กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

Notices

พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) รวมธรรมะจากพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 12-06-2009, 21:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default สาระสำคัญของมโนมยิทธิ

ถาม : พระอาจารย์สอนมโนมยิทธิหรือไม่ ?
ตอบ : ไม่ได้สอน เพราะว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านคิดว่าลูกศิษย์ท่านฉลาดพอ จึงได้สอนมโนฯ ทีนี้ลูกศิษย์ท่านฉลาดพอ แต่ลูกศิษย์ผมฉลาดไม่พอ สอนแล้วเขาเอาไปใช้ผิด

ที่เอาไปใช้ผิด อย่างเช่น ใช้ดูอดีต ระลึกชาติ เขาใช้ดูเพื่อให้เบื่อ ให้เข็ด แต่นี่เปล่า เขาเที่ยวไปดูว่า คนนั้น ๆ ในปัจจุบันเกิดเป็นใคร แล้วแทนที่จะเข็ดเขากลับไปฟื้นความสัมพันธ์กันใหม่ แทนที่จะละได้ก็กลายเป็นยึดหนักเข้าไปอีก ร้อยละ ๙๙ เลย ผมก็เลยตัดใจเลิกสอน ลูกศิษย์ของหลวงพ่อนะฉลาด แต่ลูกศิษย์ของผมกลับโง่..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-03-2010 เมื่อ 01:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 155 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 12-06-2009, 21:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มโนมยิทธิสาระสำคัญก็คือว่า ใช้อารมณ์ใจเกาะพระนิพพาน พอเคยชินกับอารมณ์นั้นแล้ว เราจะจำอารมณ์นั้นได้ว่า สภาพจิตที่ว่างเพราะปราศจากการปรุงแต่งนั้นเป็นอย่างไร แล้วเราก็พยายามทำกำลังใจของเราให้ได้อย่างนั้น

แต่ว่าที่เจอมาร้อยละ ๙๙ เขาเอาไปใช้ผิด ผมเคยอธิบายให้ฟังว่า (ท่านหยิบปากกาขึ้นมา) นี่ถ้าเราเห็นว่าเป็นแค่ปากกา (จริง ๆ แล้วเรายังใช้ไม่ได้ เพราะเรายังเห็นว่ามันเป็นปากกาอยู่) แต่ถ้าเราเห็นสักแต่ว่าเป็นรูป สักแต่ว่าเป็นธาตุก็จะจบ แต่ถ้าเราไปคิดต่อว่า เออ..เป็นปากกา ใช้เขียนหนังสือได้ สภาพจิตที่ปรุงแต่ง ก็จะคิดต่อไปว่า เออ...วันก่อนคนนั้นด่าเรา ทำไม่ดีกับเรา เดี๋ยวเราเขียนจดหมายไปด่ามัน ตรงนี้ปรุงแต่งแล้ว ออกไปทางโทสะ สาวคนนั้นสวยดี เราจะเขียนจดหมายไปจีบสักหน่อย อันนี้ออกไปทางราคะ บ้านนั้นรวยนักหนาเขียนจดหมายไปเรียกค่าไถ่ อ้าว..นี่ก็โลภะ โลภอีกแล้ว

ถ้าหากว่าสติ สมาธิ และปัญญาเท่าทัน มองแล้วไม่ปรุงแต่ง แค่สักแต่ว่าเห็น ก็เป็นแค่รูปหรือธาตุเท่านั้น แต่ถ้าหากเริ่มปรุงแต่งเมื่อไร ก็จะเป็นโทษกับเราทันที

ทีนี้ในสภาพของพระนิพพาน จิตเราปราศจากการปรุงแต่งอย่างสิ้นเชิง รัก โลภ โกรธ หลงต่าง ๆ และความทุกข์ ไม่สามารถที่จะเกิดได้ หลวงพ่อท่านสอนเราให้ชินกับอารมณ์ใจอย่างนั้น แล้วลงมาทำต่อข้างล่าง นั่นคือสาระสำคัญที่สุดของมโนมยิทธิ แต่ว่าพวกเรามาใช้ผิด ผมขี้เกียจไปตามต้อน ก็เลยเลิก สอนแต่ธรรมดา ๆ ดีกว่า ไม่เช่นนั้นถ้าเขาแหกคอกไป เราก็ต้องรับผิดชอบในฐานะอาจารย์อีก ต้องไปตามต้อนให้กลับเข้าคอกอีก

ถึงตรงนี้มีข้อเสียจุดใหญ่เลยก็คือว่า ถึงเวลาเขาจะไม่ฟังเรา เขาไม่ฟังเราเพราะเขาเห็นเอง ในเมื่อเขาเห็นอย่างนั้นเขาก็เชื่อ ผมเคยบอกว่า คุณเห็นอย่างนั้นยังเชื่อไม่ได้

เหมือนกับเราเห็นเขาไล่ฆ่าไล่ฟันกันมา คุณก็ถือมีดถือปืนเข้าไปช่วยเขา เขาจะกระทืบตาย..! เพราะเขากำลังถ่ายหนังกันอยู่ เราเห็นจริงหรือเปล่า ? เห็นจริง แต่เรื่องที่เห็นนั้นไม่จริง เพราะของบางอย่างเขาปรุงแต่งมาหลอกกันได้ แต่ด้วยความที่พวกเขาเห็น เขาก็เลยปักใจเชื่อมั่น แล้วก็โดนหลอกให้หลงทางไปเรื่อย จากที่จะมุ่งตรงเพื่อความหลุดพ้น ก็จะถูกพาเดินวนแล้วไปไหนไม่รอด แล้วทีนี้เขาจะหลงนานเลย เพราะเขาเห็น ผมก็เลยตัดสินใจว่า เลิกสอนดีกว่า แต่ว่าทางวัดท่าซุงเขายังสอนอยู่ ลูกศิษย์ผม..พระมหานันทวัฒน์ เขาก็เปิดบ้านสุมโนสอนอยู่ ถ้าหากอย่างนั้นก็ไปฝึกได้ แต่ขอเตือนเอาไว้ว่า ยิ่งรู้เห็นชัดเท่าไร ก็ยิ่งโดนหลอกได้ง่ายเท่านั้น

แรก ๆ ก็จะตรงไปตรงมา แต่พอเราเผลอหน่อยเดียว เขาเริ่มตะแบงข้างแล้ว แล้วท้ายสุดเราจะเห็นว่า กิเลสกับเราหน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-03-2010 เมื่อ 01:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 146 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 12-06-2009, 21:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

จริง ๆ ครับ คือ ตัวเรานี่ จะดีก็ที่ตัวเรา ชั่วก็ที่ตัวเรา สำคัญตรงที่ก้าวสุดท้ายว่าเราจะเลี้ยวไปทางไหน ตอนนั้นจะต้องมีการตัดสินใจ แต่ว่าตอนเจอกับกิเลสนั้นจะไม่เหมือนการตัดสินใจในงานที่เราทำอยู่ งานที่เราทำอยู่เราพอจะอนุมานได้ว่า ถ้าตัดสินใจอย่างนี้แล้วผลจะเป็นอย่างไร แต่อันนี้ไม่ใช่ เมื่อเราตัดสินใจว่าจะทำ...กิเลสก็จะหลอกเราว่าทางด้านนี้ดี บางทีทุกอย่างลงตัวเป๊ะเลย แต่ก้าวสุดท้ายนั้นไม่ใช่ เห็นทางดี ๆ อยู่ข้างหน้า ก้าวไปก็กลายเป็นเหวไปได้

เพราะฉะนั้น..ถ้าหากตั้งใจสู้กับกิเลสจริง ๆ เป็นเรื่องที่ละเอียดและก็ยากมาก แต่ก็ไม่เกินความสามารถของเรา เพราะว่าถ้าหลอกเราละเอียดขนาดนั้น ก็แปลว่ากำลังของเราเพียงพอที่จะก้าวข้ามได้ เขาถึงต้องเอาตัวความละเอียดระดับนั้นมาหลอกเรา ถ้าเราไม่ถึงขนาดนั้นเขาก็เอาที่หยาบ ๆ มาหลอกเรา จะเป็นชั้น ๆ ไปเรื่อย

คราวนี้มีปัญหาตรงที่ว่า ส่วนใหญ่แล้วพอรู้เห็นแล้ว ก็จะคึก จะคะนอง ทำนั่น ทำนี่ไปเรื่อยเปื่อย เหมือนกับพวกม้าดื้อวัวดื้อ ถ้าปล่อยให้หลุดจากคอก มันก็จะไปของมันเอง กว่าจะลากกลับมาได้ก็เหนื่อย ส่วนใหญ่พอลากแล้วมันไม่กลับ ตัวไหนดุ ๆ หน่อยมันจะเตะคนลากด้วย ก็เลยมีปัญหาว่า พอถึงเวลาแล้วไม่อยากจะสอน เพราะเห็นโทษว่า ถ้าปัญญาไม่ถึง ก็จะทำให้ติดนาน

เอาเป็นว่าลองไปฝึกที่บ้านสายลมตอนต้นเดือน หรือไม่ก็ที่วัดท่าซุงหรือบ้านสุมโน คราวนี้ถ้าฝึกจากตรงนั้นแล้วมีปัญหาติดขัดมาถามผมได้ แต่ถ้าให้สอนเองผมกลัวจังเลย กลัวจะทำให้ท่านติดมากขึ้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-03-2010 เมื่อ 01:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 131 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 13-06-2009, 00:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เคล็ดลับของมโนมยิทธิ คือ

อันดับแรก เราต้องเข้าใจว่าสภาพจิตของเราไม่มีอะไรขวางได้ ไม่ต้องผ่านขั้นตอนของการใช้ร่างกาย อย่างเช่นว่า ถ้าเราจะไปวัด ถ้าใช้มโนมยิทธินี่จะถึงวัดเลย ไม่ต้องเปิดประตู ไม่ต้องลงบันได ไม่ต้องไปเรียกหารถ ถ้าเรานึกถึงวัด สภาพวัดจะชัดเจนอยู่ตรงหน้า คนที่ได้มโนมยิทธิหรือคนได้อภิญญา เขาจะเห็นว่าอยู่ตรงนั้นเลย ที่ไหนก็ตาม ใกล้ไกลก็ตาม ไม่โดนจำกัดด้วยระยะทาง แค่นึกก็ถึงแล้ว เพราะฉะนั้น..เขาบอกว่าให้ยกจิตขึ้นสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ถ้าเรากำหนดใจเลยว่าตรงหน้าคือสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็ใช่เลย เพียงแต่ว่ารายละเอียดต่าง ๆ เราไม่คุ้นชิน เกิดความรู้สึกอย่างไรให้ตอบอย่างนั้นก่อน

แรก ๆ ภาพจะไม่ชัดหรือไม่เห็นเลย จะเป็นเพียงความรู้สึกเฉย ๆ พอเกิดความมั่นใจแล้วความชัดเจนจะค่อย ๆ มีมาเอง เพราะฉะนั้น..อันดับแรกก็คือว่า ไม่โดนจำกัดด้วยระยะทางเหมือนกับกายเนื้อของเรา แค่คิดก็ถึงแล้ว ใครสามารถคิดได้นี่...ฝึกมโนฯ ได้ทุกคน ดังนั้น..คนฝึกมโน ฯ บางคนก็มักจะงงว่า ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ ? ความจริงก็ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก กว่าจะทำได้ ว่ากันมาหลายปีอยู่เหมือนกัน

ข้อที่สองก็คือ อย่ากลัว เราได้ยินว่ามโนมยิทธิเป็นการถอดจิตไป ก็กลัวว่าไปแล้วจะกลับไม่ได้ ไปแล้วเกิดไปเจออะไรน่ากลัว เราออกไปเหมือนกับทิ้งบ้านเปล่า ๆ แล้วผีจะมาขโมยตัวเราไปใช้ ถ้าเกิดความกลัวแบบนี้ก็จะไปไม่ได้

ข้อที่สาม ก็คือ อย่าอยากจนมากเกิน อยากแล้วไปปฏิบัติไม่ใช่ความผิด แต่ตอนภาวนาตามครูฝึกอย่าอยาก ความอยากมากก็เหมือนกับเรายืดคอออกจากช่อง มีช่องอยู่ตรงหน้าเพื่อให้เรามองเห็นอะไรได้ เราอยากมาก..ยืดคอจนเลยช่องแล้วจะไปมองเห็นอะไร

ข้อที่สี่ ก็คือ อย่าเป็นคนขี้สงสัย ด้วยการเก็บความรู้เก่า ๆ ที่ได้ยินมาบ้าง ได้ฟังมาบ้าง ได้อ่านหนังสือมาบ้าง เอาไปใช้ ผมโดนมาแล้ว ครูฝึกบอกให้ไปบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของพระอินทร์ ผมก็ไป เห็นลุงแก่ ๆ คนหนึ่ง ครึ่งนั่งครึ่งนอนพิงหมอนขวาน นุ่งกางเกงขาก๊วยตัวเดียว เสื้อก็ไม่ใส่ มีผ้าขาวม้าพาดบ่าอยู่ชิ้นเดียว เราก็ไปนั่งมอง "นี่หรือพระอินทร์..?" ท่านลุกนั่งตัวตรงถามว่า "แล้วเอ็งอยากดูแบบไหน ?" แค่ประมาณสองวินาทีท่านทำให้ดูเป็นร้อย ๆ แบบ แล้วท้ายที่สุดก็คือพระอินทร์ที่เราคิด แต่งตัวเป็นลิเกสีเขียว ๆ เพราะฉะนั้นถ้าหากเราแบกเอาความรู้เดิม ๆ ไปแบบคนขี้สงสัย โอกาสที่จะเจอของจริงก็ยาก

ถ้าครูฝึกเขาไม่ลืมที่หลวงพ่อฤๅษีท่านบอกเอาไว้ จะมีอยู่ประโยคหนึ่ง ท่านบอกเอาไว้ติดหู ติดตา ติดใจนักปฏิบัติเลย อย่าลืมเป็นอันขาดก็คือว่า กราบขอบารมีพระพุทธเจ้า ขอรู้ให้เห็นตามสภาพความเป็นจริง ไม่อย่างนั้นบางทีท่านทดสอบเราว่าเราเชื่อไหม ? เพราะฉะนั้น..พระอินทร์ลักษณะที่เราเคยชินท่านไม่มา ท่านมาในลักษณะสบาย ๆ ของท่าน มาอย่างกับประเภทเป็นปู่ย่าตาทวดอยู่กับบ้าน

ข้อสุดท้ายก็คือว่า ต้องมีความมั่นใจในตนเอง ถึงได้บอกว่าแรก ๆ ครูฝึกเขาบอกให้ทำอย่างไรทำอย่างนั้น รู้อย่างไรตอบไปอย่างนั้น อย่ากลัวผิด แม้ว่านั่งอยู่ด้วยกันห้าคนหกคน เขาบอกว่าจุฬามณีหน้าตาเป็นอย่างไร เรารู้สึกไม่เหมือนเขาให้ตอบตามแบบของเรา สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นอย่างไร เรารู้สึกอย่างไรให้ตอบไปอย่างนั้น เพราะว่าถ้าเปรียบสวรรค์กับโลกมนุษย์แล้ว สวรรค์ชั้นหนึ่งเหมือนเข่งใบใหญ่ โลกก็เหมือนกับถั่วเม็ดเดียว หย่อนลงไปในเข่ง หาเจอไหมละ ? ฉะนั้น..ถ้าไม่ได้ลงที่เดียวกันจริง ๆ ก็จะเห็นไม่เหมือนกัน อย่างเรามากรุงเทพฯ คนหนึ่งอยู่ลาดพร้าว คนหนึ่งอยู่บางแค อยู่กรุงเทพฯ เหมือนกัน แล้วเห็นเหมือนกันไหม ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-03-2010 เมื่อ 02:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 126 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 13-06-2009, 09:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..ข้อสรุปก็คือว่า เราต้องเข้าใจว่ามโนมยิทธินั้น ไม่จำกัดระยะทางด้วยร่างกาย ต้องเป็นคนที่ไม่กลัว ไม่อยากจนเกินไป ไม่เก็บอุปาทานเก่า ๆ ไปนั่งสงสัย และท้ายสุด ต้องมีความมั่นใจในตนเอง

สำคัญตรงที่ว่าได้แล้วต้องเอามาซ้อมบ่อย ๆ ไม่เช่นนั้นจะหาความคล่องตัวไม่ได้ ตอนซ้อมบ่อย ๆ นี่แหละ ผมแนะนำลูกศิษย์ให้ไปซ้อม แล้วก็เละอีก สมัยหลวงพ่อนั้นท่านไปนั่งข้างทาง หลับตาทำใจสบาย ๆ รถวิ่งมากำหนดใจเลยรถคันนี้สีอะไร แล้วลืมตาดู จะพิสูจน์ได้ในระยะสั้น ๆ ถ้าถูกในตอนนั้น แสดงว่าเราวางอารมณ์เป็น ถ้าตอบผิดไม่ต้องจำ

พยายามทำอย่างนั้นไปเรื่อย ๆ รถมาสีอะไร ? พอถูกสัก ๘ ใน ๑๐ คัน เราจะเริ่มจำอารมณ์นั้นได้แล้ว ก็ใส่รายละเอียดเพิ่มเข้าไป รถมาสีอะไร ? คนนั่งมีกี่คน ? ทีนี้ถ้าถูกเข้า ๘ ใน ๑๐ ก็เพิ่มรายละเอียดเข้าไปอีก รถมาสีอะไร ? คนนั่งกี่คน ? ผู้หญิงเท่าไร ? ผู้ชายเท่าไร ? ท้ายที่สุดกระทั่งว่าใส่เสื้อผ้าสีอะไร ? เลขทะเบียนอะไร ? เราก็จะบอกได้หมด

เมื่อเราพิสูจน์ได้กับสิ่งที่พิสูจน์ได้ในระยะสั้น ๆ ก็ทำให้เราเกิดความมั่นใจและจำได้แม่นว่า ถ้าการกำหนดรู้และอารมณ์ใจเป็นไปตามนั้น ก็จะถูก หลังจากนั้น ถ้ามวยเขาต่อยกัน ก็ทายว่าคู่นี้เป็นอย่างไร ? ใครชนะ ? คนชนะ ชนะน็อกหรือชนะคะแนน ? แล้วน็อกยกที่เท่าไร หรือฟุตบอลคู่นี้เล่นกันใครจะชนะ ? ชนะกันกี่ลูกหรือเสมอกัน ? เสมอกันกี่ลูก ? รู้สึกอย่างไรให้เขียนผลไว้เลย แล้วเราไปดูเอาตอนจบว่าเป็นไปตามนั้นไหม ?

ไป ๆ มา ๆ พวกที่ผมหัดหางมันงอก เล่นไปบอกโยมให้แทง ผมก็เลยเลิกสอน ร้ายที่สุดก็คือ ตั้งใจสอนให้เกิดความชำนาญในการละกิเลส เขากลับเอาไปใช้ผิดเป้าหมายหมด แต่ผมขอยืนยันว่า ถ้ามีความเข้าใจตามที่ผมว่ามา ก็คือเราเข้าใจว่า สภาพจิตเราไม่โดนจำกัดอยู่กับร่างกาย แค่นึกก็ถึงแล้ว เรานึกถึงดวงอาทิตย์ก็ถึงดวงอาทิตย์แล้ว

แสงที่เดินทางด้วยความเร็ว ๑๘๖,๐๐๐ ไมล์ต่อวินาที มาถึงโลกใช้เวลาประมาณ ๘ นาที แต่เราแค่นึกก็ถึงแล้ว ยังไม่ถึง ๑ วินาที ที่ไหนก็ตาม ถ้าเราเอาจิตนึกถึงและจดจ่ออยู่ที่นั่น ก็คือเราอยู่ที่นั่นแล้ว หลังจากนั้นเราก็ไปใส่รายละเอียดเอาทีหลัง และก็อย่ากลัว ถ้ากลัวไปไม่ได้ อยากมากก็ไปไม่ได้ มองไม่เห็น และท้ายที่สุดอย่าแบกเรื่องที่เราได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่านมาเอาไปใช้ ใช้ไม่ได้หรอก โดนหลอกต้มอยู่ดี ข้อสุดท้ายต้องมั่นใจตัวเอง ลองฝึกดู ติดขัดตรงไหนแล้วมาถามผมได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-03-2010 เมื่อ 02:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 121 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 13-06-2009, 09:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ผมปล้ำอยู่หลายปี ผมเป็นคนขี้สงสัย ฝึกจนเกิดความคล่องตัว คล่องจนถึงขนาดที่ผมรู้เลยว่าครูจะถามอะไร สามารถพูดแทนได้ทั้งประโยคเลย พอครูอ้าปาก ผมตอบก่อน ทีนี้ก็บรรลัยสิ..! ครูฝึกเขาก็ไล่ เพราะคนอื่นเขาไม่รู้ เราไปทำให้เขาพังกันหมด ผมก็เดินหน้าเหี่ยวออกมา ผมซ้อมอยู่สามปีเต็ม ๆ ผมซ้อมไปเรื่อย พอเดินหน้าเหี่ยวออกมา หลวงพ่อก็หัวเราะ บอกว่า "ไอ้หนู..ถ้าคล่องตัวขนาดนั้นแล้ว ก็สอนคนอื่นได้แล้วลูก.." เพราะฉะนั้น..ตรงนี้สำคัญว่า ได้มาแล้วอย่าทิ้ง ต้องซ้อมไว้บ่อย ๆ แต่ขณะเดียวกันต้องระมัดระวังไว้เสมอ

เรารู้เรื่องต่าง ๆ จากความเป็นทิพย์ เรื่องที่หนึ่งถูก ก็อย่าเพิ่งเชื่อว่าเรื่องที่สองจะถูก เรื่องที่หนึ่งถูก...เรื่องที่สองถูก....ก็อย่าเพิ่งเชื่อว่าเรื่องที่สามจะถูก เรื่องที่หนึ่ง..สอง..สามถูก ก็อย่าเพิ่งเชื่อว่าเรื่องที่สี่จะถูก ถ้าเราเชื่อทีเดียวว่าทั้งหมดถูกแน่จะโดนหลอกได้ เผลอเมื่อไรเป็นโดน

เพราะฉะนั้น..ถ้าหากสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นให้รับรู้ไว้ด้วยความเคารพ แล้วรอ ถึงเวลาถ้าเป็นไปตามนั้น ก็ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งที่อุตส่าห์ให้รู้ แต่ถ้าไม่เป็นไปตามนั้นก็..ช่างมันเถอะ ถ้าวางกำลังใจอย่างนั้นได้ เราก็จะก้าวหน้าไปเรื่อย แต่ถ้าหากเราไปปักมั่นไว้ว่า ต้องใช่ ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ รับรองได้ว่าเดี๋ยวเพี้ยนหมด"


สนทนากับพระอาจารย์เล็ก ณ บ้านอนุสาวรีย์
๕ มิถุนายน ๒๕๕๒
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-12-2013 เมื่อ 11:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 115 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 13-06-2009, 17:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ความจริงแล้วเรื่องของมโนมยิทธิเต็มกำลังหรือครึ่งกำลัง เป็นการแยกแยะเพื่อให้เราเข้าใจได้ง่าย จริง ๆ ผมอยากจะบอกว่าเต็มกำลังหรือครึ่งกำลังก็เหมือนกัน เหมือนกันตรงที่ว่า ถ้าหากว่าเราเห็น ก็เป็นอุปจารสมาธิ แต่ถ้าเราไปได้ ตรงนั้นเป็นกำลังของฌาน ๔ เพราะฉะนั้น..เต็มกำลังที่ไปได้ด้วยกำลังของฌานสมาบัติ แต่จริง ๆ แล้วคนไหนที่ฝึกแบบครึ่งกำลัง ถ้าสามารถไปได้คล่อง ก็คือไปด้วยกำลังของฌาน ๔เช่นกัน เพราะถ้าเป็นแค่อุปจารสมาธิ ก็แค่เห็นได้เท่านั้น ยังไปไม่ได้

เมื่อเป็นดังนั้น เวลาไปฝึกเต็มกำลังสำหรับคนที่เคยฝึกครึ่งกำลังมา ถ้าไม่สังเกตจะไม่เห็นความต่างเลย ก็จะสงสัยว่า เอ๊ะ..เราไม่ได้หรืออย่างไร ? แต่ความจริงได้ ถ้ารู้จักสังเกตจะเห็นความคล่องตัวมากขึ้น มีความชัดเจนมากขึ้น แต่ถ้าเราซ้อมจนคล่องตัวตั้งแต่ครึ่งกำลังแล้วละก็ ไปฝึกเต็มกำลังก็เสียเวลาเปล่า ไปย้ำรอยเดิมตัวเองและแถมเสียกำลังใจว่า เอ๊ะ..ทำไมเราไม่ดิ้นเหมือนคนอื่นเขา ? ตรงดิ้นนี้จริง ๆ ยังหยาบ มันเกิดความกลัว กายในมันจะออก ความกลัวไปรั้งเอาไว้ อันหนึ่งจะไป อันหนึ่งก็รั้งเอาไว้ ก็เลยดิ้นกันใหญ่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-03-2010 เมื่อ 02:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 110 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 13-06-2009, 17:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

จริง ๆ เรื่องของมโนมยิทธิ จะเต็มกำลังหรือครึ่งกำลังไม่ต้องไปแยกหรอก ผมเคยเปรียบว่าเหมือนห้องสองห้อง ห้องหนึ่งอยู่ข้างบน ห้องหนึ่งอยู่ข้างล่าง มีสภาพเหมือนกันทุกอย่าง อยู่ห้องล่างก็เห็นว่าเป็นอย่างไร อยู่ห้องบนก็เห็นว่าเป็นอย่างไร ถ้าเราได้อุปจารสมาธิคือห้องล่าง แต่ถ้าไปด้วยกำลังฌาน ๔ เต็มกำลังก็คือห้องบน

ส่วนใหญ่พวกเราจะมีพื้นฐานการภาวนามาก่อน ตรงนี้มักจะมีปัญหา เพราะว่าภาวนามาก่อน เราก็เลยอุปจารสมาธิไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงฌาน ๔ เต็มกำลัง ห้องบนก็ไปไม่ถึง ห้องล่างก็เดินเลยมาแล้ว กำลังอยู่ระหว่างกลางบันได ถ้าประเภทนี้เห็นยากจริง ๆ ท่านถึงได้บอกว่าให้หยุดภาวนา ทำใจสบาย ๆ แล้วนึกตามที่ครูบอก ที่ให้หยุดภาวนาก็คือเราต้องคลายกำลังใจออกมา หลับตาสบาย ๆ เหมือนเรากำลังจะคุยกับใครสักคน


สนทนากับพระอาจารย์เล็ก ณ บ้านอนุสาวรีย์
๖ มิถุนายน ๒๕๕๒
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-12-2013 เมื่อ 11:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 110 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 30-10-2009, 09:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : มีคนมาถามผมว่า ฝึกมโนมยิทธิไปทำไม ผมตอบไม่ถูก ควรตอบเขาว่าอย่างไร ?
ตอบ : ก็บอกว่ากูอยากเก่ง ง่ายจะตาย ตอบให้ตรงกิเลสมันสิ บอกว่า ถ้ามึงฝึกได้ก็เก่งเหมือนกู เอากิเลสเราเข้าว่าเลย ตอบเต็ม ๆ เลย ไม่ต้องเกรงใจมัน

ถาม : เกิดมีคนฝึกแล้วเขาถามว่าขึ้นไปบนพระนิพพานแล้วอย่างไรต่อ ?
ตอบ : ถามว่าถ้าเอ็งเดินสุดทางแล้วจะไปไหนต่อ ? ถามมันบ้าง อย่าให้มันถามเราฝ่ายเดียว พระพุทธเจ้าท่านสอนวิธีตอบมาหลายอย่างด้วยกัน มีปฏิปุจฉาพยากรณ์ ตอบด้วยการย้อนถาม ในเมื่อเขาถามว่าไปถึงนิพพานแล้วจะทำอะไร ก็ถามคืนไปว่า ก็ถ้าเอ็งเดินสุดทางแล้วเอ็งจะทำอะไร ?

การตอบปัญหาของพระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่าปัญหาพยากรณ์ ก็จะมี เอกังสพยากรณ์ ถามมาตอบตรง ๆ เลย วิภัชชพยากรณ์ แยกแยะปัญหาเป็นส่วน ๆ แล้วตอบทีละส่วนจนครบถ้วน ปฏิปุจฉาพยากรณ์ ตอบด้วยการย้อนถาม และท้ายสุดเป็นฐาปนียพยากรณ์ ก็คือไม่มีประโยชน์ที่จะตอบก็นิ่งเสีย

ถาม : ฝึกมโนฯ คนชอบถามว่าเห็นไหม ตอบอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : บอกว่าไม่เห็น แต่รู้เหมือนกับเห็น

วันก่อนได้กล่าวไว้ ๒ เรื่องด้วยกัน เรื่องหนึ่งก็คือว่า การฝึกมโนมยิทธิหรือการฝึกกรรมฐานอะไรก็ตาม ควรจะทำให้เต็มที่ ซักซ้อมบ่อย ๆ จนสามารถใช้งานจริงได้ ในลักษณะที่ท้าพิสูจน์ได้ เพื่อเป็นการยืนยันหลักวิชานี้ให้คนอื่นเขา ถ้าตราบใดที่ยังกลัวผิดกลัวพลาด กลัวการพิสูจน์แปลว่ากำลังใจของเรายังใช้ไม่ได้ การพิสูจน์มีแต่ประโยชน์ไม่มีโทษ ประโยชน์ก็คือถ้าผิดจะได้แก้ไข ถ้าถูกจะได้รู้ไว้ว่าที่ถูกต้องทำอย่างไร

ส่วนอีกจุดหนึ่งที่ได้กล่าวไว้ก็คือว่า เรื่องการของพระพุทธศาสนานั้นขึ้นอยู่กับพุทธบริษัททั้ง ๔ ไม่เฉพาะภิกษุบริษัทเท่านั้น ก็แปลว่าญาติโยมทั้งหญิงและชายที่เป็นอุบาสกอุบาสิกา ก็มีส่วนในการยังพระศาสนาให้รุ่งเรือง หรือทำลายพระศาสนาให้ล่มจมด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นเป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคน ที่จะต้องช่วยกันฝึกปฏิบัติให้เกิดผลจริง เพื่อที่เมื่อถึงเวลาแล้ว จะได้ช่วยกันยืนยันในสิ่งที่พระพุทธเจ้าหรือหลวงปู่หลวงพ่อท่านสอน ว่าทำแล้วมีผลจริงอย่างนั้น

ฉะนั้น..วันนี้ก็ฝากงานต่อว่าการปฏิบัติทุกอย่างให้เอาจริง ถึงขนาดที่รู้จริง อธิบายได้ พิสูจน์ได้ ถ้าทำอย่างนั้นได้แล้ว ศาสนาของเราจะเจริญเอง เพราะว่าคนที่ยังไม่เลื่อมใส พอเห็นเราท้าพิสูจน์ได้ก็เกิดความเลื่อมใส คนที่เลื่อมใสแล้วก็เลื่อมใสยิ่ง ๆ ขึ้นไป คนเก่าไม่ไปไหน คนใหม่มีแต่เพิ่มเข้ามา ก็เยอะขึ้นทุกที


เทศน์ช่วงเย็น ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันอาทิตย์ที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๒
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-03-2010 เมื่อ 02:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 87 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:17



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว