กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 12-02-2018, 20:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑

ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกของเราไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๑ ดินฟ้าอากาศในวันนี้ก็ค่อนไปทางเริ่มหนาวอีกรอบหนึ่ง ในขณะที่สภาพร่างกายของเรานั้น ถ้าไม่ได้อากาศที่พอดี การปฏิบัติธรรมก็จะพบกับความยากลำบาก เพราะว่าอุตุสัปปายะ คือ ความพอดีพอเหมาะของอากาศ เป็นหนึ่งในสัปปายะ ๗ อย่างสำหรับนักปฏิบัติธรรม

เพียงแต่ว่าสภาพร่างกายของเรานั้น เรามีหน้าที่บริหารร่างกายให้เป็นไปเพื่อปฏิบัติธรรม หรือถ้าอย่างภาษาบาลีที่ว่า พรหฺมจริยานุคหายะ ก็คือเพื่ออนุเคราะห์ต่อการประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ใช่ว่านักปฏิบัติทำไปถึงระยะหนึ่ง เห็นทุกข์เห็นโทษของร่างกายแล้ว ก็ปล่อยปละละวางไม่ได้ให้ความใส่ใจดูแล ถ้าลักษณะอย่างนั้นเป็นการกระทำที่ผิด

ร่างกายของเราจะหนาว จะร้อน จะหิว จะกระหาย จะเจ็บไข้ได้ป่วย เราซึ่งอาศัยร่างกายนี้อยู่ปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น ก็ต้องดูแลเต็มความสามารถ หนาวก็หาเครื่องนุ่งห่มมาให้เพียงพอ ร้อนก็หาความเย็นให้ ไม่ว่าจะเป็นการอาบน้ำ การใช้พัดลมหรือใช้เครื่องปรับอากาศ หิวก็หาให้กิน กระหายก็หาให้ดื่ม เจ็บไข้ได้ป่วยก็รักษาพยาบาล

เพียงแต่ว่าเราทำหน้าที่โดยมีความรู้ตัวอยู่เสมอว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราจะแบกภาระดูแลร่างกายที่เต็มไปด้วยทุกข์ด้วยโทษนี้แค่ในชาตินี้เท่านั้น ขึ้นชื่อว่าการเกิดใหม่มาในร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้เราไม่ต้องการอีก การเกิดมาในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อนนี้ เราก็ไม่ปรารถนาอีกแล้ว เราต้องการที่เดียวคือพระนิพพาน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-02-2018 เมื่อ 03:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 52 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 13-02-2018, 19:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าท่านทั้งหลายสามารถทำใจอย่างนี้ได้ เราก็มากวดขันกฎเกณฑ์กติกาของเราว่า ทำอย่างไรเราถึงจะมีสิทธิ์ล่วงพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้ ?

เบื้องต้นเราก็ต้องมากวดขันศีลของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นศีล ๕ ก็ดี ศีล ๘ ก็ดี ท่านที่เป็นสามเณรก็ศีล ๑๐ เป็นพระภิกษุสงฆ์ก็ศีล ๒๒๗ พยายามระมัดระวังไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล

หลังจากนั้นก็ทำความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแน่นแฟ้นจริงใจ ไม่ล่วงล้ำก้ำเกินด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจก็ตาม ซึ่งในจุดนี้ท่านที่มีการภาวนาอยู่แล้ว แค่เข้าถึงในส่วนของปีติหรือสุข ยังไม่สามารถที่จะเข้าถึงปฐมฌานได้ เป็นแค่อารมณ์เฉียด ๆ จะเป็นปฐมฌานเท่านั้น เราก็จะรู้สึกว่าปีติ ร่าเริง สุข เยือกเย็นอย่างบอกไม่ถูก

แบบนั้นให้ลองใช้ปัญญาน้อย ๆ ตรองดูว่า เราที่เป็นปุถุชนธรรมดาหนาแน่นไปด้วยกิเลส ทรงอารมณ์สมาธิเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ยังมีความสุขขนาดนี้ แล้วบุคคลที่สามารถทรงปฐมฌานได้ จะมีความสุขขนาดไหน ? บุคคลที่ทรงฌาน ๒ ฌาน ๓ ฌาน ๔ ได้จะยิ่งมีความสุขเท่าไร ? แต่ว่าบุคคลที่ทรงฌานได้ในลักษณะของโลกียฌานนั้น ถึงจะมีความสุขก็ยังมีโอกาสที่พบกับทุกข์หนัก เพราะว่าไม่สามารถที่จะปิดอบายภูมิได้ พลั้งเผลอเมื่อไร ก็อาจจะตกนรก หรือเกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น

ฉะนั้น...ความสุขในระดับนี้เป็นความสุขที่สุ่มเสี่ยงต่ออบายภูมิเป็นอย่างยิ่ง ก็ต้องไขว่คว้าหาความเป็นพระโสดาบัน ถ้าบุคคลที่เป็นโลกียฌานยังมีความสุขขนาดนี้ พระโสดาบันที่พ้นแล้วจากอบายภูมิทั้ง ๔ จะมีความสุขขนาดไหน ? เนื่องจากไม่ต้องหวั่นเกรงว่าจะตกลงไปในที่ต่ำอีก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2018 เมื่อ 02:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 16-02-2018, 16:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แล้วพระสกทาคามีที่ทำให้ราคะโทสะเบาบาง จางลงจนเหมือนกับไม่มี จะมีความสุขขนาดไหน ? พระอนาคามีที่ตัดราคะกับโทสะได้อย่างเด็ดขาดแล้ว ไม่ต้องลงมาเกิดเป็นมนุษย์อีกแล้ว จะมีความสุขเพียงไร ? แล้วพระอรหันต์ที่พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดทั้งปวงจะมีความสุขเท่าไร ? พระพุทธเจ้าที่เป็นจอมของพระอรหันต์ เป็นผู้นำความรู้มาสั่งสอนจนบุคคลเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ ท่านจะมีความสุขมากเท่าไร ?

ใช้ปัญญาเพียงเล็กน้อยพิจารณาในลักษณะอย่างนี้ เราจะเห็นคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ชัดเจนหนักแน่นยิ่งขึ้น ความเคารพในพระรัตนตรัยจะแน่นแฟ้นอยู่ในใจของเรา การที่จะล่วงเกินด้วยกายด้วยวาจาก็จะค่อย ๆ หมดไปตามลำดับที่เราเข้าถึงความดี

เราก็แค่ใช้ปัญญาเพิ่มเติมว่า สภาพร่างกายนี้มีแต่ความทุกข์เป็นปกติ มีความเสื่อมสลายเป็นปกติ ขึ้นชื่อว่าการเกิดใหม่เช่นนี้จะไม่มีสำหรับเราอีกแล้ว ตายเมื่อไรเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว มีความรู้ตัวอยู่เสมอว่าเราจะต้องตายแน่นอน พูดง่าย ๆ ว่าทุกลมหายใจเข้าออกอยู่กับความตาย หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตาย หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตายเช่นกัน เราต้องทำความรู้ตัวอยู่เสมอว่า การตายของเราครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย ขึ้นชื่อว่าการเกิดใหม่จะไม่มีสำหรับเราอีก

แล้วเอาสภาพจิตของเราเกาะพระหรือเกาะพระนิพพานเอาไว้ พยายามรักษาอารมณ์ใจของเราให้ได้เช่นนี้ทุกวัน กฎเกณฑ์กติกาขั้นแรกที่จะพาเราพ้นจากอบายภูมิก็จะเป็นของเรา

ต่อไปขอให้ทุกท่านภาวนาพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันเสาร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้า)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-02-2018 เมื่อ 10:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:17



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว