กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 25-02-2014, 18:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗

ให้ทุกคนนั่งในท่าถนัดของตนเอง ตั้งกายให้ตรง กำหนดสติไว้เฉพาะหน้า เอาความรู้สึกทั้งหมดของพวกเราอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะจับลมหายใจเป็นฐานเดียว สามฐาน เจ็ดฐานก็ได้ ตามแต่ความถนัดของตน จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เราเคยชินมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๗ ญาติโยมหลายท่านก็วิตกกังวลว่าพรุ่งนี้จะไปเลือกตั้งอย่างไร ? ซึ่งความจริงแล้วการปฏิบัติกรรมฐานนั้น เรื่องความวิตก ความกังวลต่าง ๆ เราต้องตัดทิ้งให้หมด เพราะว่าเรื่องของพรุ่งนี้ยังมาไม่ถึง เราต้องเอาเรื่องของปัจจุบันคือตอนนี้ เดี๋ยวนี้ เท่านั้น เมื่อความรู้สึกอยู่กับลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้า นั่นคือการอยู่กับปัจจุบัน ถ้าเราอยู่กับลมหายใจเข้าออกจริง ๆ ความกังวลทั้งหมดก็จะหมดสิ้นไปเอง แล้วคอยระมัดระวังไว้อย่าให้นิวรณ์ ๕ กินใจของเราได้

คืออย่าให้มีกามฉันทะ ได้แก่ ความยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ตลอดจนถึงธรรมารมณ์ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับระหว่างเพศ เว้นจากพยาบาทคือการโกรธ เกลียด อาฆาตแค้นคนอื่น ความโกรธเป็นสิ่งที่มีได้ตามปกติ แต่อย่าเกลียดฝังใจ และอย่าไปอาฆาตแค้น เพราะว่าจะทำให้กลายเป็นไฟเผาใจเราอยู่ตลอดเวลา เป็นเหตุให้กิเลสเจริญงอกงามได้

ให้ละเว้นจากถีนมิทธะ คือความง่วงเหงาหาวนอน ขี้เกียจในการปฏิบัติ หลายต่อหลายท่านตั้งใจดี อยากจะปฏิบัติให้ดี แต่ด้วยเกียจคร้านไม่ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติจริง ๆ ก็ถือว่าโดนถีนมิทธะนิวรณ์ครอบงำอยู่ ให้ละเว้นจากอุทธัจจะกุกกุจจะ คือความหงุดหงิด กลัดกลุ้ม ฟุ้งซ่านรำคาญใจ เว้นจากวิจิกิจฉาคือความลังเลสงสัยในผลการปฏิบัติ

ถ้าระมัดระวังกำลังใจของเราอยู่กับลมหายใจเข้าออกจริง ๆ นิวรณ์ทั้ง ๕ ที่กล่าวมานี้ก็ไม่สามารถจะกินใจของเราได้ แล้วการปฏิบัตินั้นต้องเป็นคนจริงจัง จริงใจ มีสัจจะ ถ้าตั้งใจว่าเวลา ๑๕ นาทีนี้ ๒๐ นาทีนี้ หรือว่าครึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมงนี้เป็นเวลาในการปฏิบัติ เราก็ต้องทำให้ได้ครบตามนั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-02-2014 เมื่อ 03:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 52 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 26-02-2014, 18:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อกำลังใจเริ่มทรงตัว ก็ให้กำหนดใจแผ่เมตตาไปสู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกภพทุกภูมิ ทุกหมู่ทุกเหล่า ตั้งใจว่าเราไม่เป็นศัตรูกับใคร เรายินดีเป็นมิตรกับคนและสัตว์ทั่วโลก เมื่อแผ่เมตตาจนกำลังใจทรงตัวแล้ว ก็มาทบทวนศีลของเรา ว่าศีล ๕ หรือศีล ๘ ที่เรารักษาอยู่นั้นมีอะไรบกพร่องบ้าง? ถ้ามีสิกขาบทไหนที่บกพร่อง ให้ตั้งใจว่าตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะมีศีล ๕ ศีล ๘ ที่บริสุทธิ์บริบูรณ์ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาระมัดระวังรักษาไว้ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล

เมื่อทบทวนศีลทุกสิกขาบทจนบริสุทธิ์บริบูรณ์แล้ว เข้ามาดูว่ากำลังใจของเรามีความเคารพในพระรัตนตรัยอย่างแท้จริงหรือไม่ ? ยังมีการล่วงเกินในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจอยู่หรือไม่ ? ถ้ามีก็ให้น้อมจิตน้อมใจขอขมาพระรัตนตรัย หลังจากนั้นก็ให้ตั้งหน้าตั้งตาประคับประคองรักษาอารมณ์ใจของเรา อย่าให้มีการล่วงเกินในคุณพระรัตนตรัยอีก

ลำดับสุดท้ายก็ให้รู้ตัวอยู่เสมอว่าชีวิตนี้เป็นของไม่เที่ยง ความตายสามารถมาถึงเราได้ตลอดเวลา ก็ขึ้นอยู่กับว่าถ้าตายแล้วเราจะไปไหน ? ถ้าลงสู่อบายภูมิก็ประกอบไปด้วยความทุกข์ยากลำบากแสนสาหัส ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์ก็ต้องทุกข์ยากลำบากกับความทุกข์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม ก็พ้นทุกข์ได้เพียงชั่วคราว เกิดใหม่เมื่อไรก็ทุกข์อีก มีสถานที่ที่รอดพ้นจากความทุกข์อย่างแท้จริงคือ พระนิพพาน ให้ทุกคนตั้งใจว่าถ้าเราสิ้นชีวิตลงไป ขอไปอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพานเท่านั้น

เมื่อปรับสภาพกำลังใจของเรามาถึงระดับนี้แล้ว ก็ย้อนไปดูลมหายใจเข้าออกของเรา ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ ให้ตามดูตามรู้ลมหายใจไปตามปกติ ถ้ามีคำภาวนาอยู่ก็ตามดูตามรู้ลมหายใจและคำภาวนาของเราไป ให้ทุกคนประคับประคองรักษาอารมณ์ใจอย่างนี้ไว้ จนกว่าได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้าอ่อน)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-02-2014 เมื่อ 20:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:58



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว