กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

Notices

พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) รวมธรรมะจากพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 27-07-2009, 16:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default พระอุปคุตจกบาตร


พระอุปคุตจกบาตร วัดท่าขนุน

มีคนถามว่า "ที่วัดท่าขนุน มีพระอยู่กลางสระน้ำ ที่แหงนหน้ามองฟ้า ตรงนั้นหมายความว่าอย่างไรครับ" หลวงพ่อบอกว่า "นั่นเป็นรูปพระอุปคุต"

แล้วท่านก็เล่าเรื่องให้ฟังว่า "สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ท่านจะจัดงานฉลองพระเจดีย์ซึ่งบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เป็นเวลา ๗ ปี ๗ เดือน กับ ๗ วัน ท่านรู้ดีว่างานบุญใหญ่ขนาดนี้พญามารต้องขวางแน่ ๆ จึงไปสอบถามพระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระว่า จะจัดการอย่างไรไม่ให้พญามารมาขวางได้ พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระบอกว่า พระอุปคุตเป็นคู่ปรับของพญามาร ต้องส่งทูตไปเชิญท่านซึ่งนั่งเข้านิโรธสมาบัติอยู่ที่สะดือทะเลนั้นมา

พระเจ้าอโศกมหาราชท่านก็เลยตั้งให้พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระเป็นประธาน ส่งตัวแทนไปเชิญพระอุปคุต เมื่อตัวแทนพาท่านมาถึง เจอหลวงตาแก่ผอมกระหร่องเลย พระเจ้าอโศกฯ ก็ไม่มั่นใจ อยากจะทดสอบ

พอตอนเช้าพระอุปคุตออกบิณฑบาต พระเจ้าอโศกฯ ก็ปล่อยช้างไล่ ในอรรถกถาท่านบอกไว้ว่า พระอุปคุตหันมาเผชิญหน้า ช้างก็เลยกลายเป็นดั่งรูปปั้นศิลา กระดิกตัวไม่ได้ พระเจ้าอโศกฯ เห็นดังนั้นก็ยอมรับว่าพระอุปคุตมีความสามารถ จึงกราบขอขมา พระอุปคุตก็เลยคลายฤทธิ์ ทำให้ช้างเดินกลับโรงช้างได้เอง

พระเจ้าอโศกฯ บอกว่าอยากเห็นการแสดงฤทธิ์ชัด ๆ พระอุปคุตบอกว่า จะบันดาลให้เกิดแผ่นดินไหว พระเจ้าอโศกฯ ตรัสว่า แผ่นดินไหวก็ไหวอยู่บ่อยแล้ว จะเชื่อได้อย่างไรว่าเป็นฝีมือของพระอุปคุต อาจจะเกิดไหวในขณะนั้นพอดีก็ได้ พระอุปคุตบอกว่า ถ้าเช่นนั้นให้พระองค์เอาขันน้ำล้างพระพักตร์มา แล้วตักน้ำใส่ ท่านจะทำให้แผ่นดินไหวโดยน้ำสะเทือนในขันแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ปกติถ้าแผ่นดินไหวธรรมดาต้องสะเทือนทั้งขัน

พระเจ้าอโศกฯ ก็ตกลง ตักน้ำมา ปรากฏว่าพระอุปคุตแสดงฤทธิ์เกิดเหตุแผ่นดินไหว ไหวชนิดที่ว่าอย่างอื่นสั่นหมด แต่น้ำสะเทือนแค่ครึ่งขัน ท่านจึงได้ยอมรับว่าเป็นฤทธิ์ของพระอุปคุตจริง ๆ จึงกราบอาราธนาท่านให้เป็นผู้ป้องกันไม่ให้พญามารมาทำลายพิธี พระอุปคุตก็เลยต้องฉันไป แหงนมองไปว่าพญามารมาหรือยัง ?

คนเขามักจะนิยมสร้างรูปท่านในลักษณะนี้ ที่สร้างรูปในลักษณะนี้เกิดจากความนัยสองอย่างด้วยกัน อย่างแรกก็คือ พระอุปคุตนิยมเข้านิโรธสมาบัติ ก็เลยกลายเป็นพระมหาลาภไปโดยปริยาย การบูชาท่านก็จะมีลาภผลมากไปด้วย อีกนัยหนึ่งเป็นความเชื่อในระยะหลัง เพราะดูจากรูปแล้วเป็นลักษณะท่านล้วงบาตร กำลังฉันอยู่ ก็คิดว่าถ้าบูชา อย่างไรเราก็ไม่อดแน่ มีกินแน่นอน

แต่ว่าทางภาคเหนือยังคงความเชื่อเรื่องพระอุปคุตนี้อยู่ เหมือนทางพม่า ถ้าเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือนไหนก็ตาม ที่ตรงกับวันพุธ เขาเชื่อว่าพระอุปคุตจะออกบิณฑบาต ทางเหนือเรียก เป็งปุ๊ด (วันเพ็ญที่ตรงกับวันพุธ) เขาจะมานิมนต์พระไปรับบาตรตั้งแต่เที่ยงคืน

อาตมาโดนปลุกงัวเงียไปรับบาตรมาแล้ว ก็มานั่งคิดวิเคราะห์ว่าทำไมเป็นประเพณีตักบาตรเที่ยงคืน ท้ายสุดก็สรุปได้ด้วยปัญญาของตัวเอง ผิดถูกช่างมัน ว่าพระอุปคุตท่านออกบิณฑบาตในวันพุธขึ้น ๑๕ ค่ำพอดี เนื่องจากมีคนได้ใส่บาตรท่านตอนออกนิโรธสมาบัติแล้วรวยในวันนั้น ทำให้คนเชื่อกันว่าวันขึ้น ๑๕ ค่ำ ที่ตรงกับวันพุธ พระอุปคุตจะออกบิณฑบาต ประการต่อมาคนใส่บาตรใส่แต่เช้าเลย คนที่อยากได้บุญก็ตื่นให้เช้ากว่านั้นหน่อย พออีกคนเห็นคนนั้นตื่นเร็วก็เลยตื่นตั้งแต่ตีห้า อีกคนเห็นคนนั้นตื่นตีห้า ก็เลยตื่นตีสี่ครึ่ง ไล่ไปเรื่อย จนอาตมาต้องโดนปลุกให้ตื่นตอนเที่ยงคืน..!

ประเพณีตักบาตรเที่ยงคืนหรือตักบาตรพระอุปคุตทางด้านเหนือยังมีอยู่เป็นปกติ ส่วนทางด้านพม่าหลังฤดูกาลเก็บเกี่ยวแล้ว เขาจะจัดแพตกแต่งอย่างสวยงามแล้วอาราธนาพระอุปคุตใส่ลงแพ ทำบุญฉลองแล้วก็ปล่อยให้ลอยตามน้ำไป ไปถึงที่หมู่บ้านไหนก็จะอาราธนาขึ้นที่หมู่บ้านนั้น แล้วก็จัดงานฉลอง นิมนต์พระไปเลี้ยงที่บ้าน ใครอยากเป็นเจ้าภาพก็นิมนต์พระอุปคุตเข้าบ้าน เวลาฉลอง บ้านนี้อาจสวดมนต์เย็นแล้วฉันเช้า พอขยับไปอีกบ้านก็อาจนิมนต์ฉันเพล ขยับไปเรื่อย ๆ บางหมู่บ้านอยู่ถึง ๒ เดือนก็มีเพราะว่าหมู่บ้านนั้นใหญ่และมีชาวบ้านเยอะ เขาอยากทำบุญกันทั้งหมู่บ้าน ใคร ๆ ก็อยากรวย ถ้าทำบุญครบแล้ว ก็นิมนต์ท่านลงแพปล่อยท่านลอยน้ำไป บ้านอื่นก็เตรียมตัวนิมนต์ต่อ ทางพม่าเขาทำแบบนี้ ใหม่ ๆ แพต้นทางนั้นดูงดงามอลังการ แต่งเสียอย่างดีเลย ไปถึงท้าย ๆ กะรุ่งกะริ่งดูไม่ได้ เพราะหลายเดือนเต็มที


เทศน์(ช่วงเย็น) ณ บ้านอนุสาวรีย์
๕ กรกฎาคม ๒๕๕๒
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-01-2015 เมื่อ 16:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 27-07-2009, 16:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ผู้ที่เข้านิโรธสมาบัติได้?
ตอบ : ผู้ที่เข้านิโรธสมาบัติต้องเป็นตั้งแต่พระอนาคามีปฏิสัมภิทาญาณขึ้นไป หรือเป็นพระอรหันต์ก็เป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ ส่วนนิโรธกรรม เป็นความหมายในระยะหลังนี้เอง ว่ากระทำในลักษณะเดียวกับนิโรธสมาบัติ ส่วนท่านจะได้หรือไม่ได้อีกเรื่องหนึ่ง ทำลักษณะเดียวกับนิโรธสมาบัติก็คือ อยู่ด้วยอำนาจของฌานสมาบัติ ฉันแต่น้ำเปล่าอย่างเดียว อย่างน้อย ๗ วัน อย่างมากไม่เกิน ๑๕ วัน

ถ้าร่างกายขาดน้ำมาก ๆ ก็แย่ ๗ วันไม่ได้กินน้ำเลย ถ้าไม่ได้อยู่ในสมาธินี่หมดลมไปแล้ว ตามที่ปฏิบัติกันมาแต่ดั้งเดิมก็คือกรองน้ำ ๑ บาตรเอาไว้ฉันตลอด ๗ วัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-01-2015 เมื่อ 16:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 27-07-2009, 16:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ท่านอยู่ได้อย่างไร โดยที่ไม่ฉันอะไรเลย?
ตอบ : เขาเรียกว่าอยู่ด้วยธรรมปีติ ร่างกายจะดึงธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม รอบข้างเข้าไปใช้งานเอง อย่างหลวงปู่คำคะนิง ยืนนิ่งอยู่ถึง ๓-๔ ปี ปลวกขึ้นถึงหัวเข่าเลย เพราะว่าท่านไปยืนอยู่กลางป่า แต่ชาวบ้านดันไปเจอ ท่านบอกว่าน่าเสียดายมาก เพราะอีกนิดเดียวท่านจะตัดเข้าสู่พระนิพพานเลย พอคลายกำลังใจออกมาก็เลยต้องรับกระแสกรรมเดิม ต้องอยู่ต่ออีกหลายสิบปี แต่ว่ากรรมที่เนื่องกันมาเป็นเหตุให้เป็นอย่างนั้น ถ้ากรรมไม่เนื่องกันมาชาวบ้านก็ไม่มาเจอพอดี ท่านอยู่กลางป่าลึกดันไปเจอเข้า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-01-2015 เมื่อ 16:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:28



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว