กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 15-09-2011, 01:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,459
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,251 ครั้ง ใน 34,048 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๔

ให้ทุกคนขยับตัวนั่งในท่าที่สบายของเราจ้ะ นั่งตัวตรงแต่ไม่ใช่เกร็งตัว หลับตาลงเบา ๆ ปิดปากสนิทแต่ไม่ใช่ขบฟัน กำหนดความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจเข้า..ลมหายใจออก

หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไปพร้อมกับคำภาวนาที่เราถนัด หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมาพร้อมกับคำภาวนาที่เราถนัด ใครมีความคล่องตัวชำนิชำนาญมาก จะกำหนดภาพพระไปพร้อมกันก็ได้ หรือยกจิตขึ้นพระนิพพานไปกราบพระเลยก็ได้

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๔ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานวันที่สองของต้นเดือนนี้ พวกเราทั้งหลายถือว่าเป็นบุคคลที่มีโชคอย่างยิ่งที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้ฟังธรรมแล้วน้อมนำมาปฏิบัติ เพื่อความสุขของตนเองทั้งในปัจจุบัน ในอนาคต และประโยชน์สุขสูงสุด คือหลุดพ้นไปสู่พระนิพพาน

ในเมื่อพวกเราทั้งหลายเกิดมาพร้อมกับความโชคดีเห็นปานนี้แล้ว เราก็ต้องรักษาความโชคดีของเราเอาไว้ การที่เราจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นต้องถือว่าเรามีต้นทุนมาเพียงพอ ถ้าต้นทุนไม่พอ เราก็ไม่มีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน ต้นทุนของการเกิดเป็นมนุษย์คือศีล ๕ ศีล ๕ นั้นบางทีก็เรียกว่ามนุสสธรรม คือธรรมที่ทำให้เป็นมนุษย์ ถ้าศีล ๕ บกพร่อง โอกาสที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์ก็ไม่มี

นอกจากนี้พวกเราทั้งหลายก็ยังโชคดีที่เกิดมาทันศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีโอกาสได้ฟังธรรมแล้วก็นำมาปฏิบัติให้เกิดผล ในส่วนของการปฏิบัตินั้นก็คือการปฏิบัติในศีล ในสมาธิ ในปัญญา ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสสอนเอาไว้

ศีล สมาธิ ปัญญานั้น ถ้าหากว่าเรามาทบทวนกันเบื้องต้น ก็ต้องดูที่ศีลก่อน ว่าในขณะนี้เราทั้งหลายนั้นมีศีลทั้ง ๕ สิกขาบทหรือ ๘ สิกขาบทสมบูรณ์บริบูรณ์หรือไม่ ? เราเป็นผู้ล่วงศีลด้วยตนเองบ้างหรือไม่ ? ถ้าเราไม่ล่วงศีลด้วยตนเองแล้ว เรายุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นล่วงศีลบ้างหรือไม่ ? เมื่อเราไม่ล่วงศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นล่วงศีลแล้ว เราเห็นผู้อื่นล่วงศีลเรายินดีบ้างหรือไม่ ? นี่เป็นสิ่งที่เราต้องทบทวนกันอยู่ทุกวัน

ถ้าศีลของเรามีข้อใดที่บกพร่อง ให้ตั้งใจว่าตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะรักษาศีลทุกสิกขาบทให้สมบูรณ์บริบูรณ์ ไม่ให้บกพร่องอีก ทันทีที่เราตั้งใจว่าเราจะรักษาศีลให้สมบูรณ์บริบูรณ์ ก็แปลว่า เรามีศีลทุกสิกขาบทสมบูรณ์บริสุทธิ์บริบูรณ์ตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นไป สิ่งที่เคยล่วงมาแล้วเราไม่ไปคำนึงถึง เราจะระมัดระวังเฉพาะในปัจจุบันด้วยการรักษาศีลให้ดี
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-09-2011 เมื่อ 03:20
สมาชิก 70 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 15-09-2011, 22:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,459
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,251 ครั้ง ใน 34,048 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในส่วนของสมาธินั้น อยากจะบอกว่าพวกเราให้เวลากับสมาธิน้อยเกินไป ทั้ง ๆ ที่ถือว่าเป็นส่วนที่เกือบจะสำคัญที่สุด ปัญหาในการปฏิบัติเกือบทั้งหมดทั้งสิ้นของเรานั้น คำตอบอยู่ที่สมาธิแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ ยกเว้นการใช้ปัญญาตัดกิเลสในช่วงสุดท้ายเท่านั้น เมื่อเป็นดังนั้น อยากจะให้ทุกท่านให้ความสำคัญและให้เวลากับสมาธิมากกว่าที่เป็นอยู่

ถ้าหากว่าเราภาวนาในช่วงเช้าครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมง ต่อให้กำลังใจทรงตัวขนาดไหนก็ตาม กำลังก็ไม่พอที่จะรักษาใจของเราให้ทรงตัวอยู่ได้ครบทั้งวันอย่างแน่นอน เพราะว่าเราไปทำการทำงานก็ต้องกระทบกระทั่งกับบุคคลและอารมณ์ต่าง ๆ กำลังสมาธิก็จะคลอนจะแคลนไปเรื่อย ไม่ทันจะครบวันก็พังแล้ว

ถ้าหากว่าเราทำตอนเช้าชั่วโมงหนึ่ง ตอนเย็นชั่วโมงหนึ่ง ก็ถือว่าทำมากอย่างยิ่งในความรู้สึกของเรา แต่ว่าก็ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากว่าถ้าหากว่าไม่ใช่ผู้ที่คล่องตัวสามารถทรงฌานได้ทุกเวลาที่ต้องการจริง ๆ เมื่อถึงเวลาเผลอ สติสมาธิก็จะคลายตัวจนหมด

เพราะฉะนั้น..ตอนเช้าที่เราปฏิบัติแล้วกระทบอารมณ์ต่าง ๆ ก็ไปไม่ถึงเย็น ถ้าตอนเย็นเราปฏิบัติแล้วหลับ สติเผลอสมาธิก็คลายตัวหมด เมื่อเป็นดังนั้นโอกาสที่เราจะรักษากำลังใจของเราให้ผ่องใสตลอดเวลาก็เป็นไปไม่ได้ ความก้าวหน้าในการปฏิบัติก็จะไม่มี

ดังนั้น..เราจึงจำเป็นที่จะต้องเพิ่มเวลาในการปฏิบัติของเรา อย่างเช่นว่าภาวนาตอนช่วงเช้าจนอารมณ์ใจทรงตัวแล้ว ก็ให้พยายามประคับประคองกำลังใจให้อยู่กับเราให้นานที่สุด ถ้ามีเวลาช่วงพักกลางวัน แอบไปภาวนาสัก ๕ นาที ๑๐ นาที ๒๐ นาที เพื่อรักษากำลังใจของเราให้ต่อเนื่องไว้ แล้วตอนเย็นเราก็มาทำต่อ

ถึงแม้ว่าไม่คล่องตัวถึงขนาดว่าจะรักษาเอาไว้ได้ตลอดเวลา แต่ตื่นเช้าขึ้นมาให้รีบทำให้ต่อเนื่องเข้าไว้ ก็ยังได้ชื่อว่ากำลังใจของเราเกาะอยู่ในด้านดี
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-09-2011 เมื่อ 02:32
สมาชิก 69 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 20-09-2011, 08:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,459
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,251 ครั้ง ใน 34,048 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าสามารถที่จะเพิ่มระยะเวลาในการปฏิบัติให้มากขึ้น กำลังใจที่จะทรงตัวผ่องใสก็มีมากขึ้น ทำให้ท่านทั้งหลายมีความสุขในปัจจุบันมากขึ้น เพราะว่าจิตสงบจากรัก โลภ โกรธ หลง และขณะเดียวกัน ถ้ากำลังใจทรงตัวตั้งมั่นจริง ๆ ความสุขในอนาคตคือ หวังสุคติเป็นที่ไปได้อย่างแน่นอน

แล้วเราก็นำเอากำลังสมาธินี้มาใช้ในการพิจารณาตัดกิเลส โดยมองให้เห็นชัดว่าสภาพร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสรรพสิ่งทั้งหลายก็ดี มีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอนให้ยึดมั่นถือมั่นได้เลย

สภาพร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสัตว์อื่นก็ดี ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ก็ประกอบไปด้วยความทุกข์เป็นปกติ ทุกข์ของการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ การปรารถนาไม่สมหวัง การกระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ หรือความทุกข์ของการหิว การกระหาย การร้อน การหนาว การเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นต้น มีอยู่กับเราตลอดเวลา ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาเพื่อมีความทุกข์เช่นนี้เราไม่พึงปรารถนามันอีก เราต้องการอย่างเดียวคือหลุดพ้นจากความทุกข์ไปสู่พระนิพพาน

ท้ายสุดก็ต้องพิจารณาให้เห็นจริงให้ได้ว่า อัตภาพร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา มันประกอบขึ้นมาจากธาตุ ๔ คือดิน น้ำ ไฟ ลม รวมกันเป็นเครื่องให้เราอาศัยอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เมื่อถึงเวลาก็เสื่อมสลายตายพังไปตามสภาพ ไม่อาจยึดถือมั่นหมายเป็นตัวตนเราเขาได้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาในร่างกายที่ไม่มีส่วนใดเป็นเราเป็นของเราเลยอย่างแท้จริงเช่นนี้ จะไม่มีสำหรับเราอีก เราต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน

แล้วให้เอาใจสุดท้ายของเราเกาะพระนิพพานหรือเกาะภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ให้มั่น ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ให้กำหนดรู้ในลมหายใจเข้าออก ถ้ามีคำภาวนาอยู่ให้กำหนดรู้ในคำภาวนา

ถ้าไม่มีลมหายใจเข้าออกไม่มีคำภาวนา ให้กำหนดจิตนิ่งรู้อยู่เฉย ๆ อย่างนั้น อย่าอยากให้เป็น อย่าอยากให้หาย อย่าอยากให้ก้าวหน้า และอย่ารำคาญที่สภาพจิตไม่เคลื่อนคล้อยไปที่ไหน ถ้าหากสามารถวางกำลังอย่างนั้นได้ สมาธิจะทรงตัวตั้งมั่นยิ่งขึ้นจนถึงที่สุดของรูปฌานคือ ฌาน ๔ ขอให้ทุกคนรักษากำลังใจเอาไว้อย่างนี้ จนกว่าจะได้ยินเสียงสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๔
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-09-2011 เมื่อ 11:29
สมาชิก 51 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 18-03-2012, 18:43
ชินเชาวน์'s Avatar
ชินเชาวน์ ชินเชาวน์ is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Oct 2008
ข้อความ: 259
ได้ให้อนุโมทนา: 13,956
ได้รับอนุโมทนา 50,227 ครั้ง ใน 1,280 โพสต์
ชินเชาวน์ is on a distinguished road
Default

สามารถรับชมได้ที่

http://www.sapanboon.com/vdo/demo.ph...ame=2554-09-03

ป.ล.
- สามารถชมบนไอโฟนและแอนดรอยด์ได้
- ห้ามคัดลอกไฟล์ไปเผยแพร่ที่อื่นเด็ดขาด !
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:25



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว