กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 23-03-2016, 19:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,375
ได้ให้อนุโมทนา: 150,734
ได้รับอนุโมทนา 4,397,264 ครั้ง ใน 33,964 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๙

ให้ทุกคนนั่งในท่าสบายของตนเอง เพียงแต่ว่าตั้งกายให้ตรง คำว่าตั้งกายให้ตรงไม่ได้ให้เกร็งร่างกาย แต่ว่าให้โยกหาจังหวะที่รู้สึกว่ากระดูกสันหลังเราตั้งเป็นแนวตรง คือกระดูกทุกข้อซ้อนทับกันเป็นแนวตรง น้ำหนักจะกดลงตรง ๆ บางทีลักษณะนั้นเราอาจจะรู้สึกเหมือนกับว่าเราเอนหลังมากเกินไป แต่ความจริงแล้วก็คือ เรามักจะนั่งค้อมมาทางด้านหน้ามาก จังหวะที่ตรงพอดีจะเหมือนกับเราเอนหลังมากไปนิดหนึ่ง แต่ความจริงแล้วจะเป็นจังหวะที่สบายที่สุด ทำให้นั่งได้ทน นั่งได้นานกว่าจังหวะอื่น ๆ

กำหนดความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจออกมา ให้จิตจดจ่ออยู่แค่ลมหายใจตรงนี้ จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม ถ้าเผลอสติไปคิดเรื่องอื่น เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมา ให้รีบดึงความรู้สึกกลับมาที่ลมหายใจเข้าออกเสียใหม่

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ วันนี้จะขอกล่าวถึงมูลกรรมฐาน หรือกรรมฐานที่เป็นพื้นฐาน ซึ่งบุคคลที่บวชพระบวชเณรทุกรูปจะต้องได้รับจากพระอุปัชฌาย์ ก็คือกรรมฐานที่เรียกว่า ตจปัญจกกรรมฐาน คือ กรรมฐาน ๕ อย่างซึ่งมีหนังเป็นที่สุด ภาษาบาลีว่า เกสา โลมา นะขา ทันตา ตโจ ก็คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง

ทำไมพระอุปัชฌาย์ทุกรูปทุกนามจึงต้องให้มูลกรรมฐานนี้แก่ลูกศิษย์ ? ก็เพราะว่าการที่จะรักษาความดี รักษาศีลในสภาพนักบวชเอาไว้ได้ จิตใจไม่ฟุ้งซ่านซัดส่ายไปในกามารมณ์ ก็ต้องมีกรรมฐานเป็นเครื่องยึด แล้วเหตุใดจึงต้องเป็น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ? ก็เพราะว่า ๕ อย่างนี้มีสภาพที่เราเห็นได้ชัดเจน สามารถระลึกนึกถึงได้ง่าย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-03-2016 เมื่อ 03:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 23-03-2016, 19:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,375
ได้ให้อนุโมทนา: 150,734
ได้รับอนุโมทนา 4,397,264 ครั้ง ใน 33,964 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การระลึกนึกถึงนั้นทำได้ ๒ แบบ แบบแรก ก็คือ การใช้เป็นคำภาวนาควบกับลมหายใจเข้าออก ก็คือ ‘เกสา โลมา นะขา ทันตา ตโจ... เกสา โลมา นะขา ทันตา ตโจ ...’ ดังนี้ไปเรื่อย ๆ ตามจังหวะลมหายใจเข้าออก แบบนี้เรียกว่าเป็น สมถกรรมฐาน คือกรรมฐานที่ทำให้ใจสงบโดยตรง

ถ้ารู้สึกว่าการภาวนาแบบนี้สติน้อยเกินไป โบราณาจารย์ก็ให้ภาวนาถอยหลัง ก็คือ ‘ตโจ ทันตา นะขา โลมา เกสา... ตโจ ทันตา นะขา โลมา เกสา’ ก็จะจำยากขึ้น ทำให้สติของเราสมบูรณ์ขึ้น เพราะถ้าเผลอก็จะผิด นี่เป็นลักษณะของการปฏิบัติที่เป็นสมถกรรมฐานล้วน ๆ

แต่ถ้าจะเอาวิปัสสนากรรมฐานมาควบก็ต้องมองให้เห็นว่าสิ่งทั้ง ๕ อย่าง คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี้ ไม่ว่าจะเป็นสัณฐาน ไม่ว่าจะเป็นรูปทรง ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่ ไม่ว่าจะเป็นสภาพ มีความสกปรกเป็นปกติ

อย่างเช่นว่า เส้นผมของเราสกปรกตามสภาพอย่างไร ? ต่อให้สระผมมาอย่างสะอาดเอี่ยม ถ้าผมเส้นหนึ่งตกลงไปในอาหาร ก็ไม่มีใครกล้ากิน ก็แปลว่าเส้นผมนั้นสกปรกโดยสภาพอยู่แล้ว พิจารณาให้เห็นจริงลักษณะอย่างนี้ ยังเป็นส่วนของสมถกรรมฐาน คือใจจะสงบ เพราะเห็นสภาพความสกปรกเป็นปกติ ขนทั่วตัวเราก็เหมือนกัน ถึงเวลาก็เปื้อนเหงื่อไคล มีความสกปรกโสโครกเป็นปกติ

เล็บ...ถ้าหากว่าไม่แคะ ไม่ทำความสะอาด ไม่ตัด แค่ไม่กี่วันก็สกปรกดูไม่ได้ ฟัน...ไม่แปรงแค่วันเดียวก็ทนไม่ได้แล้ว หนัง... ไม่อาบน้ำหนึ่งวันตัวเรายังทนไม่ได้ ไม่ต้องไปคิดถึงคนอื่น

การเห็นความสกปรกอย่างชัดเจนนี้ยังเป็นส่วนของสมถกรรมฐานอยู่เต็ม ๆ ก็คือทำให้ใจเราสงบระงับเพราะเห็นความสกปรกเป็นปกติ ร่างกายเรายังสกปรกอย่างนี้ ร่างกายคนอื่นก็สกปรกอย่างนี้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-03-2016 เมื่อ 03:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 48 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 24-03-2016, 11:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,375
ได้ให้อนุโมทนา: 150,734
ได้รับอนุโมทนา 4,397,264 ครั้ง ใน 33,964 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าจะให้เป็นวิปัสสนากรรมฐานก็คือพิจารณาให้เห็นว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มีสภาพไม่เที่ยงเป็นปกติ เกิดขึ้นแล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงไป อย่างเช่นว่า ผมก็ยาวไปเรื่อย ๆ หลุดร่วงไป เปลี่ยนสีไป ลักษณะการเปลี่ยนคือการเปลี่ยนตามสภาพ คือการค่อย ๆ ก้าวเข้าไปสู่ความแก่ ไม่ใช่ลักษณะที่เราไปเปลี่ยนสีด้วยการโกรกผมมา

เส้นขนก็ลักษณะเดียวกัน เกิดขึ้นแล้วก็หลุดร่วงไป เส้นใหม่ก็เกิดขึ้นมา เล็บก็งอกยาวขึ้นมา ต่อให้ตัดให้แต่งอย่างไรก็ยังคงงอกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ฟันก็เช่นเดียวกัน จากฟันน้ำนมกลายเป็นฟันแท้ จากฟันแท้กลายเป็นฟันปลอม หนังก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกเวลา ทุกนาทีทุกวินาที เราเห็นหรือไม่เห็นเท่านั้น เซลล์ต่าง ๆ เกิดการตายทับซ้อนกันเป็นขี้ไคล พออายุมากขึ้นความเต่งตึงลดน้อยลง ความเหี่ยวย่นปรากฏขึ้น

เราจะเห็นอย่างชัดเจนว่าสภาพของ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี้ มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ ถ้าเราไปยึดถือมั่นหมายเมื่อไรก็จะทุกข์ เพราะว่าต้องตะเกียกตะกายรักษาให้คงสภาพ ลองคิดดูว่าบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะคนผมยาวไม่สระผมสักวันหนึ่งก็แย่แล้ว แล้วการสระผมลำบากแค่ไหน คิดว่า ๑๕ นาทีไม่น่าจะเสร็จ แล้วลองคิดดูว่าถ้าเราต้องสระผมต่อเนื่องกันไป วันนี้ ๑๕ นาที พรุ่งนี้ ๑๕ นาที มะรืนนี้ ๑๕ นาที แค่คิดถึงระยะเวลารวม ๆ ก็น่าเหนื่อยใจ เรื่องของ ขน เล็บ ฟัน หนัง ก็ลักษณะเดียวกัน ต้องคอยรักษาสภาพอยู่ไม่ให้สกปรก อาบน้ำ ขัดสีฉวีวรรณ ตกแต่งให้สวยงาม ไม่อย่างนั้นแล้วแม้แต่ตัวเราก็ทนไม่ได้

ความเหนื่อยยากจากการดูแลรักษานี้เห็นชัด ๆ ว่าสร้างทุกข์ให้แก่เรา แล้วก็ยังมีทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เบียดเบียน อย่างเช่นว่าผมแตกปลายเพราะสารอาหารไม่พอ ผมหลุดร่วงเพราะว่าแก่ ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ เพราะติดเชื้อรา หรือขนตามร่างกายของเรามีการหลุดร่วง บางคนขนมากเกินไป เช่น ขนหน้าแข้งหรือขนแขนมากเกินไปก็ต้องเสียเวลาไปกำจัด เพราะไม่ชอบใจ ก็เป็นทุกข์ เรื่องของเล็บก็มีเล็บขบ เป็นหนอง เรื่องของฟันก็มีฟันผุ ฟันแตก ฟันหัก ฟันคุด ซึ่งสร้างความทุกข์ให้แก่เราตลอดเวลา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-03-2016 เมื่อ 13:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 24-03-2016, 11:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,375
ได้ให้อนุโมทนา: 150,734
ได้รับอนุโมทนา 4,397,264 ครั้ง ใน 33,964 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนหนังก็เป็นที่รองรับของบาดแผลใหญ่น้อยทั้งร่างกาย เป็นฝี เป็นหนอง สกปรกโสโครก สารพัดความทุกข์ที่นำมาให้เรา แล้วท้ายที่สุดทั้งหมดนี้ก็เสื่อมสลาย พังไปพร้อมกับร่างกาย ไม่อาจยึดถือเป็นตัวตนเราเขาได้ ตัวเราก็เป็นเช่นนี้ ตัวคนอื่นก็เป็นเช่นนี้ ขึ้นชื่อว่าสภาพร่างกายที่ไม่เที่ยงอย่างนี้ เป็นทุกข์อย่างนี้ ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราอย่างนี้เรายังต้องการอีกหรือไม่ ?

เมื่อคำตอบชัดเจนว่าไม่ต้องการ ก็ส่งจิตของเราขึ้นไปเกาะพระนิพพาน ตั้งใจว่าถ้าหากว่าวันนี้เราหมดอายุขัยตายลงไปก็ดี หรือถ้าหากว่าเราเกิดอุบัติเหตุอันตรายถึงแก่ชีวิตก็ตาม เราขอไปอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระนิพพานแห่งเดียวเท่านั้น ถ้ารักษาอารมณ์ไว้ลักษณะอย่างนี้ได้ก็จัดเป็นวิปัสสนาญาณ

โดยสรุปแล้ว ในส่วนของตจปัญจกกรรมฐาน คือกรรมฐาน ๕ มีหนังเป็นที่สุด เป็นได้ทั้งส่วนของสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน อยู่ที่เราว่ามีความพอใจปฏิบัติแบบไหน มีปัญญาเพียงพอที่จะมองเห็นหรือไม่

ลำดับต่อไป ให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๙

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย คะน้าอ่อน)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-03-2016 เมื่อ 13:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 08:25



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว