ว่าเราเอาใช้ถูกกาลเทศะหรือเปล่า ? มีกาลัญญุตาไหม ? สัปปุริสธรรม ๗ มีกาลัญญุตา รู้กาลเทศะ กาละคือเวลาเหมาะสมไหม ? เทศะคือสถานที่เหมาะสมไหม ? จะปฏิบัติกรรมบถ ๑๐ ก็ทำไปสิ แต่ต้องให้เลิกงานก่อน ไม่ใช่ตอนทำงานอยู่ ใครพูดอะไรกูไม่พูดด้วย เพราะกูกลัวผิดกรรมบถ ๑๐ พอโดนเจ้านายด่า โดนเพื่อนฝูงด่ามาก ๆ เข้า ก็เลยเปลี่ยนไปถือศาสนาคริสต์แทน เพราะว่าปฏิบัติตามหลักธรรมในศาสนาคริสต์แล้วไม่เดือดร้อนตอนทำงาน ดีเหมือนกัน..เปลี่ยนจากเพชรไปเป็นข้าวเปลือกเมล็ดหนึ่ง เห็นคุณค่าของข้าวเปลือกว่าดี..ใช้ได้ แต่กว่าจะเจอเพชรอีกทีก็คงอีกหลายชาติ..!

เพราะฉะนั้น..การปฏิบัติธรรม เราไม่จำเป็นต้องไปอวดใคร ทำ..แต่อย่าอวดใคร เพราะผู้ปฏิบัติธรรมนั้นคนเขามองเป็น ๒ อย่างด้วยกัน อย่างที่ ๑ ก็คือเห็นเป็นผู้วิเศษ แล้วก็จะมากวนเช้า กลางวัน เย็น กลางคืน อีกอย่างหนึ่งคือเห็นว่าเราบ้า ถ้าเขาเห็นเราบ้าเฉย ๆ แล้วไม่ยุ่งกับเราก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ส่วนใหญ่คอยตามว่า เพราะฉันเป็นคนดี ในเมื่อฉันเป็นคนดีก็ต้องเฉ่งคนบ้าให้ได้ คราวนี้คุณเห็นแล้วยังว่าโลกเราเป็นอย่างไร ?

ท่านตือกลับบ้านไปถือศีล ๘ เพื่อนฝูงบอกว่า “เฮ้ย..ตือ กินข้าวเย็นด้วยกัน” ถ้าตอบไปว่า “ไม่ละ..ผมถือศีล ๘” รับรองได้ครับ เขามองหัวถึงตีน ตีนถึงหัวไม่ต่ำกว่า ๓ รอบ แต่ถ้าตอบว่า “ไม่ไหวแล้วครับ ตอนนี้เบาหวานขึ้น หมอบอกว่าไม่ควรจะกินอาหารมาก เก๊าท์ก็เป็นตั้งเยอะตั้งแยะแล้ว ตอนนี้ผมลดอาหารอยู่ครับ” รักษาศีล ๘ ได้เหมือนกันใช่ไหม ? แล้วทำไมสิ่งที่พูดแล้วตัวเราเองสบายขึ้นจึงไม่พูด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-12-2014 เมื่อ 11:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 119 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 03-12-2014, 11:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องของการปฏิบัติธรรมเป็นกุศโลบาย กุศล แปลว่า ฉลาด อุบาย แปลว่า ความแยบคาย ต้องทั้งฉลาดและแยบคาย ไม่อย่างนั้นแล้วจะอยู่ในโลกนี้ยากมาก เพราะเขาไหลตามน้ำกันหมด แล้วเราไปทวนน้ำอยู่คนเดียว เขาก็ว่าบ้าทั้งนั้นแหละ ตูโดนมาเองแล้ว..โดนเยอะด้วย โดนมาตั้งแต่เพิ่งเรียนมัธยม ครูทุกท่านยกเว้นท่านที่สอนเราให้เป็นอย่างนี้และเพื่อนทุกคน สรุปว่าผมบ้าทั้งนั้น แล้วก็ลามมาถึงพ่อแม่พี่น้องบอกว่าผมบ้าหมด

แต่ว่าทุกวันนี้ “ไอ้คนบ้า” ยืนอยู่ตรงนี้ ฝ่าฟันกระแสมาแบบไม่หวั่นไหว เพราะมั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นดีแน่..ถูกแน่ ไม่จำเป็นต้องไปฟังเสียงนกเสียงกา เราเห็นประโยชน์ เราทำ ทำแล้วเราได้ สิ่งที่เขาว่าเราแค่ลมปากผ่านหู เคยได้ยินท่านอาจารย์หม่อมคึกฤทธิ์พูดไหม ? มีคนไปด่าท่าน มีคนถามท่านว่าโดนด่าแล้วโกรธไหม ? ท่านบอกว่า “หมาเหยี่ยวรดภูเขาทอง ภูเขาทองจะไปรู้สึกอะไรวะ ?” นั่นอาจารย์คึกฤทธิ์ท่านว่า

แต่ของผมไม่ใช่ครับ..ผมบ้า พวกเราถ้าตั้งใจปฏิบัติธรรม ต้องบ้ากว่าคนทั่วไปหลายเท่า ไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถฝืนกระแสโลกได้ ในเมื่อคุณจะออกไปชนกับเขา พรุ่งนี้สึกแล้วใครคิดจะใส่หมวกบ้าง ? ยกมือขึ้น (ถามพระที่จะสึก ยกมือกันหลายรูป) แล้วใส่ทำไม ? ตอนไปกินเหล้าเมายาเข้าคลับเข้าบาร์ทำไมไม่ใส่หมวก ? ไม่ปิดหน้า นี่เราไปทำความดีมา ไปบวชมา ทำไมต้องไปใส่หมวก ? โกนซ้ำอีกรอบไปเลย ให้รู้ไปเลยว่ากูบวชมา..!

เราต้องรู้จักกล้าในเรื่องการทำความดีครับ เรามั่นใจว่าสิ่งนี้ดีแน่เราทำ ถ้าไม่มั่นใจเราโกนซ้ำอีกสัก ๒ วันพระก็ได้ ให้รู้ ๆ กันไปเลย ทำไมต้องไปปิดบังตัวเองด้วย เราทำความดีมาแท้ ๆ ความดีน่าละอายตรงไหน ? ตกลงเสียเงินค่าหมวกฟรีใช่ไหม ? เสือกทะลึ่งไปซื้อเอง ถ้าอาจารย์อยู่บอกแต่แรกก็ไม่ต้องเสียสตางค์แล้ว อาจารย์ดันไปกิจนิมนต์เสียนี่..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-12-2014 เมื่อ 18:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 103 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 03-12-2014, 11:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ฉะนั้น..เรามั่นใจ แต่อย่าไปถือทิฐิ ถ้าถือทิฐินี่เราจะไม่ยอมรับอะไร ส่วนใหญ่แล้วท่านที่เรียนมาสูง ๆ จะเป็นคนประเภทนั้น แบกทิฐิ แบกมานะไม่รู้ตัว หัดฟังเสียงนกเสียงกาบ้าง ใครเขาตักเตือนว่ากล่าว หรือกระทำต่อเราผิดไปจากปกติ ให้รู้จักสอบถามบ้างว่าผิดตรงไหนพลาดตรงไหน เราจะแก้ไขตัวเองได้ แต่ถ้าเราไม่ฟังคำใครเลย จะเหมือนกับในนิทานเซน นักศึกษาคงแก่เรียนไปถามปัญหาธรรมกับท่านอาจารย์นันอิน อาจารย์นันอินรินน้ำชาใส่ถ้วยเลี้ยงเขา เทจนล้นแล้วล้นอีกก็ไม่หยุดเสียที นักศึกษาก็บอกว่าอาจารย์ครับ ชาล้นแล้ว “ก็เหมือนกับคุณนั่นแหละ” เท่านั้นแหละครับ ถึงบางอ้อเลย ก็ในเมื่อเอ็งทำตัวเป็นชาล้นถ้วย แล้วจะเติมอะไรลงไปได้ ประโยชน์สักนิดก็ไม่มี

พระพุทธเจ้าท่านแบ่งคนเป็น ๔ ประเภท ๑ อุคฆฏิตัญญู ฟังแค่หัวข้อธรรมก็รู้แจ้งแทงตลอด แบบพระสารีบุตร “ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ ตถาคตตรัสถึงเหตุและการดับไปของธรรมนั้น” จบเลยครับ..เป็นพระโสดาบัน นี่ผมพูดให้พวกคุณฟังแล้ว..บรรลุแล้วใช่ไหม ? ไม่มีเลย..เออ..เป็นเวรกรรมของกูเอง..!

ประเภทที่ ๒ วิปจิตัญญู อธิบายขยายหัวข้อความให้เข้าใจก็บรรลุมรรคผลได้ ประเภทที่ ๓ เนยยะ น่าสงสารหน่อย ต้องเคี่ยวเข็ญกันเช้า กลางวัน เย็น กลางคืน วันหนึ่งอย่างน้อย ๔ รอบ เปิดเสียงตามสายกรอกหูแม่..เข้าไป ฟังกันบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ ?

ประเภทที่ ๔ ปทปรมะ พวกนี้ไม่ใช่คนโง่นะครับ พวกนี้ฉลาดเกินคน ฉลาดแล้วไม่ยอมรับความคิดคนอื่น รากศัพท์บอกไว้ชัดเลยครับ ปทปรมะ แปลว่า มากด้วยบทบาทอย่างยิ่ง พวกท่ามาก พวกคนเมืองกาญจน์ฯ ไล่ตั้งแต่ท่าไม้ ท่าผา ท่าล้อ ท่าเรือ ท่ามะกา ฯลฯ ขึ้นมาจนถึงท่าขนุนนี่แหละ..! พวกนี้ปทปรมะหมด ไม่ฟังคำใคร คนฉลาดมีมาก แต่ถ้าเราทำตัวเป็นพวกฉลาดลักษณะนี้ เราจะเสียประโยชน์ของเราเอง เขาเก็บเกี่ยวอะไรจากคนอื่นไม่ได้ เพราะมานะบังหน้าไปแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-12-2014 เมื่อ 13:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 100 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 03-12-2014, 11:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การทำการทำงานทุกอย่าง การศึกษาเรียนรู้สำคัญที่สุด ต้องถามครับ..ไม่มีใครรังเกียจหรอกที่จะอธิบายให้ฟัง เพียงแต่คุณรู้จักถามหรือเปล่า ? แต่ถามให้ถูกที่นะครับ สมมุติเข้าไปสมัครงาน ไม่ต้องถามว่าเงินเดือนเท่าไร แต่ให้ถามว่าตำแหน่งนี้มีความรับผิดชอบอย่างไรบ้าง ? ขอบเขตอำนาจของผมมีแค่ไหน ? แล้วอย่าไปล้ำเส้นก็พอ ทำงานในหน้ารับผิดชอบเราให้ดีที่สุด ส่วนอื่นต่อให้เห็นตำตาก็อย่าไปยุ่งกับเขา แล้วคุณจะประสบความสำเร็จ

เสือกเรื่องคนอื่นเมื่อไรจะยุ่งครับ ทุกคนมีความภูมิใจในงานของตัวเอง ถ้าเขาขอร้องเราเข้าไปช่วยได้ แต่ถ้าอยู่ ๆ เราเข้าไปเสือกงานของเขา รับรองว่าเป็นเรื่องทุกคน ก็เพราะความภูมิใจของเขาเอง ภาษาอังกฤษเรียกว่า อีโก้ ภาษาพระท่านว่า มีอัตตา ก็คือมานะถือตัวถือตน รู้หรือยังท่านกบ..ว่าที่ผ่านมาเป็นเพราะอะไร ? เพราะเราทำตัวผิดธรรมชาติ ผิดธรรมชาติตรงไหน ?

ตามี ๒ หูมี ๒ จมูกมี ๒ ปากมีปากเดียว เขาต้องการให้ดูให้มาก ฟังให้มาก ดมหรือพิสูจน์ทราบให้มาก แต่พูดให้น้อย อวัยวะอื่นทำหน้าที่ ๒ อย่างได้หมด แต่ปากทำหน้าที่ได้ทีละอย่างเดียวครับ ไม่สามารถทำพร้อมกันได้ ลองกินแล้วพูดดูสิ ทุเรศไหมครับ ?

เพราะฉะนั้น ศึกษาหน้าที่การงานของเราให้เต็มที่ ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ทำเหมือนกับเป็นงานของเราเอง ทุกวันนี้ที่เราไม่ค่อยประสบความสำเร็จ เพราะไม่มีจิตสำนึกความเป็นเจ้าของในงานนั้น คุณคิดแค่ทำให้ผ่านไปวันหนึ่ง ทำให้ได้ค่าแรงก็พอ ทำอย่างนี้เกินค่าแรงของเราแล้ว เอาแค่นี้ก่อน แล้วจะเอาความสำเร็จที่ไหนมา ? นี่วันนี้ผมไม่ว่าเรื่องธรรมะนะ ผมบอกท่านที่จะสึกออกไป ว่าจะต้องทำตัวอย่างไร ถ้าท่านที่อยู่ต่อเดี๋ยวรอวันอื่นมีให้ สงสารคนที่จะไปยุ่งกับโลกหน่อย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-12-2014 เมื่อ 13:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 101 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 04-12-2014, 06:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ตั้งแต่ผมเกิดมานี่ไม่เคยตกงาน งานเยอะโคตรทุกวันเลย ก็เพราะเราต้องศึกษาครับ พระพุทธเจ้าตรัสว่า สิปปัญจะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง การมีศิลปะจัดเป็นอุดมมงคลอย่างยิ่ง จะเป็นมงคลสูงสุดขนาดนั้นได้อย่างไร ? ศิลปะที่สำคัญก็คือศิลปะการเอาตัวรอดในโลกนี้ครับ ทำอย่างไรที่คุณจะอยู่ได้สบายที่สุด ทำหน้าที่ของเราอย่างไรให้ดีที่สุด ทำอย่างไรให้หน้าที่การงานเราเจริญรุ่งเรืองที่สุด

ต้องดูคนญี่ปุ่นเป็นตัวอย่าง คนญี่ปุ่นทำงานนี่ทุ่มให้กับบริษัทเลย เหมือนกับเป็นบริษัทตัวเอง ญี่ปุ่นทำงานมากที่สุดในโลก จนรัฐบาลของเขาต้องขอร้องให้ลดชั่วโมงการทำงานลง ชั่วโมงทำงานเขาเฉลี่ยวันละ ๑๐ ชั่วโมง บ้านเรา ๘ ชั่วโมง เข้างาน ๘ โมงเช้าเลิกงาน ๔ โมงเย็น...ไม่จริงหรอก เห็นส่วนใหญ่มาทีหลังกลับก่อนทุกทีแหละ..!

ทำอย่างไรที่เราจะมีจิตสำนึกร่วมในการเป็นเจ้าของ คุณรู้หรือเปล่าว่าบริษัทใหญ่ ๆ ในปัจจุบันนี้ บังคับให้พนักงานมีจิตสำนึกร่วมในความเป็นเจ้าของ อย่างเช่นซีพี ถึงเวลาต้องจ่ายโบนัส เขาจ่ายให้เป็นหุ้นครับ ในเมื่อจ่ายเป็นหุ้น คุณก็เป็นเจ้าของบริษัทไปด้วย อยากจะรวยกว่านี้ใช่ไหม ? ทุ่มเทให้กับบริษัทสิ ถ้าหุ้นขึ้นคุณก็รวยขึ้น เห็นหรือยังครับว่า ถ้าเราไม่มีจิตสำนึกเขาก็ต้องบังคับให้เรามี สมมุติว่าโบนัสปีนี้ต้องจ่ายให้เราแสนหนึ่ง เขาก็ให้เป็นหุ้นมาห้าหมื่น เก็บเงินสดไว้ได้ตั้งครึ่ง แถมพนักงานยังทุ่มเทให้กับบริษัทอีกด้วย สิทธินี้จะหมดไปทันทีที่คุณออกจากบริษัทของเรา

เพราะฉะนั้น..ถ้าคุณมีจิตสำนึกในความเป็นเจ้าของ ทุ่มเทให้หน้าที่ให้ดีที่สุด ความสำเร็จจะไม่มาถึงได้อย่างไร ? ลองฟังคำพูดของพระผู้ที่ผมมั่นใจว่าท่านบริสุทธิ์แน่ อันดับแรก..พระพุทธเจ้าตรัสว่า นิสัมมะ กรณัง เสยโย ใคร่ครวญเสียก่อนแล้วค่อยทำ อัตตนา โจทยัตตานัง จงกล่าวโทษโจทก์ตนเองไว้เสมอ

หลวงปู่มหาอำพันของผมท่านบอกว่า “อย่ายุ่งกับเรื่องคนอื่น ทำหน้าที่เราให้ที่สุด” ฟังดี ๆ นะครับ หลวงปู่บุดดาท่านบอกว่า “กายเดียวจิตเดียวก็นิโรธ หลายกายหลายจิตมันยุ่ง” หลวงพ่อฤๅษีท่านบอกว่าอย่างไร ท่านบอกว่า “วางเฉยต่อร่างกายนี้ ยอมรับกฎของกรรม” คนละเรื่องกันเลยใช่ไหมครับ ? หรือว่าเรื่องเดียวกัน ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 07-12-2014 เมื่อ 19:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 94 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 04-12-2014, 06:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องเดียวกันทั้งหมดนั่นแหละครับ แต่ว่าประสบการณ์ของท่านที่ทำมา ท่านไปคนละมุมกัน ท่านบอกตามที่ท่านพบมา “อย่ายุ่งกับเรื่องของคนอื่น” กับ “หลายกายหลายจิตมันยุ่ง” เรื่องเดียวกันไหม ? “ยอมรับกฎของกรรม” ก็อย่าไปยุ่งกับแม่..สิ กรรมของคนอื่นเขานี่ เรื่องเดียวกันทั้งหมดแหละครับ

ฉะนั้น..พระที่ท่านรู้และเข้าถึง ท่านรู้เรื่องเดียวกัน แต่สำนวนในการพูด ประสบการณ์และมุมมองของแต่ละท่าน ทำให้คำสอนออกมาไม่เหมือนกัน แต่อาหารทั้งหมดให้รสเดียวกัน คือวิมุติรส รสแห่งความหลุดพ้น

พระพุทธเจ้าท่านเปรียบธรรมะของพระองค์เหมือนกับทะเล เรื่องนี้จอมอสูรชื่อ ปหาราทะ ขึ้นจากทะเลมาทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ธรรมะของพระองค์ดีอย่างไร ในเมื่อมาจากทะเล พระพุทธเจ้าท่านจึงเปรียบให้ฟังเลยว่า ธรรมะขององค์ท่านเหมือนกับทะเล อันดับแรกคือ พระธรรมวินัยนี้ค่อย ๆ ลึกลงไปตามลำดับ ๆ ยกตัวอย่าง อนุปุพพิกถา กล่าวเรื่องของการให้ทาน เรื่องของการรักษาศีล ผลของทานและศีลทำให้คุณไปสวรรค์ ในเมื่อคุณไปสวรรค์แล้วถ้าไปยึดติดอยู่ตรงนั้น ไม่สามารถที่จะหลุดพ้นได้ คุณก็ต้องเบื่อหน่ายจากสิ่งนั้น ในเมื่อเบื่อหน่ายคลายกำหนัดจากสิ่งนั้น ก็ต้องปฏิบัติลักษณะของการถือบวช ถึงจะมีโอกาสหลุดพ้นได้ ไปตามลำดับ ๆ เหมือนทะเลที่ค่อย ๆ ลึกลงไปจนถึงจุดที่ลึกที่สุด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-12-2014 เมื่อ 10:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 93 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 04-12-2014, 06:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

๒. พระธรรมวินัยนี้เหมือนทะเลที่ไม่เคยล้นฝั่ง เพราะพระภิกษุสามเณรในพระธรรมวินัยนี้ ไม่ล่วงละเมิดในศีล จึงจะตั้งอยู่ในความเป็นพระภิกษุสามเณรได้ เหมือนกับทะเลที่ไม่เคยล้นฝั่ง จึงจะคงความเป็นทะเลเอาไว้ได้

๓. ธรรมะของพระองค์เหมือนกับทะเลที่สายน้ำทั้งหมดไหลลงไปรวมกันที่เดียว ไม่ว่าจะแสดงธรรมที่ไหนก็ตาม เรื่องราวทั้งหมดจะลงที่ประโยชน์ปัจจุบัน ประโยชน์อนาคต และประโยชน์สูงสุด คือหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน เหมือนสายน้ำทุกสาย ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำใหญ่หรือลำธารน้อย ท้ายที่สุดก็ไหลลงทะเลไปทั้งหมด

๔. พระธรรมวินัยนี้เปรียบเหมือนกับทะเลที่ไม่เคยบกพร่อง ไม่ว่าพระอรหันต์ จะมรณภาพไปพระนิพพานเท่าไร นิพพานธาตุนั้นก็ไม่ได้เต็มขึ้นหรือพร่องลง เหมือนกับทะเลที่สายน้ำไหลลงไป หรือโดนแดดเผาระเหยไปเท่าไร ก็ไม่ปรากฏว่าเต็มหรือพร่องลง

๕. พระธรรมวินัยของท่านเปรียบเหมือนกับทะเล จะซัดซากศพและสิ่งโสโครกขึ้นฝั่งเสมอ บุคคลที่ไม่ปฏิบัติดี ไม่ปฏิบัติชอบ ไม่สามารถอยู่ในพระธรรมวินัยนี้ได้ครับ อันดับแรก คือ เกิดวิปฏิสาร คือเดือดเนื้อร้อนใจเองจนอยู่ไม่ได้ แล้วต้องไป อันดับที่สอง ในเมื่อคุณทำผิดทำพลาด เพื่อนสหธรรมิกเห็นเข้า เขาก็ไม่คบหาสมาคมด้วย อยู่ร่วมกับเขาไม่ได้ ในที่สุดก็ต้องไป อันดับที่สาม สิ่งที่ทำถ้าผิดกฎหมายบ้านเมืองและศีลธรรม เดี๋ยวชาวบ้านเขาเล่นเองครับ อยู่ไม่ได้หรอก

๖. พระธรรมวินัยของพระองค์ท่านเหมือนทะเลที่มีรสเดียว ทะเลที่ไหนก็เค็มเหมือนกันหมด พระธรรมวินัยของพระท่านมีรสเดียวคือวิมุติรส รสแห่งความหลุดพ้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 07-12-2014 เมื่อ 19:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 92 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 04-12-2014, 06:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

๗. พระธรรมวินัยของท่านเปรียบเหมือนทะเลมีสิ่งที่ใหญ่โตอาศัยอยู่ เช่น ปลาใหญ่อย่างปลาติมิงคละ ติรมิงคละ อสูร นาค คนธรรพ์ เหมือนกับพระธรรมวินัยนี้ที่มีพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และ พระอรหันต์

๘. พระธรรมวินัยนี้เหมือนทะเลที่ประกอบไปด้วยรัตนะ คือสิ่งมีค่าสารพัดสารเพที่โดนซัดไปรวมกันอยู่ เขาว่าจุดที่มากที่สุดคือสะดือทะเล เหมือนกับพระธรรมวินัยนี้ ที่ประกอบไปด้วยหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลากหลายเหมือนกับอัญมณีสารพัดอย่าง รู้ไหมครับว่าสะดือทะเลอยู่ตรงไหน ? ถ้าผมบอกให้นี่จะไปงมไหม ? มีใครรู้บ้าง ? ในที่นี้มีใครจบด็อกเตอร์มาบ้าง ? ปริญญาโทก็ได้ ง่ายจะตาย สะดือทะเลอยู่ที่ท้องทะเลครับ ไม่มีท้องก็มีสะดือไม่ได้ โห..ไอ้พวกเรียนมากรู้เกิน..!

ฉะนั้น..สิ่งที่พระองค์ท่านตรัสไว้ ที่ผมมาเน้นตรงนี้ ก็คือ ไม่ว่าหลวงปู่หลวงพ่อแต่ละท่าน จะกล่าวถึงพระธรรมวินัยในลักษณะไหนก็ตาม ท้ายสุดก็มีความหมายเดียวกันหมด อย่างที่ผมยกตัวอย่างมานั่นแหละ ครูบาอาจารย์แต่ละท่าน บางทีสรุปหลักธรรมของท่าน ถ้าเราฟังเป็น จะสามารถจับจุดได้ว่า ของท่านเป็นอย่างนี้ ผมไปกราบหลวงปู่ดู่ “หลวงปู่ครับ โปรดเมตตาสงเคราะห์ด้วย มีหลักธรรมอะไรที่จะให้กระผมก้าวหน้าไปยิ่งกว่านี้ ได้โปรดแนะนำด้วยครับ” หลวงปู่ดู่ท่านบอกว่า “ครูบาอาจารย์ผมท่านไม่ได้สอนมากหรอก ท่านสอนว่าพุทธัง ธัมมัง สังฆัง เป็นที่พึ่ง”

ผมก็กราบก้นโด่งคลานออกมา ท่านตี๋ (พระนิติ สุธมฺมสุนฺทโร) วัดท่าซุง คาดว่าหลายท่านคงรู้จัก ที่ตัวยาวคล้าย ๆ เปรตนะ แขนขายาวมาก ผมเป็นพี่ ผมว่าท่านได้ แต่พวกคุณอย่าไปว่าเชียวนะ ท่านคลานตามออกมา ถามว่า “หลวงเฮียจะไปไหน ?” “อ้าว ได้ขนาดนี้แล้วยังจะไม่ไปอีกหรือ ?” ท่านบอกว่า “อะไรวะ ? อั๊วไม่เห็นรู้เรื่องเลย” ผมก็บอกว่า “เอ็งรู้หรือเปล่า ? พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งนี่ยันพระนิพพานเลยนะ” เพราะเราเคารพพระรัตนตรัยเราถึงรักษาศีล เราเคารพพระรัตนตรัยเราถึงตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อไปพระนิพพาน ของท่านสรุปมาแค่นั้นแหละ ทั้งชีวิตที่ทำมา ถ้าฟังเป็น ครูบาอาจารย์แต่ละท่านสรุปหลักธรรมของท่านให้มาสั้นมากเลย และออกจากประสบการณ์แท้ ๆ ด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-12-2014 เมื่อ 10:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 95 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 04-12-2014, 11:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ฉะนั้น..เมื่อออกไป อันดับแรกเลยก็คือ จะทำงานทำการที่ไหนก็ตาม ขอไว้ว่าทำให้เหมือนงานนั้นเป็นงานของเราเอง ประการที่สอง ก็คือ จะปฏิบัติธรรมก็ให้รู้กาลเทศะ ถึงเวลาอยากภาวนาจริง ๆ ก็เข้าส้วมสิครับ ไปนั่งสัก ๓๐ นาทีก็ได้ พอเจ้านายด่ามา เราอารมณ์ใจทรงตัวแล้วก็ยิ้มได้ “ขอโทษครับ ท้องผูกไปหน่อย” ไม่ใช่ไปถึง “เมื่อกี้ผมไปนั่งภาวนามาครับ” อย่างนั้นคงได้ทำสัก ๓ วันละงานนั้น..!

คนที่ปฏิบัติธรรม ยิ่งปฏิบัติไปก็ยิ่งมีปัญญา ในเมื่อยิ่งมีปัญญา ก็จะอยู่ในโลกนี้ลักษณะของน้ำที่อยู่บนใบบัวหรือใบบอน กลิ้งไปตรงไหนก็ไม่ได้ติดกับใบบัวหรือบอนหรอกครับ จะเรียกว่ากะล่อนก็ได้ ถ้ามีคนมาถึงก็ “เฮ้ย..หนุ่ย..ยืมตังค์หน่อยสิ” “ไม่มีหรอกพี่ ไม่ได้พกมาเผื่อเลย” ในวงเล็บ (กูไม่ได้เผื่อให้มึงยืม) แต่อย่าไปพูดในวงเล็บให้เขาฟังสิ ไม่เห็นต้องโกหกเลย..ใช่ไหม ?

ผมเป็นทหาร เวลาวิ่ง ๑๒ กิโลเมตร กลับมาถึงครูฝึกก็ถาม “หิวไหม ?” ต้องบอกไม่หิวนะครับ ใครบอกว่าหิวไม่ได้แดกแน่..! “เหนื่อยไหม ?” ต้องบอกว่าไม่เหนื่อย “ร้อนไหม ?” ต้องบอกว่าไม่ร้อนครับ แต่ผมไม่เคยโกหก เพราะผมปฏิบัติธรรมมาหลายปีแล้ว เขาถาม “หิวไหม ?” พอเพื่อนบอก “ไม่” ผมก็ “หิว” เต็มที่เลย เป็นคนตรงไปตรงมามาก “เหนื่อยไหม ?” พอเพื่อนบอก “ไม่” ผมก็ “เหนื่อย” ตะโกนให้ดัง ๆ เลย “ร้อนไหม ?” ร้อนครับ แต่ต้องรอให้เพื่อนบอก “ไม่” ไปก่อน เสือกไปร้อนโด่เด่อยู่คนเดียวก็ตัวใครตัวมัน..!

เห็นหรือยังครับว่าถือศีลปฏิบัติธรรมก็อยู่ในโลกนี้ได้ อยู่แบบน้ำกลิ้งบนใบบอน อยู่แบบคนกะล่อน แต่เราสามารถรักษาศีลและกรรมบถ ๑๐ ของเราได้ ไม่จำเป็นต้องไปละเมิดศีล ที่คุณจดไปแล้วได้อ่านหรือเปล่าวะ ? เรื่องพวกนี้บางทีผมพูดให้คุณฟัง จดไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกครับ มีเด็กผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง เริ่มเข้าสู่วัยรุ่น แม่ส่งมาวัด ผมคุยกับเขาอยู่ ๑ ชั่วโมงเต็ม ๆ แม่ถามว่าหลวงลุงคุยอะไร ? เขาบอกไม่ได้เลย แล้วหลวงลุงสอนไปรู้เรื่องหรือเปล่า ? เขาบอกรู้ อ้าว..เมื่อบอกไม่ได้แล้วรู้ได้อย่างไร ? คือเขาไม่สามารถที่จะบอกเป็นภาษามนุษย์ได้ครับ แต่เขาเข้าใจ ซึมซับเข้าไปอยู่ในใจแทน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-12-2014 เมื่อ 11:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 93 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #12  
เก่า 07-12-2014, 18:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเรื่องของหลักธรรม ถ้าคุณไปอ่านหนังสือธรรมะเล่มหนึ่ง อ่านครั้งหนึ่งผ่านไป "เออ..ตรงนี้เข้าท่า ตรงนี้ดี" บางคนขีดเส้นเน้นด้วย พอไปอ่านอีกรอบหนึ่ง “อ้าว..ตรงนี้เลยไปได้อย่างไรวะ ?” ลักษณะนี้ ตรงที่เลยไปความจริงเราไม่ได้เลย เราอ่านเหมือนกัน แต่ว่าเราอ่านแล้วกำลังใจเรายังไม่ถึงตรงนั้น จึงมองข้ามไปเฉย ๆ ถ้ากำลังใจถึงตรงนั้นเมื่อไรจะถึงบางอ้อ แล้วก็ “อ้าว..คราวที่แล้วเราอ่านข้ามไปได้อย่างไร ?”

ฉะนั้น..หนังสือธรรมะอ่านบ่อย ๆ ครับ ยิ่งอ่านยิ่งได้ ยิ่งอ่านกำลังใจยิ่งละเอียดขึ้น ยิ่งเข้าใจแตกฉานขึ้น ความเข้าใจนี่เป็นปัจจัตตัง รู้เฉพาะตัว ภาษาคำพูดและหนังสือหยาบเกินไป ที่จะอธิบายหลักธรรมที่แท้จริงได้ ผมอ่านหนังสือจนหนังสือหลวงพ่อวัดท่าซุงเปื่อยไปเป็นเล่ม ๆ เลยครับ ที่เวลาผมยกตัวอย่างแล้วบอกคุณว่าอยู่หนังสือเล่มนั้น หน้านั้น บรรทัดนั้น ที่บอกได้เพราะผมอ่านมาจนนับรอบไม่ถ้วนแล้ว

บางคนก็อยากจะจับผิดผม อุตส่าห์จดเอาไว้แล้วก็ไปเปิดดู ปรากฏว่าอยู่ตรงนั้นจริง ๆ อันนี้ไม่ใช่ความสามารถพิเศษครับ เกิดจากการที่ผมอ่านย้ำแล้วย้ำอีกทุกวัน ผมใช้หนังสือธรรมะเป็นคำภาวนาครับ ผมไม่ได้อ่านเฉย ๆ “ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย..วันนี้จะกล่าวถึงเรื่องของอานาปานุสติกรรมฐาน” คำภาวนาทั้งนั้นเลยครับ เพราะผมจับควบกับลมหายใจเข้าออกไปด้วย แล้วกำลังจะทรงตัวเร็วมาก ลองไปทำดูได้

ผมต้องบังคับตัวเองว่า ต้องอ่านให้จบ ๑ เรื่องให้ได้ในทุกครั้ง ไม่อย่างนั้นแล้วอ่านไปไม่ถึงหน้า ก็อยากจะวางไปภาวนาท่าเดียว เพราะพอกำลังใจทรงตัวก็ไม่อยากอ่านแล้ว แต่ผมอยากรู้ว่าหลวงพ่อท่านสอนอะไรผมมากกว่าที่ผมรู้ ผมจึงต้องบังคับตัวเองให้อ่านให้จบให้ได้

เพราะฉะนั้น..ผมจะอ่านธรรมะของหลวงพ่อทีละเรื่อง ตั้งแต่เรื่องเก่าเลย ตัดกังวล ตัดนิวรณ์ พร้อมสัจจะ ทรงพรหมวิหาร ๔ ไล่ไปเรื่อย ไปเปิดดูในหนังสือกรรมฐานสี่สิบได้ครับ หัวข้อตามนี้เป๊ะเลย แต่ละหัวข้ออยู่หน้าไหนบ้าง ? อยู่เรื่องไหนบ้าง ? เรื่องไหนที่ผมชอบใจที่สุดผมจำหน้าได้หมด ไม่ใช่เก่งครับ แต่อ่านมาจนนับรอบไม่ถ้วนแล้ว ผมออกจากวัดท่าซุงมาใหม่ ๆ ผมซื้อเทปหลวงพ่อวัดท่าซุงมา ๑๕๐ ม้วน ถามท่านตู่ดู ทุกม้วนฟังไม่ได้เลย เพราะผมฟังจนยืดหมด ฟังจนนับครั้งไม่ถ้วน ฟังจนกระทั่งยืดก็เอาไปแช่ตู้เย็น พอเสียงดีขึ้นมาหน่อยก็เอามาฟังใหม่ คนรุ่นหลัง ๆ ไปเปิดฟังไม่รู้เรื่องแล้วครับ พังบรรลัยหมดแล้ว..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-12-2014 เมื่อ 02:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 70 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #13  
เก่า 07-12-2014, 18:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าพระเก่าที่เขาสังเกตเขาจะรู้ พอถึงเวลาเปิดเสียงตามสาย ก่อนจบนิดหนึ่งผมจะลุกขึ้นเตรียมกราบพระเลย รู้ได้อย่างไรว่าจะจบ ? โห..ฟังจนจำได้ทุกคำแล้ว ถ้าทำอย่างที่ผมว่า เรื่องของการปฏิบัติธรรมจะไม่ใช่ของยาก เพราะเราเอาคำสอนครูบาอาจารย์แทนคำภาวนา ในเมื่ออารมณ์ใจทรงตัว อ่านจบเรื่องแล้วเราค่อยวาง ไปภาวนาบทภาวนาหรือว่าคาถาอะไรที่เราต้องการแทน

เรื่องของธรรมะจะเป็นเครื่องโยงใจเราให้เป็นสมาธิ ไม่ต้องให้ลำบากลำบนตะเกียกตะกายอยู่ ๓๐-๔๐ นาทีกว่าใจจะสงบ พวกบรรดาเทคนิคต่าง ๆ นี่เกิดจากประสบการณ์ที่ทำมาจริง ๆ ในเมื่อทำมาจริง ๆ ถึงเวลาก็สามารถบอกวิธีที่ว่าง่ายสำหรับพวกเราได้ ให้สังเกตว่าใครปฏิบัติมาเอง ถึงเวลาสอนเราจะง่ายครับ ปฏิบัติตามได้ทุกข้อเลย เพียงแต่จะตามได้นานเท่าไรแค่นั้นเอง

ที่ผมพูดมานี่มีใครคิดอยากจะไม่สึกบ้างไหมครับ ? อุตส่าห์พูดจนน้ำลายแห้งมาตั้งนาน ๔๕ นาทีกว่า จะ ๕๐ นาทีแล้วนะครับ ไม่เปลี่ยนใจนะ ..(แหะ..แหะ).. ส่วนใหญ่อ้างความจำเป็น ผมก็มีความจำเป็น แต่ผมทิ้งมาเอง ถ้าถามมีแฟนไหม ? มี..เยอะด้วย ไอ้หน้าตาห่วย ๆ แบบผมนี่แหละครับ เพียงแต่ว่าถึงเวลาตัดต้องตัดเลย มีอยู่รายหนึ่งตื๊อน่าดู ถามอยู่ประจำ ยังดีว่าสมัยนั้นโทรศัพท์มือถือยังไม่มี มีโทรศัพท์ส่วนกลาง แต่มีบรรดาพี่ ๆ ท่านเฝ้าอยู่ ไม่สามารถติดต่อตรงได้ อาศัยเจอหน้ากันตอนมาวัดหรือไม่ก็เขียนจดหมาย ต้องมีความอดทน อย่างต่ำ ๓-๔ วันจดหมายจึงจะมาถึง

สมัยนี้ไม่ค่อยมีความอดทน ผมเคยได้รับจดหมายฉบับหนึ่งหลังจากที่ส่งแล้ว ๖ เดือนกว่า จดหมายไปเสียบติดอยู่ที่มุมตู้ไปรษณีย์ คนอื่น ๆ เขาไม่ได้สังเกต ถึงเวลาเขาก็รวบที่ก้นตู้หมดแล้วก็แล้วกัน วันนั้นมีคนตาดีเงยขึ้นไปเจอ กว่าจะส่งมาถึงมือผมใช้เวลา ๖ เดือนกว่า แสดงว่ามาไกลมากเลย ครั้งสุดท้ายผมใช้วิธีหนีเข้ากุฏิ ปิดประตูไม่คุยด้วย เพราะว่าตอนแรกเขาถามว่าเมื่อไรจะสึก ผมก็ “เออ..ว่าจะบวชสักพรรษาหนึ่ง” พอถึงเวลาเขาก็ “ออกพรรษาแล้วนะหลวงพี่” ตอบไปว่าเดี๋ยวขอรับกฐินก่อน “รับกฐินแล้วนะคะหลวงพี่” กูจะตอบอย่างไรดีวะ ? ไม่เคยมีอะไรกันเลย ทำไมต้องมาทำตัวเป็นเจ้าของตูด้วยวะ..?!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-12-2014 เมื่อ 20:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 73 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #14  
เก่า 07-12-2014, 18:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ท้ายสุดก็ต้องตัดสินใจ การที่ใส่ยารักษาแผลไปเรื่อยนี่ ฝีไม่ยอมแตกสักทีครับ ต้องผ่าอย่างเดียว ครั้งสุดท้ายที่เขามาทุบประตู เขาพาเพื่อนผู้ชายมาด้วย เพราะเขารู้ว่าถ้ามาคนเดียวผมไม่เปิดรับ ผมจะอ้างว่าอาบัติ อยู่กับผู้หญิงสองต่อสอง เขาจึงพาเพื่อนผู้ชายมา ๑ คน มาถึงก็ถามว่า “หลวงพี่ตกลงจะสึกหรือไม่สึก ?” ผมตอบชัดว่า “เอาสมบัติ ๓ โลกมาแลกกับพระนิพพานยังไม่เอาเลย อย่าว่าแต่เธอคนเดียว”

วันนั้นผมโหดมากเลย เหมือนในหนังเลยครับ แม่เจ้าประคุณร้องโฮแล้วหันหลังวิ่งไปเลย แต่ผมไม่ใช่พระเอกหนังนี่ครับ ผมก็นั่งบื้ออยู่นั่น เรื่องอะไรตูจะตามไปปลอบ ตอนนั้นผมมั่นใจมากเลยว่าเป็นกำลังของครูบาอาจารย์ช่วย เพราะผมดูสภาพใจตัวเองแล้วมั่นคงไม่หวั่นไหว เหมือนอย่างกับหินใหญ่กลางสายน้ำเลย น้ำมากระทบมีแต่จะแหวกออกข้างไปเอง หินไม่สะท้านสะเทือน แต่ทันทีที่ลับตาไปนี่ผมเกือบจะวิ่งตามไปแล้ว ตอนนั้นรู้แล้วว่าครูบาอาจารย์ท่านถอนกำลังกลับ เหลือแต่กำลังตัวเองล้วน ๆ

ถ้าเหลียวหน้ามามองตอนนั้นผมก็สึกตามไปเลย ผมใช้วิธีขึ้นชั้นบนไปดู อย่างไรแม่เจ้าประคุณก็ต้องขับรถผ่านกุฏิผมก่อน เพราะกุฏิผมอยู่หลังร้านป้ากิมกี เขาจะต้องกลับกรุงเทพฯ ออกไปทางมโนรมย์ ถ้าเหลียวมามองตอนขับรถผ่านกุฏิ ผมก็จะสึกตามไปเหมือนกัน ดันไม่มองอีก ตัดอนาคตกันชัด ๆ เลย..!

ต้องบอกว่าครูบาอาจารย์ท่านกันไว้หมดแล้ว อย่างไรท่านหมายมั่นปั้นมือว่า “กูใช้มึงแน่” เรื่องอะไรจะให้สึก แล้วก็ดันไม่ให้ความรู้สึกนั้นตลอดด้วย ให้เฉพาะตอนจำเป็นครับ พอจำเป็นขึ้นมา โอ้โห..กำลังใจโคตรจะมั่นคงเลย กูมอบกายถวายชีวิตให้กับพระพุทธศาสนาแน่ พอตอนไม่จำเป็นนี่อย่างกับหมาเหมือนเดิม..! ให้ตลอดไปก็ไม่ได้ ให้รู้ว่าครูบาอาจารย์แต่ละท่าน กว่าจะมาเป็นครูบาอาจารย์ได้ ผจญกับเหตุการณ์มาสารพัดครับ ที่ผมบอกว่าฟัดกับกิเลสมาเหมือนกับนักรบ บาดแผลนับไม่ถ้วน เย็บกันจนเข็มหลง ไม่รู้จะเย็บไปแผลไหน ไขว้กันเต็มไปหมด

เมื่อพวกคุณสึกไปทำงาน ให้ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด แล้วสิ่งที่สำคัญก็คืออย่าละการรักษากำลังใจตัวเอง แต่ต้องรู้กาลเทศะ ในแต่ละอย่างอะไรที่เหมาะสมกับตัวเรา โดยเฉพาะอย่ายอมแพ้กิเลสครับ อย่างแย่ที่สุดก็ต้องรักษาศีล ๕ ให้ได้ แย่ที่สุดนะ ถ้าทำได้มากกว่านั้นก็ถือว่าเป็นกุศลแก่ตัวเอง ผมกลัวว่าพรุ่งนี้จะไม่มีเวลาบอก ก็เลยบอกวันนี้จนหมด เวลาที่เหลืออยู่อีกเล็กน้อย ท่านใดมีปัญหาอะไรจะ "ต่อยถาม" ไหมครับ ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-12-2014 เมื่อ 20:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 76 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #15  
เก่า 07-12-2014, 20:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อะไรที่ทำให้คนเราแตกต่างกันในเรื่องของกำลังใจและความเข้มแข็งของจิต บางคนท้อง่าย บางคนไม่เคยย่อท้อเลย ?
ตอบ : บารมีครับ ความเข้มแข็งของกำลังใจที่สั่งสมมาชาติแล้วชาติเล่า ความมุ่งมั่นต่อเป้าหมายของตนเองอย่างมั่นคงไม่คลอนคลาย ถ้าทำไม่สำเร็จให้ตายไปเลย แลกกันด้วยชีวิต ถ้าคุณสามารถตัดสินใจในลักษณะนั้นได้ คุณก็สามารถทำได้เหมือนกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-12-2014 เมื่อ 20:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 70 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #16  
เก่า 07-12-2014, 20:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : หลวงพ่อครับ การหลบเข้ากระดองเหมือนเต่าที่หลวงพ่อสอนคือ...(ไม่ชัด)
ตอบ : ไม่ใช่โว้ย..! ต้องแยกแยะดูว่า สิ่งนั้นถ้าจะทำให้กิเลสเรากำเริบได้ ก็ให้ทำตัวแบบเต่า แต่ถ้าเป็นงานให้วิ่งชนอย่างเดียวครับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจอย่าไปรับสิ ไม่ใช่มองแล้วแทนที่จะไปหยุดเอาไว้ เราก็..สวยหนอ ขาวหนอ อวบหนอ ที่ครูบาอาจารย์สอนไปหายหมดเกลี้ยง..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-12-2014 เมื่อ 20:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 73 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #17  
เก่า 07-12-2014, 20:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไม่โดนครับ เพราะว่าเป็นเณร เณรไม่มีอาบัติสังฆาทิเสสครับ แต่ถ้าเณรศีลขาด จะขาดความเป็นเณรไปเลย เพราะว่าศีล ๑๐ ของเณรมีข้อ อะพรัมมะจริยาฯ อยู่ต่อก็ฉิบหายหนักกว่าอีก สังฆาทิเสสขาดความเป็นพระแค่ชั่วคราว แต่เณรศีลขาดจะขาดความเป็นเณรไปเลย น่ากลัวกว่านะ



พระครูวิลาศกาญจนธรรม
ให้โอวาทก่อนพระสึก
วันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๗

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-12-2014 เมื่อ 20:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 71 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #18  
เก่า 08-12-2014, 09:45
สุธรรม's Avatar
สุธรรม สุธรรม is offline
ผู้ตรวจการณ์เว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jun 2009
ข้อความ: 4,751
ได้ให้อนุโมทนา: 268,229
ได้รับอนุโมทนา 837,247 ครั้ง ใน 12,756 โพสต์
สุธรรม is on a distinguished road
Default

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ชยาคมน์ อ่านข้อความ
กราบขออนุญาตถามครับ "ต่อยถาม" หรือ "ไต่ถาม" ครับ
พอดีผมไม่กล้า "ถาม" กลัวโดน "ต่อย" ครับ
อันนี้ถามจริง ๆ นะครับ ไม่ได้ถามกวน

หากพระอาจารย์กล่าวว่า "ต่อยถาม" น่าจะทำเครื่องหมาย
แล้วลงหมายเหตุไว้สักนิด กันคนอ่านแล้ว "งง" ครับ
หรือจะวงเล็บเสียง "หัวเราะ" ก็ได้ครับ คนจะได้รู้ว่าเป็นมุขครับ

โมทนา

หมายเหตุ : โพสต์ที่ ๑๔ ครับ

อยู่ในเครื่องหมายคำพูดแล้ว โปรดมีอารมณ์ร่วมหน่อยครับ
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 54 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:51



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว