กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 25-02-2017, 19:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐

ให้ทุกท่านตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๕ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๐ จากช่วงตอบคำถามที่ผ่านมา ทำให้เห็นว่า พวกเราส่วนมากที่ปฏิบัติกัน ก็เพราะหวังในเรื่องของฤทธิ์ของอภิญญา อยากจะถอดจิตถอดกายได้ ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะว่าไปแล้ว สำหรับพวกเราทุกคนไม่จำเป็นต้องดิ้นรนขวนขวายก็ได้ เนื่องเพราะว่าถ้ามีวิสัยชอบมาทางนี้ ก็แปลว่าของเก่าที่เราทำไว้มีมากแล้ว ถ้าหากว่าเราทำดี ทำถูก กำลังใจเข้าถึงจุดสำคัญเมื่อไ ความรู้ความสามารถเหล่านี้จะฟื้นคืนกลับมาเองโดยอัตโนมัติ

โดยเฉพาะว่าการปฏิบัติของพวกเรานั้น สิ่งที่สำคัญก็คือต้องหวังในเรื่องของการพ้นทุกข์ หวังในเรื่องของมรรคผลพระนิพพาน ดังนั้น...ในการปฏิบัติธรรมของเรา จึงควรที่จะมาเน้นในเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่จะนำพาให้เราหลุดพ้นจากกองทุกข์มากกว่า

ถ้าหากว่าเรามาพินิจพิจาราในคุณสมบัติของพระอริยเจ้าชั้นต้น คือพระโสดาบัน เราจะเห็นว่าพระโสดาบันนั้น ต้องทำความเคารพใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างจริงจังแน่นแฟ้น ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง เป็นผู้ที่รักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล

เป็นผู้มีปัญญาเห็นว่าอัตภาพร่างกายนี้ไม่สามารถที่จะทรงอยู่ได้ จะต้องตายลงไปอย่างเที่ยงแท้แน่นอน ถ้าหากว่าตายแล้ว ที่เดียวที่ปรารถนาก็คือพระนิพพาน ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้ เกิดมาอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้จะไม่มีอีก จิตใจแน่วแน่มั่นคงต่อพระนิพพาน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-02-2017 เมื่อ 19:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 03-04-2017, 10:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อเป็นเช่นนั้นเราจะเห็นว่า ในเรื่องของฤทธิ์ของอภิญญานั้น แทบจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการบรรลุมรรคผลเลยก็ว่าได้ เนื่องเพราะไม่ได้กล่าวว่าเราจะต้องได้ทิพจักขุญาณ ไม่ได้กล่าวว่าเราต้องระลึกชาติได้ ไม่ได้กล่าวเราต้องรู้อดีต รู้ปัจจุบัน รู้อนาคต รู้ใจคนอื่น ไม่ได้กล่าวว่าเราต้องรู้ว่าคนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เราพยายามดิ้นรนทำกันไป จึงกลายเป็นเอาความอยากขึ้นหน้า ความอยากนั้นคือตัณหา คือกิเลสใหญ่ แม้ว่าความอยากที่เราต้องการนั้นเป็นความอยากที่เราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็ตาม ถ้าหากว่าเราอยากมากจนเกินไป ก็ทำให้จิตใจของเราฟุ้งซ่าน ไม่รวมตัว โอกาสที่เราจะปฏิบัติแล้วได้ผลแม้แต่ในเรื่องของฌานสมาบัติก็ยังยาก

แต่ถ้าหากว่าเราทำดี ทำถูก สามารถอยู่กับลมหายใจเข้าออก จนสภาพจิตสงบลงถึงระดับได้ สภาพจิตที่สงบลงก็เหมือนกับน้ำที่นิ่ง น้ำนิ่งสามารถที่จะสะท้อนเงาทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้างลงไปได้อย่างชัดเจน แต่ถ้าน้ำกระเพื่อมอยู่เราก็ไม่สามารถที่จะเห็นเงาอะไรได้

ถ้าสภาพจิตนิ่งพอ การรู้เห็นต่าง ๆ จะปรากฏขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ซึ่งมีแต่จะสร้างความเสียหายให้กับการปฏิบัติมากกว่า เพราะว่าพอเราเห็นแล้วก็มักจะไปให้ความสนใจ มักจะเชื่อตามที่เราเห็นโดยไม่ฟังคำของคนอื่น เพราะมีความยึดมั่นถือมั่นว่า "กูเห็น กูจึงเชื่อ" สิ่งทั้งหลายเหล่านี้สร้างความเสียหายให้กับการปฏิบัติมากต่อมากด้วยกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-04-2017 เมื่อ 10:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 03-04-2017, 10:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น...ในการปฏิบัติธรรม เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องวางกำลังใจของเราให้มีอุเบกขา คำว่าอุเบกขาในที่นี้ก็คือ เรามีหน้าที่ปฏิบัติ ส่วนผลลัพธ์จะเกิดขึ้นก็ไม่เกิดขึ้นก็ตาม ไม่ใช่เรื่องของเรา ถ้าเราวางกำลังใจเช่นนี้ได้ สภาพจิตของเราจะเข้าถึงความสงบได้เร็ว เข้าถึงผลของการปฏิบัติได้ง่าย แต่ถ้าเรายังปฏิบัติแล้วอยากได้โน่นได้นี่อยู่ เราก็เข้าถึงได้ช้า หรือไม่มีโอกาสที่จะเข้าถึงเลย

หากมีผู้ถามว่า “ถ้าไม่อยากได้นั่นได้นี่ แล้วเราจะปฏิบัติไปเพื่ออะไร ?” ก็ขอให้รู้ไว้ว่าการอยากนั้นไม่ผิด เราสามารถอยากได้ เพราะถ้าไม่อยากเราก็ไม่ทำ แต่เมื่ออยากแล้วพอปฏิบัติไป ให้ลืมความอยากนั้นเสีย ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติอย่างเดียว คือตามดู ตามรู้ลมหายใจเข้าออกของเราพร้อมกับคำภาวนา ลมหายใจจะแรงหรือจะเบา จะยาวหรือจะสั้น คำภาวนาว่าอย่างไรก็ให้รู้อยู่ ถ้าลมหายใจละเอียด เบาลง ก็รู้อยู่ว่าลมหายใจละเอียด เบาลง ถ้าลมหายใจหายไป คำภาวนาหายไป ก็ให้กำหนดรู้อยู่ว่าลมหายใจหายไป คำภาวนาหายไป

อย่าไปดิ้นรนเพื่อให้สภาพอย่างนั้นปรากฏขึ้น และอย่าไปดิ้นรนเพื่อหายใจใหม่ เรามีหน้าที่กำหนดรู้ไว้เฉย ๆ ถ้ากลัวว่าไม่หายใจแล้วจะตาย ก็ขอให้รู้ว่าเราต้องมอบกายถวายชีวิตเพื่อแลกกับข้อธรรมที่จะพึงมีพึงได้ ถ้าหากว่าปฏิบัติแล้วถึงแก่ความตาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็คงไม่เหลือมาสั่งสอนเราจนถึงทุกวันนี้

ดังนั้น...การปฏิบัติของเราจึงต้องวางอุเบกขา คือเรามีหน้าที่ทำ ไม่ต้องสนใจผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น ตั้งหน้าตั้งตากำหนดดู กำหนดรู้ลมหายใจพร้อมกับคำภาวนาไป สิ่งใดเกินขึ้นไม่ว่าจะเป็นภาพ เป็นแสง เป็นสีใด ๆ ก็ตาม รับรู้ไว้ด้วยความเคารพ สภาพจิตจดจ่ออยู่เฉพาะหน้าของเราเท่านั้น

ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านตั้งใจกำหนดการภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันอาทิตย์ที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย รัตนาวุธ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-04-2017 เมื่อ 10:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 04:29



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว