|
พระครูสุวรรณเสลาภรณ์ (หลวงปู่สาย อคฺควํโส) ธรรมะ ชีวประวัติ และคำสอนของหลวงปู่สาย อคฺควํโส |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
หลักบำเพ็ญภาวนาทางจิต
ขณะนั่งตั้งจิตในพระกัมมัฏฐานภาวนานั้น ถ้าเห็นว่าจิตหดหู่ ท้อถอยตกไปในฝ่ายโกสัชชะแล้ว
พึงเจริญธัมมวิจยะ หรือปิติสัมโพชฌงค์ อันใดอันหนึ่งนั้นก่อน เพื่อยกจิตที่หดหู่นั้นให้เฟื่องฟูขึ้น แล้วจึงเจริญกัมมัฏฐานต่อไป เปรียบดังเพลิงนั้นจะดับอยู่แล้ว เอามูลโคแห้ง หญ้าแห้ง ฟางแห้ง มาใส่แล้วเป่าลมขึ้น เพลิงนั้นก็จะติดรุ่งโรจน์ขึ้นอีกได้ ขณะเมื่อจิตฟุ้งซ่านพึงเจริญ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเปกขา สัมโพชฌงค์ จิตนั้นก็จะระงับลงเปรียบดังจะดับกองเพลิงที่ใหญ่ฯ จะเอามูลโคสด หญ้าสด ฟืนสด มาทุ่มเทลง เพลิงนั้นก็จะดับไป ดังนี้และเรียกว่าข่มจิต คัดลอกจากหนังสืออนุสรณ์งานบำเพ็ญกุศลศพ ครบ ๑ ปี พระครูสุวรรณเสลาภรณ์ (หลวงพ่อสาย อคฺควํโส) อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ต. ท่าขนุน อ. ทองผาภูมิ จ. กาญจนบุรี แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ชินเชาวน์ : 23-04-2009 เมื่อ 11:30 |
สมาชิก 68 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
|||
|
|||
ไม่รู้จะขยายความอย่างไรครับ หลวงปู่ท่านอธิบายได้ตรงมากแล้วครับ แต่ถ้าติดตรงบาลี โกสัชชะ ก็แปลว่า ความขี้เกียจ ธัมมวิจยะ ก็แปลว่า การใคร่ครวญในธรรม ปิติสัมโพชฌงค์ก็แปลว่า ความอิ่มใจในธรรมอันเป็นองค์ตรัสรู้ ปัสสัทธิ ก็แปลว่า ความสงบ สมาธิ อุเปกขาสัมโพชฌงค์ ก็แปลว่า ความวางเฉยจากการตั้งใจมั่นในธรรมอันเป็นเครื่องตรัสรู้ (จริง ๆ อันนี้ก็น่าจะแปลกันได้นะครับ) คือ ที่ผมได้ความรู้จากข้อธรรมข้อนี้ อย่างหนึ่งก็คือเห็นว่า เวลาขี้เกียจควรจะพิจารณาในธรรมอันทำให้จิตใจเกิดความอิ่มใจ สว่างโพลง มีความรื่นเริงในธรรม เหมือนโยนกองฟางแห้งลงไปในกองไฟ แล้วเป่าลมให้ไฟมันลุกโชน เวลาที่ฟุ้งซ่านจนเกินไปก็ใช้ธรรมอันเป็นเครื่องสงบใจในด้านต่าง มีอานาปานุสสติ เป็นต้น เข้าไปสงบไว้ เหมือนโยนกองฟางสดเข้าไปเพื่อเป็นการดับไฟกองนั้น สรุปทั้งขี้เกียจ ทั้งฟุ้งซ่าน ก็ใช้ข้อธรรมในโพชฌงค์ ๗ ประการมาเป็นหลักในการปฏิบัติได้ทั้งนั้น สมกับเป็นธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้โดยแท้ครับ
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-02-2019 เมื่อ 02:58 |
สมาชิก 51 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ทิดตู่ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
|||
|
|||
โพชฌงค์ หรือ โพชฌงค์ ๗ คือ ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ หรือองค์ของผู้ตรัสรู้ มี ๗ อย่างคือ
สติ (สติสัมโพชฌงค์) ความระลึกได้ สำนึกพร้อมอยู่ ธัมมวิจยะ (ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์) ความเฟ้นธรรม ความสอดส่องสืบค้นธรรม วิริยะ (วิริยสัมโพชฌงค์) ความเพียร ปีติ (ปีติสัมโพชฌงค์) ความอิ่มใจ ปัสสัทธิ (ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์) ความสงบกายใจ สมาธิ (สมาธิสัมโพชฌงค์) ความมีใจตั้งมั่น จิตแน่วในอารมณ์ อุเบกขา (อุเบกขาสัมโพชฌงค์) ความวางเฉย ความมีใจเป็นกลาง เพราะเห็นตามเป็นจริง โพชฌงค์ ๗ เป็นหลักธรรมส่วนหนึ่งของ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ (ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้ เกื้อหนุนแก่อริยมรรค อันได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ และมรรคมีองค์ ๘) แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-02-2019 เมื่อ 02:59 |
สมาชิก 49 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ทิดตู่ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ถ้าได้อ่านในนิทานตลิ่งชัน เรื่องพ่อนก หลวงพ่อสมปองท่านก็เทศน์เกี่ยวกับโพชฌงค์ ๗ ไว้เหมือนกัน
ท่านบอกว่า "นกทรงอยู่ในโพชฌงค์ ๗ ประการ เป็นสมาธิจนถึงอุเบกขา ตั้งอยู่ในฌาน ๔ ทรงตัว สิ่งที่ทำให้เกิดความอิ่มใจ สติคำนึงอยู่แต่ในสัจธรรมที่เค้าได้พบ สองคือใคร่ครวญในธรรม แล้วเกิดความปีติชุ่มชื่นใจอิมเอิบ พอเกิดความชุ่มชื่นใจ อิ่มเอิบแล้ว ปัสสัทธิก็เกิด พอมันสงบปุ๊บ ก็เกิดกลายเป็นสมาธิ พอเข้าสู่สมาธิเมื่อไร ก็เกิดการวางเฉยทุกอย่าง นิ่ง แยกกายจิต พอเข้าสู่อุเบกขาธรรม ก็ทรงเข้าสู่ฌาน ๔ ละเอียดปุ๊บ จิตก็ไม่ถอนออกมา นับแต่นั้นเป็นต้นมา เป็นอันว่าร่างนั้นจิตนั้นก็แยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง พอมาคลายสมาธิอีกทีก็อยู่ที่พรหมแล้ว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 23-04-2009 เมื่อ 07:18 |
สมาชิก 54 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
"ข้าแต่พระนาคเสน โพชฌงค์ มีเท่าไร"
"ขอถวายพระพร มี ๗ ประการ" "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า บุคคลตรัสรู้ด้วยโพชฌงค์เท่าไร" "ขอถวายพระพร บุคคลตรัสรู้ด้วยโพชฌงค์ข้อเดียว" "คือข้อไหน พระผู้เป็นเจ้า" "ขอถวายพระพร คือข้อ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ (ใคร่ครวญธรรมะ)" "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าอย่างนั้น พระพุทธองค์ทรงแสดงโพชฌงค์ ๗ ไว้ทำไม" "ขอถวายพระพร พระองค์จะเข้าพระทัยความข้อนี้อย่างไร...คือดาบที่บุคคลสวมไว้ในฝัก บุคคลไม่ได้ชักออกจากฝัก อาจตัดสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ขาดได้หรือ" "ไม่ได้พระผู้เป็นเจ้า" "ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือ บุคคลปราศจาก ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ แล้ว ตรัสรู้ด้วยโพชฌงค์ ๖ ไม่ได้" "ถูกแล้ว พระนาคเสน" จากมิลินทปัญหา วรรคที่ ๗ ปัญหาที่ ๘
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 22-04-2009 เมื่อ 22:46 |
สมาชิก 52 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|