กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 09-05-2012, 11:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เก็บตกงานพุทธาภิเษกพระกริ่งสมปรารถนา วัดศาลพันท้ายนรสิงห์ ๑๙ ก.ย. ๒๕๕๓

ในส่วนของวัดศาลพันท้ายนรสิงห์นี้ หลวงพ่อพระครูปลัดชลอมาเสริมสร้างไว้ ถ้าอาตมาจำไม่ผิด ท่านขอลาพระเดชพระคุณหลวงพ่อออกจากวัดมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๐ แค่ช่วงระยะเวลาไม่นาน จากการที่ท่านปฏิบัติตามแนวของหลวงพ่อจริง ๆ ยึดถือปฏิปทาของหลวงพ่อวัดท่าซุงผู้เป็นครูบาอาจารย์จริง ๆ สิ่งต่าง ๆ ที่ปรากฏขึ้นก็คือ ไม่ว่าจะก่อสร้าง จะทำอะไรก็ตาม ก็สามารถที่จะทำทุกอย่างให้สำเร็จลุล่วงไปได้โดยง่าย

มีพระเถระหลายต่อหลายรูปด้วยกัน ปรารภกับอาตมาว่า “ลูกศิษย์สายหลวงพ่อฤๅษี เขาทำอะไรก็ง่ายดีเว้ย..จะทำอะไรก็แค่จุดธูปไม่กี่ดอกเท่านั้นเอง” ก็อยากจะบอกเหมือนกันว่า กว่าจะง่ายก็ยากมานานเหมือนกัน เพราะว่าในการบวงสรวงบอกกล่าวครูบาอาจารย์ เท่ากับว่าเราขอบารมีของหลวงปู่หลวงพ่อ แม้กระทั่งพระพุทธเจ้าท่านมาสงเคราะห์ ก็เหมือนกับเชิญผู้ใหญ่มาช่วยงาน เมื่อถึงเวลาเชิญผู้ใหญ่มาช่วยงานแล้ว บรรดาท่านที่มีตำแหน่งรอง ๆ ลงไป ไม่ว่าจะเป็นพรหม เป็นเทวดา หรือเป็นเจ้าที่ที่รักษาบริเวณนั้น ท่านก็ต้องมาช่วยโดยมารยาท จึงทำให้ทุกอย่างสำเร็จลุล่วงไปได้โดยง่าย

ดังนั้น..ที่พระเถระบางรูปท่านบอกว่า ลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุง ทำอะไรง่ายดี ถึงเวลาจุดธูปไม่กี่ดอกก็สำเร็จแล้ว อยากจะบอกว่า ท่านมาลองมาทำง่าย ๆ ดูบ้างสิ เผื่อจะสำเร็จบ้าง..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 10-05-2012 เมื่อ 12:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 251 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 09-05-2012, 11:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สำหรับหลวงพ่อชลอของพวกเรานั้น ท่านไปบวชกับหลวงพ่อวัดท่าซุงตั้งแต่ปี ๒๕๒๓ เป็นรุ่นพี่อาตมาอยู่ ๖ พรรษา อาตมาบวชทีหลังท่าน อาตมาบวชวันขึ้น ๘ ค่ำ พอวันขึ้น ๑๕ ค่ำ วันวิสาขบูชามีการสวดปาติโมกข์ บุคคลที่ขึ้นไปนั่งเด่นอยู่ข้างบนธรรมมาสน์เพื่อแสดงปาติโมกข์ต่อหน้าพระประธาน (สมเด็จพระพุทธพรมงคล) และโดยเฉพาะต่อหน้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำของเรา ก็คือหลวงพี่ชลอของอาตมานี่แหละ ตอนนั้นอาตมารู้สึกว่า แหม..เท่เหลือเกิน แสดงปาติโมกข์ต่อหน้าครูบาอาจารย์ด้วยความกล้าหาญ และท่านสวดคล่องมาก แทบจะไม่ต้องทวนเลย

ตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันที่วัดท่าซุงนั้น หลังจากการทำกรรมฐานร่วมกันตอนทุ่มครึ่ง พอกลับมาปรากฏว่าหลวงพี่ชลอของอาตมาท่านไม่ได้หลับไม่ได้นอนเหมือนคนอื่นเขาหรอก ท่านทวนปาติโมกข์ จะได้ยินเสียงสวด สุณาตุเม ภันเต สังโฆ อัชชุโปสะโถ ปัณณะระโส ว่าไปเรื่อย อาตมาก็ว่าพี่เขาขยันจริง ๆ หนอ พอถึงเวลาไปถาม พี่เขาก็ว่า “เฮ้ย..ไม่ทวนก็ลืมสิวะ มันยาวนะ”

พอถึงเวลาก่อนวันพระสัก ๓ วัน พี่เขาก็จะเร่งทวนต้นยันปลาย เริ่มตั้งแต่ นิทานุทเทส ปาราชิกุทเทส สังฆาทิเสสุทเทส ไล่ไปเรื่อย จนกระทั่งถึง สัตตาธิกะระณะสะมะถะ พอมาระยะหลังก็มีหลวงพี่วัชรชัย ก็คือหลวงตาวัดเขาวงมาสวดอีกรูปหนึ่ง สองท่านนี้ผลัดกันแสดงพระปาติโมกข์ อาตมาเองพอเห็นอย่างนี้ก็บอกกับตนเองว่า ชีวิตนี้เราไม่เอาเรื่องสวดปาติโมกข์แน่นอน ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นคนที่มีความจำดีมากเลย แค่ฟังคนอื่นสวดก็จำได้หมดแล้ว แต่จะไม่ขึ้นสวดปาติโมกข์เด็ดขาด เพราะดูแล้วเหนื่อยแทบขาดใจ

การสวดปาติโมกข์เท่ากับทวนศีล ๒๒๗ ข้อ แต่เขามีกติกาแบบเป็นที่รู้กันเองว่า ต้องจบให้ได้ภายในครึ่งชั่วโมง หายใจแทบไม่ทัน ทุกวันนี้เวลาพระเขาสวดปาติโมกข์ติดขัดตรงไหน อาตมาแก้ให้เขาได้หมด แต่จะไม่สวดเองเด็ดขาด..เหนื่อย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-10-2013 เมื่อ 19:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 260 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 09-05-2012, 16:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องของการสวดปาติโมกข์มีอานิสงส์สำคัญมาก สมัยก่อนนั้นมีพระเก่า ๆ ที่อยู่วัดท่าซุงมา ก่อนที่สมัยพระเดชพระคุณหลวงพ่อจะไปเป็นเจ้าอาวาส ก็คือหลวงตาผ่องกับหลวงตานา ท่านทั้งสองอยู่มาตั้งแต่สมัยเจ้าอาวาสรูปเก่า ก็คือพระครูสังฆรักษ์อรุณ อรุโณ

หลวงตานาท่านสวดปาติโมกข์คล่องมาก ออกท่าออกทาง เสียงกระทุ้งเข้าจังหวะมันมาก สวดปาติโมกข์ได้เร็ว พระก็ชอบใจเพราะไม่ต้องนั่งนาน แต่หลวงตานาก็ได้แต่สวดปาติโมกข์ทวนศีลให้คนอื่น เพราะว่าพอตกเย็นหลวงตานาก็ฉันกาแฟเย็น กาแฟเย็นของท่านนี่แอบหยอด ๔๐ ดีกรีลงไปด้วย พูดง่าย ๆ ว่า หลวงตานาเมาทุกเย็น

ก่อนหลวงตานามรณภาพ หลวงตาป่วยหนัก กลับไปรักษาตัวที่บ้าน ญาติพี่น้องเห็นว่าไม่ไหว ก็นิมนต์พระไปสวดต่อนาม สวดต่อนามคือต่ออายุ หลวงตานาพอเห็นพระมาสวด ท่านก็พนมมือน้ำตาไหล คงคิดถึงว่าตัวเองเป็นพระ แต่ก็ไม่ได้เป็นพระบริบูรณ์เหมือนเพื่อนพ้องน้องพี่ เพราะอดเหล้าไม่ได้ ตอนเย็น ๆ ก็ต้องสั่งกาแฟเย็น แล้วก็แอบหยอดเหล้าลงไป

หลังจากหลวงตานามรณภาพไป ๒ วัน พระเข้าไปกราบถามหลวงพ่อว่า "หลวงตานาไปอยู่ขุมไหนครับ ?" หลวงพ่อท่านบอกว่า “เฮ้ย..แกรอด” อาตมาก็แปลกใจว่าฉันเหล้าทุกวัน ท่านจะรอดได้อย่างไร ? หลวงพ่อท่านบอกว่า หลวงตานาได้อานิสงส์ของการสวดปาติโมกข์ช่วยไว้ การสวดปาติโมกข์สมาธิต้องดี ไม่เช่นนั้นจะสวดไม่ได้หรือสวดผิด และโดยเฉพาะว่าท่านช่วยทวนศีลให้กับพระพี่พระน้องทุกวันพระใหญ่ ได้อานิสงส์ตรงนี้ช่วยเอาไว้ เลยรอดมาได้อย่างหวุดหวิด

โดยเฉพาะตอนที่พระไปสวดต่อนาม หลวงตานาเห็นพระแล้วน้ำตาไหล นึกถึงพระเป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง ตายก็เลยไปดี ดังนั้น..บุคคลที่จะสวดปาติโมกข์ได้ ต้องมีบุญญาบารมีไม่ใช่น้อย ต้องเคยทำมาทางด้านนี้ด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-08-2013 เมื่อ 17:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 255 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 10-05-2012, 08:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

จะเป็นพระหรือไม่เป็นพระ..อยู่ที่ศีล ไม่ใช่ว่าไปถึงระดับศีลรักษาตนได้แล้วไปประมาท อย่างไรก็ต้องระมัดระวังกันสุดชีวิต

แม้กระทั่งพระอรหันต์อย่างท่านมหากัปปินนะ ถึงเวลาลงฟังพระปาติโมกข์ ท่านคิดว่าเราเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่ต้องไปฟังพระปาติโมกข์ก็ได้ พระพุทธเจ้าทรงทราบความคิด จึงเปล่งฉัพพรรณรังสีเสมือนพระองค์ท่านปรากฏเฉพาะหน้า ตรัสว่า “ดูก่อน..กัปปินนะ หากพระทุกรูปคิดอย่างเธอ ศาสนานี้จะตั้งอยู่ไม่ได้”

เราจะเห็นว่า แม้พระอรหันต์ที่เป็นปาปมุติ คือบุคคลที่เป็นพ้นจากบาปโดยสิ้นเชิงแล้ว ในส่วนที่เป็นจริยาเล็กน้อย ๆ พระพุทธเจ้าท่านยกให้ไม่ถือสาแล้ว ถือว่าเป็นสติวินัย คือผู้ที่ทรงสติอย่างสมบูรณ์แล้ว ทำอะไรก็มีแต่กิริยา มายาไม่มี เมื่อมีแต่กิริยา กรรมก็ไม่ปรากฏแล้ว แต่ท่านก็ไม่ละเมิดศีลใหญ่ เพราะการละเมิลศีลใหญ่ อาจจะเป็นตัวอย่างให้คนอื่นเลียนแบบและทำตาม

ดังนั้น..จะเห็นว่าบุคคลที่เป็นพระหรือไม่เป็นพระ ต้องดูเรื่องศีลให้เป็นปกติ ขยับตัวเมื่อไรต้องรู้ว่าศีลจะขาดหรือไม่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-08-2013 เมื่อ 17:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 230 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 10-05-2012, 08:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สำหรับวันนี้งานพุทธาภิเษกพระกริ่งสมปรารถนา เกิดจากคุณจารุ สำเภา ที่อาตมาเรียกว่าเสี่ยจารุ ตั้งใจสร้างเพื่อนำปัจจัยมาร่วมในกองบุญกฐินของทางวัดศาลพันท้ายนรสิงห์ พูดง่าย ๆ ว่า นอกจากจะทุ่มเทแรงกายแรงใจแล้ว ยังทุ่มเทเงินทองอย่างเต็มที่ด้วย ขออนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าจากยอดที่จองมา กฐินของวัดศาลพันท้ายนรสิงห์ปีนี้ ไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก ก็ทะลุเลข ๗ หลักไปแล้ว

ในส่วนของการบวงสรวง นอกจากจะเป็นการบอกกล่าวครูบาอาจารย์ เจ้าที่เจ้าทางทั้งหลายให้การสงเคราะห์แล้ว อย่างที่อาตมาทำอยู่ จะมีข้อหนึ่งที่ลืมไม่ได้ก็คือ ขอให้ญาติโยมที่เดินทางมาร่วมงาน เดินทางไปกลับได้โดยสะดวกและปลอดภัย เพราะว่าญาติโยมเดินทางมาไกล บางรายเดินทางมาจากสุดเหนือสุดใต้ มาด้วยความศรัทธา ถ้าหากว่ามาแล้วเกิดอุบัติเหตุอันตรายอะไรขึ้นมา ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียใจมาก

ดังนั้น..งานของอาตมามีหลายงานที่ญาติโยมลงไปจอดรถนอนอยู่ข้างทาง แต่ปรากฏว่าไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย มีแต่รถพังอย่างเดียว นั่นแสดงว่าเป็นเรื่องของเคราะห์ใหญ่ เป็นกรรมหนักจริง ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-08-2013 เมื่อ 17:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 231 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 10-05-2012, 08:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเรื่องของการบวงสรวงพุทธาภิเษกนั้น ถ้าตามสายวัดท่าซุงแล้ว เราถือพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์ คือ หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค และหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง เป็นใหญ่ ถึงเวลาส่งกำลังใจไปกราบ ไปบอกกล่าวท่าน ขอความเมตตาให้ท่านช่วยสงเคราะห์

เราจะเห็นว่า..บุคคลที่มีความสามารถในการสัมผัสพลังของวัตถุมงคลต่าง ๆ เขามักจะแปลกใจว่า วัตถุมงคลที่พระทางสายวัดท่าซุงจัดทำขึ้นมา แม้ว่าเป็นพระที่มีอายุกาลพรรษาไม่มาก และขณะเดียวกันก็ไม่มีชื่อเสียงอะไรเลย แต่มักจะมีพลังมหาศาลเป็นที่แตกตื่นกันมาก ความจริงแล้วก็คือพระพุทธเจ้าท่านเสด็จมาสงเคราะห์เอง

ในเรื่องของพุทธาภิเษก ถ้าเราบอกกล่าวกำหนดวันเวลาล่วงหน้าตามที่พระท่านจะสงเคราะห์ให้ เมื่อถึงเวลาท่านก็จะเสด็จมาเอง แต่ถ้าเป็นเวลาที่เรากำหนดขึ้น หรือว่าเป็นระยะเวลาที่กระชั้นชิดก็ดี ท่านไม่สะดวกหรือติดงาน ท่านก็จะให้พระอรหันต์องค์ใดองค์หนึ่ง เช่น พระสารีบุตรมหาเถรเจ้าก็ดี หรือพระโมคคัลลานะมหาเถรเจ้าก็ดี ตลอดจนพระอรหันต์องค์ใดที่เห็นว่าเหมาะสมในงานนั้นมาเป็นประธาน หรือว่าถ้าติดงานกันจริง ๆ ท่านก็จะให้ท่านท้าวสหัมบดีพรหม หรือว่าท่านปู่พระอินทร์มาแทน

ดังนั้น..พระสายวัดท่าซุงของเรา ถึงเวลาก็เป็นอย่างที่เขาบอก คือทำอะไรง่ายดี แต่ก่อนที่จะง่ายนั้น ครูบาอาจารย์ท่านเหนื่อยมามากต่อมากแล้ว ถึงเวลาพวกเราที่เป็นลูกหลาน ให้รักษาปฏิปทาตามสายกรรมฐาน ตามสายครูบาอาจารย์ไว้ ท่านก็จะอนุเคราะห์สงเคราะห์ให้เอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-08-2013 เมื่อ 17:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 235 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 10-05-2012, 08:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ปกติแล้วการตั้งราชวัตรฉัตรธงอะไรต่าง ๆ ตอนสมัยพระเดชพระคุณหลวงพ่ออยู่ก็แทบจะไม่เคยทำอย่างนี้เลย ยกเว้นว่านำวัตถุมงคลวางไว้บนผ้าขาวในสถานที่สมควร แต่ว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เราทำนั้น ทำด้วยความเคยชิน ที่ว่าเคยชินก็คือ เห็นการประกอบพิธีกรรมตามสถานที่อื่น ๆ เขามีราชวัตร พอถึงเวลาแล้วเราก็ประกอบพิธีตามเขา

จริง ๆ แล้วอาตมามีความรู้อยู่อย่างหนึ่ง คือการที่เราจะผูกสายสิญจน์ เป็นการชักผูกตามแบบอิติปิโส ๘ ทิศ แต่ว่าใช้ระยะเวลาในการทำนานมาก ถ้าหากว่าผูกทั้งศาลาประมาณ ๓ วันกว่าจะเสร็จ ดังนั้น..แม้ว่ารู้แต่ก็ไม่ได้ทำ เพราะว่าส่วนใหญ่แล้ว ลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุง จะมีนิสัยเหมือนหลวงพ่ออยู่อย่างหนึ่งคือ อะไรที่ยากจะไม่ทำ เพราะว่าท่านเหนื่อยกันมามากแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-08-2013 เมื่อ 17:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 229 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 10-05-2012, 09:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลวงพ่อมนัส มนฺตชาโต ก่อนหน้านี้ท่านอยู่ที่วัดทุ่งจันดำ พอญาติโยมไปกวนมาก ๆ ท่านก็ย้ายหนีไปที่วัดคลองเกวียนลอย ไป ๆ มา ๆ ตอนนี้มุดหายเข้าป่าไปอีกแล้ว ไปตั้งสำนักสงฆ์เขาแหลมขึ้นมาอีก แต่จริง ๆ ต้องบอกว่า พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จะอยู่ไกลแค่ไหนโยมก็ไปถึง วันนี้เรามีโอกาสกราบพบท่านที่นี่ อาตมาเองก็ไม่ได้เจอท่านนานมากแล้ว

สมัยก่อนเวลาอยู่วัดท่าซุง ด้วยความที่เป็นลูกหลวงพ่อเหมือนกัน ก็รักใคร่สนิทสนมกันเหมือนพี่เหมือนน้อง จริง ๆ แล้วถ้าไม่ใช่พระที่อายุมาก ๖๐ - ๗๐ ปีขึ้นไป จะเรียกว่าหลวงพี่ทั้งนั้น ทั้ง ๆ ที่หลวงพี่ท่านนั้นอาจจะเป็นพระอาจารย์คู่สวดของเราเอง ซึ่งโดยปกติแล้วพระท่านจะเรียกพระอาจารย์คู่สวดของตนว่าพระอาจารย์ แต่พวกเราไม่มีพระอาจารย์ มีแต่หลวงพี่กันทั้งวัด ก็เลยเป็นความเคยชิน พอถึงเวลาเผลอเรียกหลวงพี่มนัส เดี๋ยวลูกศิษย์ท่านได้ยินก็มองตาเขียวปั๊ด..!

หลวงพ่อมนัสท่านน่าเป็นห่วง เพราะเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นประจำ พระสายหลวงพ่อจะหาท่านที่แข็งแรงเป็นปกติได้ยากมาก เพราะส่วนใหญ่สมัยก่อนเป็นทหารออกรบ ฆ่าเขาไว้เยอะ ถึงเวลาเศษกรรมตามทัน อาตมาเองก็ป่วยหนักมาตั้งแต่อายุเพิ่งจะพ้น ๒๐ ปี ป่วยมา ๓๐ กว่าปีแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-08-2013 เมื่อ 17:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 228 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 10-05-2012, 09:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในการพุทธาภิเษก ถ้าหากว่าได้รับการสงเคราะห์จากพระท่าน เรื่องอานุภาพของวัตถุมงคลนั้นไม่ต้องเสียเวลาบรรยาย อยากให้ญาติโยมตั้งข้อสังเกตไว้นิดหนึ่งว่า พระเครื่องของหลวงปู่สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดระฆัง เดี๋ยวนี้เอารถเบนซ์มาแลกยังแลกไม่ได้ บางทีต้องใช้รถเบนซ์ ๒ - ๓ คัน กว่าจะแลกได้องค์หนึ่ง พระเครื่องของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค เมื่อประมาณสิบกว่าปีก่อน มีโยมอยู่คนหนึ่งชนะการประมูลพระเครื่องของหลวงปู่ไปด้วยราคา ๒ แสนบาท นี่สิบกว่าปีที่แล้ว พระเครื่องของหลวงปู่สด วัดปากน้ำภาษีเจริญ เดี๋ยวนี้ก็ราคาเป็นแสนแล้ว

อาตมาอยากจะบอกกับทุกท่านว่า พระเครื่องของหลวงปู่ทั้งสามท่าน เป็นที่ต้องการของคนหมู่มาก และขณะเดียวกันก็มากไปด้วยพุทธานุภาพนั้น เพราะว่าหลวงปู่ทั้งสามท่านรู้จักพระพุทธเจ้า สามารถกราบทูลอัญเชิญพระพุทธเจ้าให้มาสงเคราะห์ได้ วัตถุมงคลของท่านในปัจจุบันจึงราคาแพงมาก เรียกว่าจับไม่ติดแล้ว

อย่างหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤๅษีท่านเล่าเอาไว้ว่า หลวงปู่ปานรู้จักพระพุทธเจ้าแน่ ถึงเวลามีอะไรท่านก็ทูลถามพระพุทธเจ้าโดยตรง ส่วนหลวงปู่สด วัดปากน้ำภาษีเจริญ ท่านปฏิบัติจนเข้าถึงธรรมกาย ท่านบอกว่ามีอะไรก็ทูลถามพระพุทธเจ้าโดยตรง เพราะฉะนั้น..หลวงปู่สดก็ดี หลวงปู่ปานก็ดี เราตั้งเป็นข้อสังเกตได้ว่า ท่านรู้จักพระพุทธเจ้าแน่ ส่วนหลวงปู่สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดระฆัง เราก็มั่นใจว่าท่านรู้จักพระพุทธเจ้าแน่ ๆ

แม้กระทั่งในปัจจุบันนี้ พระเครื่องของหลวงพ่อฤๅษีวัดท่าซุง บางรุ่นราคาหลายแสนแล้ว โดยเฉพาะสมเด็จองค์ปฐมรุ่น ๑ เราจะเห็นได้ว่าวัตถุมงคลที่พระพุทธเจ้ามาสงเคราะห์โดยตรง ถึงเวลาคนที่นำไปใช้ด้วยความเคารพ มีการอาราธนาเป็นประจำ และโดยเฉพาะไม่ทิ้งการภาวนา ก็จะมีผลมหาศาล และเมื่อมีผลมาก คนก็จะถามหากันไปเรื่อย ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-08-2013 เมื่อ 17:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 226 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 10-05-2012, 11:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลวงปู่ปาน วัดบางนมโคท่านศึกษาตำราพระร่วง ถึงเวลาท่านเสกคาถาแล้วก็เขียนอักขระเลขยันต์ และทำผงวิเศษตามอักขระเลขยันต์นั้น ๆ ท้ายสุดก็พิมพ์พระแล้วก็นำมาบรรจุผงวิเศษ

สมัยก่อนท่านมีการแยกว่าพระแต่ละประเภทนั้นมีอานุภาพทางด้านไหน อย่างเช่นว่า พระพิมพ์ขี่นกเหมาะกับการใช้ทำนาทำไร่ ถ้าหากว่าไร่นาไม่งอกงาม หรือว่ามีพวกแมลงลงมาเบียดเบียน ก็เอาพระพิมพ์ขี่นกมาทำน้ำมนต์ ไปพรมไร่นาตัวเอง

ถ้าหากว่าพระพิมพ์ทรงเม่น เหมาะสำหรับคนที่มีอาชีพหากินในป่า ไม่ว่าเป็นการเดินป่า ล่าสัตว์ หาของป่าต่าง ๆ จะได้ปลอดภัย ถ้าพระพิมพ์ทรงปลา ท่านบอกว่าเอาไว้ค้าขายทางน้ำ เพราะสมัยก่อนมีแม่น้ำลำคลองมาก ส่วนใหญ่ก็ค้าขายกันทางเรือ ถ้าหากว่าพระพิมพ์ทรงไก่ ท่านบอกว่าดีทางเมตตามหานิยม เปรียบเหมือนไก่ตัวผู้ ตัวหนึ่งมีตัวเมียเป็นฝูง ถ้าใครที่ได้พิมพ์ทรงไก่...โปรดระมัดระวัง อาจมีรายการหัวแตกจากคนในบ้านได้..!

ถ้าหากว่าเป็นพระพิมพ์ทรงครุฑ ท่านว่าจะเป็นมหาอำนาจ เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นเจ้าคนนายคน และท้ายสุด พระพิมพ์ทรงหนุมาน ท่านบอกว่าเหมาะกับผู้ที่รับราชการ เพราะว่าหนุมานเป็นทหารเอกของพระราม รับราชการมาไม่มีงานอะไรที่หนุมานทำไม่สำเร็จ ท้ายสุดยังได้รับการแต่งตั้งให้ครองเมือง

แต่เวลาสมัยหลวงปู่ปานท่านทำพระ หลวงปู่ท่านเอาผงวิเศษมาคลุกรวมกัน ก็แปลว่าพระแต่ละองค์ ไม่ว่าจะเป็นพิมพ์ไหนแบบไหนก็ตาม ล้วนแล้วแต่มีอานุภาพทุกด้านเหมือนกันหมด โดยเฉพาะพระพิมพ์ทรงหนุมาน เขาว่าเอาไว้รับราชการ แต่ตามแบบหลวงปู่ปาน ท่านเอาไว้ทำน้ำมนต์รักษาโรค

สมัยก่อนบรรดาคริสเตียนแถวบางนกแขวกเป็นไข้จับสั่นกันเยอะ ก็คือไข้ป่า ไข้มาลาเรีย พอเอาพระของหลวงปู่ปานไปแขวน กำลังสั่น ๆ อยู่ก็หายดี เพราะฉะนั้น..แถวบางนกแขวกจึงยอมรับหลวงปู่ปาน เรื่องพวกนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละคนที่ได้พบ เมื่อมีประสบการณ์อย่างไรก็เชื่อถือตามนั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-08-2013 เมื่อ 17:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 225 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 29-07-2012, 08:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คำว่า "พุทธาภิเษก" เกิดจาก พุทธ + อภิเษก ดังนั้นเขาใช้คำนี้ไม่ถูก เพราะไม่มีใครจะอภิเษกขึ้นเป็นพระพุทธเจ้าได้ ไม่มีใครทำได้นอกจากพระองค์ท่านเอง

โบราณใช้คำว่า "ปลุกเสก" มีทั้งปลุก มีทั้งเสก สมัยก่อนมีการเดินธาตุ ๔ มีเดินธาตุ ตั้งธาตุ หนุนธาตุ เรื่องเหล่านี้สามารถสอบถามหลวงพ่อมนัสได้ ส่วนอาตมารู้อย่างเดียวคือเสก เพราะหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนเอาไว้เยอะ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-08-2013 เมื่อ 17:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #12  
เก่า 29-07-2012, 08:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ครั้งนี้สิ่งที่พุทธาภิเษกคือ พระกริ่งสมปรารถนา สมปรารถนา คือ ต้องการอะไร ได้อย่างใจทุกอย่าง พระกริ่งมีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน ซึ่งประเทศจีนนับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน

พระพุทธเจ้าฝ่ายมหายานนั้นมีทั้งพระพุทธเจ้าที่เป็นกายเนื้อ ก็คือ องค์สมเด็จพระศรีศากยมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้ในโลกนี้ และยังมีพระธยานิพุทธเจ้า ที่อยู่สุขาวดีพุทธเกษตร คอยสงเคราะห์สรรพสัตว์ทั้งหลาย แล้วก็ยังมี พระไภษัชยคุรุ ที่เป็นพระโพธิสัตว์

คำว่า "ไภษัชย" ก็คือ เภสัชในภาษาบาลีนั่นเอง ไภษัชย แปลว่า ผู้เป็นหมอยา ท่านตั้งใจจะรักษาโรคกิเลสของมนุษย์ให้หายขาดให้ได้ เขาก็เลยมองว่า ในเมื่อโรคที่ร้ายแรงที่สุดเกิดจากกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ท่านยังรักษาได้ การรักษาโรคอื่น ๆ จึงเป็นเรื่องเล็ก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-08-2013 เมื่อ 17:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #13  
เก่า 29-07-2012, 08:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ทางด้านประเทศจีนในสมัยราชวงศ์ถัง จึงได้มีการสร้างองค์พระไภษัชยคุรุโพธิสัตว์ขึ้นมา โดยมีการบรรจุเม็ดโลหะไว้ข้างใน ทางฝ่ายมหายานในสมัยก่อนถือว่า เขย่าองค์พระให้มีเสียงดังก็เท่ากับสวดมนต์ไปครั้งหนึ่ง สิ่งที่บรรจุไว้ข้างในนั้น ปกติแล้วมักจะเป็นกระดาษจารึกบทสวดมนต์ที่ตนเองชอบใจ ตอนหลังพัฒนาขึ้นจึงหล่อเป็นเม็ดโลหะ เวลามีคนเจ็บไข้ได้ป่วยก็จะอัญเชิญองค์พระกริ่ง ก็คือ พระไภษัชยคุรุนี้ ไปเป็นมิ่งขวัญของคนป่วย ขับไล่โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ตอนหลังจึงเอามาทำน้ำมนต์รักษาโรค

เมื่อประเทศจีนกับประเทศไทยมีการค้าขายกัน บรรดาชาวจีนที่นับถือพุทธศาสนามหายานที่เป็นพ่อค้า ก็นำเอาพระกริ่งนี้ติดตัวมา เพื่อเป็นมิ่งขวัญกำลังใจเวลาเดินทางไปต่างแดนเป็นระยะเวลาหลาย ๆ ปี พระกริ่งก็เริ่มปรากฏขึ้นในประเทศไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา เพราะว่าพ่อค้าสำเภาจีนมาค้าขายกันมาก

ดังนั้น..พระกริ่งที่สืบสายมาจากประเทศจีนในบ้านเราเป็นพระกริ่งใหญ่ ปัจจุบันนี้องค์งาม ๆ ราคาเป็นล้านบาทเลย ส่วนพระกริ่งบาเก็งที่ขุดพบที่เขาพนมบาเก็ง ประเทศเขมร ก็มาจากพ่อค้าจีนเช่นกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-08-2013 เมื่อ 17:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #14  
เก่า 29-07-2012, 08:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สำหรับประเทศไทยนั้น ตำราการสร้างพระกริ่งสืบสายมาจากสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว สมัยกรุงศรีอยุธยา ตำราเหล่านี้สืบทอดมาเป็นช่วง ๆ มาปรากฏชัดในสมัยพระพุฒาจารย์ วัดจักรวรรดิราชาวาส หรือ หลวงปู่มา วัดสามปลื้ม ท่านสร้างพระกริ่งล้มลุก เป็นเคล็ดลับว่า ไม่ว่าจะล้มอย่างไรก็ต้องลุกได้ พูดง่าย ๆ ว่าจะตกต่ำกี่ครั้งก็กลับเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้

แล้วตำราการสร้างพระกริ่งสืบทอดมาถึงสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ซึ่งท่านได้สร้างพระกริ่งที่ถือว่าเป็นพระกริ่งอันดับ ๑ เป็นที่ใฝ่ฝันของประชาชนคนไทยทั้งมวล
ก็คือ พระกริ่งปวเรศ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-08-2013 เมื่อ 17:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #15  
เก่า 29-07-2012, 23:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ตำราการสร้างพระกริ่งยังสืบต่อมา ปรากฏในสมัยสมเด็จพระวันรัต (แดง) วัดพระเชตุพนฯ ตอนนั้นท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต (แดง) ป่วยเป็นโรคอหิวาต์ ในสมัยนั้นใครเป็นอหิวาต์แล้วไม่รอดสักราย สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชในสมัยนั้นเสด็จไปเยี่ยม เห็นท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัตอาพาธหนัก จึงกล่าวว่า ในสมัยของสมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ท่านได้สร้างพระกริ่งเอาไว้ สามารถอาราธนาทำน้ำมนต์รักษาโรคได้ทุกอย่าง ท่านจะให้ลูกศิษย์ไปเอาพระกริ่งที่วัดบวรฯ มาทำน้ำมนต์ให้

สมเด็จพระวันรัตทูลว่า ถ้าเป็นพระกริ่งของหลวงพ่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ วัดบวรฯ ไม่ต้องไปเอาหรอก ที่นี่ก็มีอยู่องค์หนึ่ง แล้วก็อัญเชิญพระกริ่งออกมาทำน้ำมนต์ ปรากฏว่าสมเด็จพระวันรัตฉันน้ำมนต์จากพระกริ่งเข้าไป หายจากโรคอหิวาต์จริง ๆ
ตั้งแต่นั้นก็เป็นที่เลื่องลือกันมา

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-08-2013 เมื่อ 17:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #16  
เก่า 29-07-2012, 23:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

จากนั้นตำราการสร้างพระกริ่งสืบทอดมาที่สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทวมหาเถร) วัดสุทัศน์เทพวราราม สืบสานมาเป็นพระกริ่งสายวัดสุทัศน์ที่โด่งดังมาก เมื่อสิ้นสมเด็จพระสังฆราชแพแล้ว ท่านเจ้าคุณศรี (สนธ์ ยติธโร) ก็รับช่วงในการสร้างพระกริ่งต่อมา

ถัดจากสมัยเจ้าคุณศรีแล้ว
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เสงี่ยม จนฺทสิริ) ก็ยังคงสร้างพระกริ่งหลังปิ ที่มีอักขระขอมเขียนว่า "ปิ" อยู่ข้างหลัง ซึ่งมาจากอักขระในพุทธคุณ ๕ ก็คืออิติปิ โสฯ นั่นแหละ แต่ท่านคัดคำว่า "ปิ" มาคำเดียว ซึ่งสามารถขยายความได้ว่า ปิโย เทวะมะนุสสานัง แปลว่า เป็นที่รักของมนุษย์และเทวดา ปิโย พรัหมานะมุตตะโม เป็นที่รักของพรหมทั้งหลาย ปิโย นาคะสุปัณณานัง เป็นที่รักของนาคและครุฑ ปิณินทริยัง นะมามิหัง เราขอแสดงความนอบน้อมต่อพระผู้เป็นที่รักยิ่งนี้ ก็คือพระพุทธเจ้านั่นเอง

ถัดจากสมัยหลวงปู่เสงี่ยมคือสมเด็จพระพุฒาจารย์แล้ว ชื่อเสียงของพระกริ่งสายวัดสุทัศน์ก็ตกต่ำลง ไปดังตามสำนักอื่นแทน อย่างปัจจุบันนี้ก็นิยมพระกริ่งชินบัญชร ของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จังหวัดระยอง เป็นต้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-08-2013 เมื่อ 17:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #17  
เก่า 29-07-2012, 23:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คำว่า "สำริด" มาจาก ๒ นัยด้วยกัน นัยแรกคือ ต้องการอะไรก็จะสำเร็จได้อย่างใจ อีกนัยหนึ่งมาจาก "สามฤทธิ์" คือมีฤทธิ์ ๓ อย่างด้วยกัน ว่ากันตามพุทธศาสนาก็คือวิชชา ๓ ดังนั้น..โลหะผสมที่เรียกว่าสำริดนั้น ปกติก็มีคุณค่าพิเศษในตัวอยู่แล้ว ยิ่งมาเข้าพิธีพุทธาภิเษกก็ยิ่งเพิ่มความขลังมากขึ้นไปอีก

แต่การที่จะเอาวัตถุมงคลไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ประการแรก..ต้องมีความศรัทธา ถ้าไม่มีศรัทธา ไม่มีความเชื่อมั่น ผลต่าง ๆ ก็เกิดยาก เมื่อมีความเชื่อมั่นแล้ว ยังต้องมีการอาราธนาพระอยู่ทุกวัน การอาราธนาพระนั้นเป็นการเปิดกำลังใจของเราให้รับอานุภาพของพระ เหมือนกับการที่เราต่อคลื่นโทรศัพท์ให้เป็นสายเดียวกัน ถ้าหากว่าไม่ได้ต่อคลื่นไว้ ถึงเวลาก็ไม่สามารถที่จะรับสายได้

การที่เราจะใช้วัตถุมงคล จึงจำเป็นต้องมีการอาราธนาไว้ทุกวัน ประการสำคัญที่สุดก็คือ การที่เราอาราธนาพระ อาราธนาวัตถุมงคล ก็มักจะนึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงหลวงปู่ หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ที่เราเคารพรัก ก็แปลว่าเราได้ทั้งพุทธานุสติ ได้ทั้งสังฆานุสติ บุคคลที่มีอนุสติ คือเครื่องยึดถือในด้านที่ดี ถ้ายึดถือมั่นคงจริง ๆ เมื่อตายแล้วไปสุคติแน่นอน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-08-2013 เมื่อ 17:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #18  
เก่า 30-07-2012, 12:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การใช้วัตถุมงคล โดยเฉพาะพระกริ่งสมปรารถนานี้ ถ้ามุ่งเอาตามโบราณจารย์ท่านว่า ก็คือรักษาโรคกิเลส ซึ่งเป็นโรคใหญ่ที่พาให้เราเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ ถ้ารักษาโรคนี้ให้หายขาดได้ก็จะเป็นมหามงคลอย่างยิ่ง ไม่ต้องมาเกิดให้ทนทุกข์ทรมานอีก

รองลงมาก็รักษาโรคภัยไข้เจ็บทั่ว ๆ ไป
ท้ายสุดเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของเราให้ระลึกถึงความดีต่าง ๆ เมื่อจิตใจมีเครื่องยึดเหนี่ยวมั่นคง ถึงเวลาตายแม้ยังไม่สามารถหลุดพ้นไปพระนิพพานได้ อย่างน้อย ๆ เราก็ไปทีละจุด คือไปเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมได้ ถ้าจิตใจมั่นคงในความดี ก็บำเพ็ญบารมีต่อแล้วก็ไปพระนิพพาน

ในเรื่องของศรัทธาญาติโยมนั้น ก็เป็นไปตามสายบุญที่เคยสร้างสมร่วมกันมาในอดีต ใครก็ตามที่เคยสร้างบุญมาร่วมกันกับหลวงตาชลอ วัดศาลพันท้ายนรสิงห์ ก็จะเดินทางมาทำบุญทางด้านนี้ อยู่ไกลแสนไกลก็จะไป เพราะว่าเรื่องของสายบุญนั้นโยงถึงกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-08-2013 เมื่อ 17:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #19  
เก่า 30-07-2012, 12:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,173 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าท่านศึกษาในพระไตรปิฎก เวลาพระเถระเดินทางมากราบพระพุทธเจ้า ก็จะมีพระภิกษุที่เคารพนับถือในพระเถระรูปนั้น ๆ ตามมาด้วย ครั้งละ ๑๐๐ รูปบ้าง ๒๐๐ รูปบ้าง ๕๐๐ รูปบ้าง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า "อานันทะ..ดูกร อานนท์ เธอได้เห็นภิกษุทั้งหลายที่คลุกคลีอยู่กับพระสารีบุตรบ้างหรือไม่ ? " พระอานนท์ทูลตอบว่า “เห็นพระพุทธเจ้าข้า” พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “นั่นแหละอานนท์ ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้มีปัญญามาก”

แล้วพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า “อานันทะ..ดูกร อานนท์ เธอเห็นพระภิกษุทั้งหลายที่คลุกคลีอยู่กับพระโมคคัลลานะบ้างหรือไม่ ? ” พระอานนท์ทูลตอบว่า “เห็นพระพุทธเจ้าข้า” พระพุทธเจ้าตรัสว่า “นั่นแหละอานนท์ พระภิกษุทั้งหลายนั้นเป็นผู้ยินดีแล้วในอภิญญาสมาบัติ” ก็แปลว่าใครก็ตามที่ทำกระแสบุญในด้านใดมา ก็จะไปตามกระแสบุญของตน มีความรักความนิยมชมชอบต่อผู้เป็นต้นบุญของตนนั้น ๆ

ดังนั้น..ในเรื่องของการทำบุญทำกุศล ญาติโยมทั้งหลายที่มีศรัทธาอย่างยิ่งเฉพาะพระรูปใดรูปหนึ่ง ส่วนพระอื่น ๆ นั้น ท่านก็สามารถทำบุญด้วยได้ แต่ก็ไม่ได้มีความปลื้มใจ เต็มใจ หรือยินดีเต็มที่ เหมือนทำบุญกับพระที่เป็นสายบุญของตน เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
งานพุทธาภิเษกพระกริ่งสมปรารถนา วัดศาลพันท้ายนรสิงห์
๑๙ ก.ย. ๒๕๕๓

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย คะน้า และเถรี)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-08-2013 เมื่อ 17:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:43



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว