กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

Notices

พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) รวมธรรมะจากพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 02-11-2009, 07:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,179 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default พัฒนาการในการปฏิบัติ (ของพระอาจารย์เล็ก)

สมัยก่อน เริ่มตั้งแต่รู้จักชื่อเสียงและปฏิบัติตามหลักคำสอนของหลวงพ่อวัดท่าซุง โดยที่ไม่เคยเห็นหน้าท่านมาก่อนเลย เกิดจากว่าปี ๒๕๑๘ นั้นโยมพ่อของอาตมาตาย พี่ชายเห็นว่าอาตมาอยู่กับพ่อมาตลอด ดูแลท่านมาทั้งกลางวันกลางคืนตั้ง ๕ - ๖ ปี กลัวว่าอาตมาจะเสียใจ แต่จริง ๆ แล้วอาตมาโคตรจะดีใจเลย..!

พี่ก้อง เขาเอาคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานของหลวงพ่อมาให้ ตอนนั้นหนังสือเพิ่งออกใหม่ (ปี ๒๕๑๘) พี่ก้องบอกว่า "อ่านดู ถ้าทำได้ก็ทำ จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจ" อาตมาก็อ่าน ปรากฏว่าน่าสนใจ ที่ชอบใจมาก ๆ ก็คือ ท่านเขียนง่ายมาก อ่านแล้วเหมือนทำได้เดี๋ยวนั้นเลย ก็เลยลองทำดู กลายเป็นว่ายิ่งทำก็ยิ่งสนุก ทำแล้วเกิดผล ขั้นตอนก็เป็นไปตามที่หลวงพ่อท่านบอกทุกอย่าง ไล่ตั้งแต่ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ ขึ้นไปเรื่อย ๆ ๆ

พอปี ๒๕๒๑ เข้ากรุงเทพฯ มาทำงาน พี่ชาย คือ พี่ก้อง พี่ประสิทธิ์ พี่สุรกานต์ เขาไปหาหลวงพ่อที่บ้านสายลมกันทุกเดือน เขาชวนอาตมาไป แต่อาตมาไม่ไปด้วย แปลกดีไหม ? ได้แค่ฝากเงินไปทำบุญ ฝากไปได้ทุกเดือน แต่ไม่ไปเอง เพราะว่าเวลางานแย่งเวลาอื่นไปหมดและอาตมาก็ชอบภาวนาด้วย ตอนช่วงนั้นจะไปกางมุ้งนอนบนดาดฟ้า เพราะว่าอากาศโปร่งดี อาตมาก็ได้อาศัยตรงนั้นทำให้ภาวนาได้เยอะ พอใกล้ ๆ สว่างอากาศหนาว จะสะดุ้งตื่น แล้วก็จะลุกขึ้นมาภาวนา ก็แปลว่าต้องตื่นภาวนาช่วงตี ๓ ตี ๔ เป็นประจำ ทำให้เคยชินกับการภาวนา

จนกระทั่งปลายปี ๒๕๒๑ พี่ประสิทธิ์เขาก็ถามว่า "ไปฝึกมโนมยิทธิกันไหม ?"อาตมาก็ถามว่า "มโนมยิทธิเป็นอย่างไร ?" พี่เขาก็บอกว่า "มโนมยิทธินี่คนฝึกถ้าทำได้ก็จะไปดูนรกดูสวรรค์ได้" โอ๊ย..คราวนี้แทบจะเต้นเลย ไอ้ที่อาตมาตะเกียกตะกายฝึกมา ๓ ปี ๔ ปี ก็เพราะอยากจะเห็นผี เห็นเทวดา เห็นนรก เห็นสวรรค์นั่นแหละ พี่เขาบอกว่าเดี๋ยวนี้ที่บ้านสายลมเขาเปิดสอนให้ ในเมื่อเปิดสอนอาตมาก็ไป โดดขึ้นรถมอเตอร์ไซค์เกาะท้ายไปเลย

ระยะนั้น วันเสาร์ -อาทิตย์ - จันทร์ หลวงพ่อท่านรับสังฆทาน ส่วนวันอังคารก็เปิดสอน ตอนนั้นบ้านสายลมเขาจะมีห้องเขียว ห้องแดง ห้องน้ำเงิน เขาเรียกห้องมรกต ห้องไพลิน ห้องทับทิม พวกเรารุ่นนี้ไม่ทันหรอก

พวกเราก็ฝึกกันที่ห้องเขียว มีครูคอยคุม มีคนร่วมฝึก ๗ คน ด้วยความที่ไม่มีความรู้มาก่อนว่ามโนมยิทธิเป็นอย่างไร พอเขาให้ภาวนาก็ทำตาม ครูฝึกเขาก็มานั่งจ้องหน้า บอกให้ทำใจให้สบาย กำหนดใจให้นึกพิจารณาอย่างนั้นอย่างนี้ ตัดร่างกายอย่างนั้นอย่างนี้ ทำไปเรื่อย บอกอย่างไรทำอย่างนั้น แล้วในที่สุดก็ให้ขอบารมีพระ ขอให้ภาพพระพุทธเจ้าปรากฏขึ้นตรงหน้า
ครูเขาถามว่า “เห็นอะไรไหมคะ ?”
ตอบว่า “ไม่เห็นครับ”
“สว่างไหมคะ”
“มืดครับ” ไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-12-2013 เมื่อ 10:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 02-11-2009, 08:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,179 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ครูฝึกถามไปถามมาเขาก็หมดอารมณ์ เข็นไม่ไหวแน่นอน ครูเขาก็เงียบ ไม่รู้ไปสอนคนอื่นหรือเปล่า ? ส่วนอาตมาเคยชินกับภาวนา ก็ภาวนาไปเรื่อย ปรากฏว่าได้ยินครูฝึกข้างหลัง ถามลูกศิษย์ของท่านว่า
"ให้นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่เรารักเราชอบมากที่สุด นึกออกไหม ? นึกได้ไหมคะ ?" พอได้ยิน ปากอาตมาเผลอหลุดออกไป "นึกได้ครับ" เพราะว่าอาตมาภาวนาโดยการจับภาพพระควบกับลมหายใจเข้าออกมาตั้งหลายปีแล้ว ครูฝึกเขาก็ถามว่า "อธิบายได้ไหมว่าเป็นลักษณะอย่างไร ?"

ทำไมจะอธิบายไม่ได้ นั่งจ้องภาพพระมาตั้ง ๓ ปีอาตมา ก็ว่าไปเรื่อยฉอด ๆ ๆ นั่นแหละ และด้วยความพาซื่อ เพราะซื่อถึงขนาดตอนเขาให้จัดเครื่องไหว้ครู อาตมาไม่มีอะไรสักอย่าง ไปแต่ตัวจริง ๆ พวกบรรดาพี่ ๆ เขาก็จัดหาให้ แล้วเขาก็บอกในเรื่องของเงินบูชาครู ให้บูชาด้วยเงินสลึงหนึ่ง ต้องจ่ายเอง เพราะถือว่าเป็นทานบารมี อาตมาก็อุตส่าห์วิ่งไปปากซอยสายลม เพื่อไปแลกเงินให้เขา ซื่อได้ขนาดนั้น ตอนนั้นไม่รู้จริง ๆ ว่าใส่เกินก็ได้

พอครูฝึกเขาบอกอย่างไรอาตมาก็ทำตาม ครูฝึกเขาว่าไปเรื่อย ใจของอาตมาก็น้อมตามไปเรื่อย อธิบายพุทธลักษณะไปเรื่อย ท้ายสุดครูฝึกบอกว่า
"ให้ลองนึกกราบขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูว่าถ้าพระองค์ท่านเสด็จมาสงเคราะห์เราจริง ขอให้เปลี่ยนพระอิริยาบถ ตอนนี้ภาพพระของคุณเป็นลักษณะไหน ?"
"เป็นลักษณะนั่งสมาธิอยู่"
"ให้ขอประทานอนุญาต ขอให้พระองค์ท่านประทับยืนดูสิ ได้ไหม ?"


ตอนนี้แหละที่ยอมรับว่ามโนมยิทธิ คือของจริง ไม่ใช่เรื่องที่เราคิดไป เพราะว่าภาพพระที่อาตมาจับมาตั้ง ๓ ปี เป็นท่านั่ง อยู่ ๆ พระองค์ท่านลุกขึ้นยืนเฉยเลย..! พอพระท่านลุกขึ้นได้ครูฝึกท่านก็บอกว่า "คราวนี้จะไปไหนก็ขอให้พระท่านพาไป" อาตมาก็ไปกับพระท่าน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-12-2013 เมื่อ 11:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 157 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 02-11-2009, 08:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,179 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ย้อนกลับมาว่า ตั้งแต่แรกทำตามตำราอย่างเดียว พอเข้ากรุงเทพฯ มา พี่ชายชวนไปถวายสังฆทานที่บ้านสายลม ก็ไม่ไป..ฝากไปแต่เงินอย่างเดียว คราวนี้พอมาฝึกกรรมฐาน ฝึกเสร็จก็ออก พี่ชายเขาก็ถามว่า "สวรรค์หน้าตาเป็นอย่างนั้น นรกหน้าตาเป็นอย่างนี้อย่างนี้..ใช่ไหม ?" อาตมาบอกว่า "ไม่แน่ใจ"
"ก็เมื่อกี้เห็นตอบเอา ตอบเอา"
"นั่นครูฝึกเขาถาม แล้วเห็นชัดก็บอกได้ แต่ตอนนี้พี่ถาม ผมไม่รู้นี่หว่า..!"
ก็คืออาตมาไม่ได้ตั้งสมาธิอยู่..ใช่ไหม ? ก็เลยบอกไม่ได้ ขาดความมั่นใจว่าตัวเองฝึกมโนมยิทธิได้ แต่ว่ากลายเป็นเพิ่มความมั่นใจอีกทางด้านหนึ่ง คือเพิ่มความมั่นใจว่าสิ่งที่หลวงพ่อสอนเรามานี่ ถ้าทำตาม..ได้แน่ ก็เลยเกิดความนึกอยากไปหาหลวงพ่อขึ้นมา

ดังนั้นพอเดือนถัดมา ปรากฏว่าพี่ชายไม่ต้องชวน พอเขาขยับรถอาตมาก็กระโดดเกาะท้ายไปเลย ไปถึงก็รอหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านจะลงมารับสังฆทานตอนประมาณ ๘ โมงครึ่ง อาตมาก็ไปกราบพระแล้วก็นั่งรอ ว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำก็นั่งสมาธิไป พอหลวงพ่อท่านลงมา สังฆทานเตรียมไว้แล้วนี่ ก็ถวายท่าน ท่านก็แจกแหนบให้อันหนึ่ง บอกว่า “ไอ้หนู..เอาไปติดตัวไว้ ถ้าหากว่าหมั่นภาวนารักษาศีลห้าให้ดีละก็ อยู่ที่ไหนก็ปลอดภัย” นั่นจึงเป็นแหนบอันที่หนึ่ง พอถวายสังฆทานเสร็จก็ลาท่านกลับ เดือนต่อมาแหนบอันนั้นก็เหน็บติดไปด้วย หลวงพ่อก็ให้แหนบมาเป็นอันที่สอง เดือนต่อ ๆ ไปก็อันที่สาม เรียงเป็นตับเลย ทำอย่างนั้นอยู่เป็นปี แค่ได้ถวายสังฆทานก็พอใจแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-12-2013 เมื่อ 11:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 155 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 02-11-2009, 14:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,179 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้อยู่ ๆ ก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า แล้วคนที่เขาอยู่ต่อ เขาทำอะไรกันบ้าง ? ก็เลยตั้งใจอยู่ต่อด้วย คราวนี้ถวายสังฆทานแล้วไม่กลับ ก็นั่งอยู่ข้าง ๆ ระหว่างนั้นก็มีญาติโยมถวายสังฆทานไปเรื่อย คนนั้นถาม คนนี้ถาม ฟังหลวงพ่อตอบแล้วก็สนุกดี ก็นั่งฟังไปเรื่อย พอเวลาเพลหลวงพ่อก็จะขึ้นไปฉันเพลอาตมาจึงกลับ ก็ลักษณะนั้นอีก อยู่จนเพลแล้วกลับ เป็นระยะเวลานานทีเดียว

ในที่สุดก็เกิดสงสัยขึ้นมาอีกว่า แล้วคนที่เขาอยู่ตอนบ่ายเขาทำอะไรกัน ? ก็เลยอยู่ต่ออีก พอถึงเวลาเพล ตอนนั้นไม่ได้ไปคลุกคลีตีโมงที่ไหน ไม่ได้ไปกินข้าวข้างในกับเขา เดินไปหาข้าวกินด้านนอก แถว ๆ โรงงานนิวยอร์กเคมีเกิล เดินเลยมาหน่อยจะมีร้านข้าวแกงอยู่ ก็มานั่งกินข้าวตรงนั้น กินเสร็จแล้วก็กลับเข้าไปที่บ้านสายลมต่อ

พอใกล้บ่ายโมง ประมาณเที่ยงครึ่งกว่า ๆ หลวงพ่อก็ลงมาฝึกกรรมฐาน ก็เลยรู้ว่า อ๋อ ที่แท้เขาฝึกกรรมฐานกันช่วงนี้ ก็คิดว่าทำไมไม่เหมือนสมัยก่อน ตอนที่อาตมาฝึกใหม่ ๆ ท่านให้ฝึกวันอังคาร แต่ว่าตอนนี้ท่านฝึกวันเสาร์-อาทิตย์ ก็เลยเข้าไปซ้อมกรรมฐาน ถึงเวลาก็เข้าไปฝึก..ฝึกแล้วฝึกอีก...ฝึกแล้วฝึกอีก ท้ายสุดก็โดนไล่ ที่โดนไล่เพราะพาเขาเสียหมด ตอนนั้นไม่รู้จริง ๆ ว่าตัวเองซ้อมมโนมยิทธิจนคล่องตัวแล้ว รู้อยู่อย่างเดียวว่า พอครูฝึกเขาจะถามอะไร อาตมาจะรู้ก่อนเลยว่าเขาจะถามประโยคนี้ แล้วก็ตอบเลย ที่พาเขาเสียเพราะว่าเพื่อนทั้งวงเขาไม่รู้ ครูฝึกเขาแค่อ้าปาก อาตมาก็ตอบแล้ว เขาก็แย่สิ

ตอนนั้นไม่รู้จริง ๆ นะว่าเรารู้ว่าครูฝึกจะทำอะไร คิดอยู่อย่างเดียวว่า เขาถามแต่ของเดิม ๆ คิดอย่างนั้นจริง ๆ พอไปทำอย่างนั้นเข้า คนอื่น ๆ เขาเสียหมด เพราะว่าเขาตามไม่ได้ ครูฝึกก็ไล่เอา เขาบอกว่า “คล่องตัวจนขนาดนี้แล้วยังจะมาฝึกอีก จะมาลองดีกันหรืออย่างไร ?” ตอนนั้นเข้าใจจริง ๆ ว่า ต้องตาเห็นถึงจะใช้ได้ ไม่ได้นึกหรอกว่า ที่ครูฝึกว่าอะไรแล้วอาตมารู้หมดทุกอย่างนั่นคือมโนมยิทธิ นั่นคือทิพจักขุญาณ คิดอยู่อย่างเดียวว่าฝึกซ้ำฝึกซาก ซ้ำอยู่ทุกงาน อย่างไรเดี๋ยวเขาก็ต้องพูดเหมือนเดิมนั่นแหละ

พอโดนไล่อาตมา ก็เดินหน้าเหี่ยวออกมาข้างนอก หลวงพ่อเห็นท่านก็หัวเราะ “เออ..ไอ้หนู ถ้าคล่องตัวแล้วก็สอนคนอื่นเขาบ้างสิลูก” นี่ตูคล่องแล้วหรือวะ ? ไม่รู้จริง ๆ แต่ว่าพอหลังกรรมฐานออกมากราบหลวงพ่อแล้วก็ลากลับ ก็เป็นอย่างนั้นอยู่อีกพักใหญ่

ท้ายสุดก็สงสัยต่ออีกว่า ตอนเย็นเขามีอะไรกันหรือเปล่า ? อาตมาก็เลยอยู่ต่อจนเย็น แรก ๆ หลวงพ่อท่านอยู่ถึง ๕ โมงเย็นแล้วท่านก็ขึ้นพัก มาหลัง ๆ นี่อยู่แค่ ๔ โมงเย็น สุขภาพท่านไม่ไหว พอท่านขึ้นพักอาตมาก็กลับ จนกระทั่งท้ายสุดก็มาสงสัยอีกว่า แล้วตอนกลางคืนเขาทำอะไรกันหรือเปล่า ? ก็อยู่ต่อกลางคืนอีก จึงรู้ว่าทุ่มครึ่งเขาเจริญกรรมฐานกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-12-2013 เมื่อ 11:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 143 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 02-11-2009, 14:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,179 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ตรงจุดนี้แหละที่ได้เจอหลวงปู่มหาอำพัน เพราะว่าประมาณ ๖ โมงเย็น หลวงปู่มหาอำพันท่านก็จะเดินยิ้มหวานมา พี่เอ๊าะที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเขาจะไปรับหลวงปู่ทุกครั้ง รับตรงเวลา ส่งตรงเวลาทุกครั้ง

คนอื่นพอเห็นหลวงปู่เดินมาก็กราบกันใหญ่ คนอื่นเขากราบต้องพระดีแน่ ๆ อาตมาก็กราบบ้าง ก็คลานเข้าไปหาหลวงปู่ บอกแล้วว่าอาตมาตอนเด็ก ๆ นอกจากกลัวใครไม่เป็น แล้วยังถามแหลก ตอนนั้นหลวงปู่ท่านเป็นพระครู ท่านก็บอกว่าท่านชื่อพระครูปัญญาภรณ์โศภณ แต่เห็นคนอื่นเขาเรียก "หลวงน้า..หลวงน้า" วัยอย่างอาตมาจะเรียกหลวงน้าไม่ได้หรอก เรียกหลวงปู่ตั้งแต่แรกเลย

เห็นหลวงปู่ท่านนั่งเฉย ๆ นั่งเงียบ ตรงหน้าท่านมีขันอยู่ใบหนึ่ง คนอื่นก็ใส่สตางค์ทำบุญ อาตมานั่งเฉย ๆ ไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยถามหลวงปู่ว่า “ผมนวดให้ได้ไหมครับ ?” หลวงปู่ก็บอกว่า “แล้วแต่คุณจะเมตตา” อาตมาก็นวดให้ พอถึงเวลาประมาณ ๖ โมงกว่า ๆ หลวงพ่อท่านก็ลงมา ก็จะทักทายหลวงปู่เป็นประจำ ถามตอบกันอยู่แค่ ๑ ประโยค หรือ ๒ ประโยค
“อ้อ หลวงน้ามาแล้วหรือ ?”
“ครับผม”

ไม่ได้พูดอะไรกันมากมายไปกว่านี้เลย หลวงพ่อท่านลงมาคนก็ถวายสังฆทานกัน พอทุ่มครึ่งท่านก็เริ่มสอนกรรมฐาน พอเจริญกรรมฐานเสร็จ อาตมาก็ลากลับ เป็นอย่างนี้อยู่นาน แต่ว่าช่วงนั้นพอรู้จักหลวงปู่แล้ว อยู่ใกล้ท่านแล้วรู้สึกสบายใจ เย็นใจ สบายใจ ก็เลยตามไปหาท่านที่วัดเทพศิรินทร์ฯ กลายเป็นว่า ช่วงที่หลวงพ่อท่านไม่อยู่อาตมาก็ไปวัดเทพศิรินทร์ฯ มาตอนหลังพอวันเกิดหลวงพ่อ หลวงปู่ธรรมชัยท่านมา พอรู้จักหลวงปู่ธรรมชัยก็ไปหาท่านอีก ตกลงว่าช่วงนั้นองค์ไหนมาอาตมาก็ตามไปถึงวัดเลย ตามไปตามมา รู้จักพระมากขึ้น แต่ว่าเรื่องของการทำบุญที่บ้านสายลมก็ยังคงอยู่ในลักษณะเดิม
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-12-2013 เมื่อ 11:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 143 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 02-11-2009, 16:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,179 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

จนกระทั่งนานทีเดียว ป้าหมอลัดดา จารุวัฒน์ เขาเห็นอาตมาช่วยประคองหลวงปู่บ้าง ช่วยอะไรบ้าง ทำงานคล่องตัวดีก็เลยบอกว่า
“ไอ้หนู มาช่วยงานที่นี่บ้างสิ”
“ผมมีงานอยู่นะครับป้า” ป้าก็ถามว่างานอะไร อาตมาก็อธิบายให้ฟัง
ป้าก็บอกว่า “เอ้า..เอาเฉพาะช่วงวันหยุดของเราก็ได้” ก็คือของอาตมาหยุดวันอาทิตย์วันเดียว ก็เลยตกลงมาช่วยงาน

กลายเป็นว่าถึงเวลากลางวัน อาตมาก็เข้าไปกินข้าวข้างใน แล้วก็ช่วยทำงาน พี่คนไหนเขาไม่ว่าง พอเขาขยับออก อาตมาก็ไปทำหน้าที่แทนเขา ไป ๆ มา ๆ ก็เหมือนกับมีปัญหา มีปัญหาอยู่ตรงที่ว่า ถ้าเป็นงานจำหน่ายวัตถุมงคล พอถึงเวลาพวกพี่ ๆ กลับมาเขาก็ตรวจสอบกันใหญ่เลย คือในลักษณะที่ว่าของจำหน่ายไปเท่าไร ? เป็นเงินเท่าไร ? ตรงกันไหม ? แต่อาตมาเกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้นมาว่า เรื่องเงินนี้จะพาให้มีปัญหา ก็เลยเปลี่ยนใหม่ แทนที่จะไปทำงานตรงนั้น ก็ไปนั่งช่วยงานข้างหลวงพ่อดีกว่า

อาตมาก็ไปรับหน้าที่อยู่ข้างหลวงพ่อ มาคอยรับเครื่องสังฆทาน มาคอยรับซองปัจจัย จนกระทั่งท้ายสุดมาระยะหลัง ๆ ก็แจกวัตถุมงคลแทนท่าน ซึ่งลุงเอี๊ยงที่ทำหน้าที่รับใช้หลวงพ่ออยู่ข้าง ๆ ก็สบายใจมาก เพราะว่าคนแก่อายุ ๖๐ กว่าปีแล้ว ถึงเวลาต้องมาตรากตรำงานทั้งวันไม่ไหว กว่าจ่าประมวญ (พันจ่าอากาศเอกประมวญ ราชอินทร์) จะมาเปลี่ยนเวร ก็ต้องเป็นรอบค่ำ ตั้งแต่เช้ายันค่ำนี่ ลุงเอี๊ยงต้องยืนระยะอยู่คนเดียว พอมีอาตมาคอยเปลี่ยน ลุงเอี๊ยงก็ได้เอนหลังกับเขาบ้าง ก็เลยเปลี่ยนเวรกับลุงเอี๊ยงคนละครึ่งวัน

ทำไปเรื่อย ๆ แล้วรู้สึกเหมือนกับว่าเป็นหน้าที่ของอาตมา ในเมื่อเป็นหน้าที่ของอาตมา ถ้าหากว่าไม่อยู่ คนอื่นทำอาจจะบกพร่อง เพราะหลวงพ่อท่านละเอียดมาก ขนาดที่อาตมาพยายามที่จะดูแล้ว ก็แก้ไขไปเรื่อย ๆ ก็ยังไม่วายโดนด่าอยู่เรื่อย แต่เป็นคนแปลกที่ว่าโดนด่าแล้วไม่ถอย แทนที่จะอยู่วันอาทิตย์วันเดียว ก็กลายเป็นอยู่เสาร์-อาทิตย์ แล้วก็กลายเป็นอยู่ เสาร์-อาทิตย์-จันทร์ แล้วในที่สุดก็เต็มพิกัด วันศุกร์หลังเที่ยงก็หายออกจากบ้าน กลับมาอีกทีก็เช้าวันอังคาร จนกระทั่ง รักษาศีล ๘ แล้วก็บวช
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-12-2013 เมื่อ 11:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 141 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 02-11-2009, 16:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,179 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

จากที่เล่ามานี่ อยากจะให้ดูในส่วนของพัฒนาการ ก็คือการที่ค่อย ๆ ขยับมาเรื่อย คล้าย ๆ กับว่าถ้าเราไม่ทิ้งในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา การปฏิบัติของเราจะค่อย ๆ ก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่เราก็ไม่รู้ตัว รู้อยู่อย่างเดียวว่า อยากทำให้มากขึ้น ก็ยืดระยะเวลาไปเรื่อย

แรก ๆ เหมือนกับว่าถ้านั่งนาน ไม่มีอะไรจะทำ รำคาญตัวเอง...ก็กลับ เพราะไม่คุ้นเคยกับสภาพนั้นอย่างหนึ่ง อีกอย่างที่ไม่คุ้นเคยก็คือ กระแสของคนที่ไปในด้านบุญอย่างเดียว ตอนนั้นของอาตมาเองบาปยังเยอะ ก็จะไปหงุดหงิดรำคาญเขา...ก็กลับ จนกระทั่งจากครึ่งวัน กลายเป็น...เช้ายันเย็น กลายเป็น เช้า...เย็น...กลางคืน จนกระทั่งกลายเป็นข้ามวันข้ามคืน แล้วก็กลายเป็นหลายวันหลายคืน

จากลักษณะการค่อย ๆ พัฒนาไปพวกนี้ อยากให้พวกเราพิจารณาว่า เราผ่านจุดทั้งหลายเหล่านี้มาบ้างหรือเปล่า ? จากก่อนหน้านี้วัดวาอารามก็แทบไม่อยากจะไป เดี๋ยวนี้ไล่ให้กลับก็ไม่ค่อยอยากจะกลับ มีการพัฒนาขึ้นมาแต่ละระดับขั้นตอน เคยสังเกตไหมว่ามีจุดเปลี่ยนขาดตรงไหน ? ถ้าเราสังเกตตรงนี้ได้ เราก็จะเห็นความก้าวหน้าของตัวเอง แล้วท้ายสุดถ้าเรารู้จักสังเกตละเอียดไปเรื่อย ๆ เราก็จะเห็นในเรื่องศีล สมาธิ ปัญญาของเรา ที่ค่อย ๆ พัฒนาขึ้นมาทีละระดับ ในเมื่อมาถึงปัจจุบันถ้าเราสังเกตเป็นแล้ว ต่อไปเราจะก้าวไปทางไหนก็ง่าย เพราะรู้ทาง รู้วิธีเสียแล้ว ต่อไปเรื่องการเดินทางก็จะไม่ยากสำหรับเราอีก นี่เล่าให้ฟังเฉย ๆ


เทศน์ช่วงสาย ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันเสาร์ที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๒
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-12-2013 เมื่อ 11:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 146 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:06



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว