กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะ เรื่องราวในอดีต และสรรพวิชา > กระทู้ธรรม > ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 01-02-2010, 11:52
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,550 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default อารมณ์ของพระอนาคามี

อารมณ์ของพระอนาคามี
โดยท้าวสหัมบดีพรหม


ท่านท้าวสหัมบดีพรหมเป็นหัวหน้าของพรหมทั้งหมด ท่านเคยเป็นพ่อของหลวงพ่อฤๅษี ดังนั้นพวกเราซึ่งเป็นลูก-หลานหลวงพ่อมาก่อน ก็ควรจะเรียกท่านว่า ท่านปู่ จุดนี้คือต้นเหตุแห่งกรรมที่ผูกพันกันมาก่อนในอดีต ท่านจึงเมตตามาแนะนำสั่งสอนพวกเราให้ได้ดี พระธรรมคำสอนนี้ท่านเมตตาสอนไว้หลังจากที่หลวงพ่อท่านทิ้งขันธ์ ๕ ไปสู่พระนิพพานเมื่อ ๓๐ ต.ค. ๒๕๓๕ ผมขอเล่าที่มาของพระธรรมนี้ย่อ ๆ เพียงแค่นี้ ขอเน้นเอาแต่ความสำคัญของพระธรรมเป็นหลักใหญ่ โดยย่อดังนี้
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 79 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 01-02-2010, 17:11
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,550 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๑. “ท่านว่าไม่ยาก แค่กำหนดรู้อารมณ์ต่าง ๆ ที่มากระทบ อย่างราคะเกิดก็รู้ โทสะเกิดก็รู้ โมหะเกิดก็รู้ รู้ตามจริตหก แล้วก็ยกเอากรรมฐานแก้จริตมาใช้ แรก ๆ ก็อาจจะอืดอาดอยู่บ้าง กว่าจะรู้นึกได้กิเลสมันก็จูงจิตไปไกลลิบแล้ว แต่ใหม่ ๆ มันก็ต้องเผลอเป็นธรรมดา จงอย่าท้อถอยค่อย ๆ เอากรรมฐานแก้ แก้ได้บ้าง ไม่ได้บ้างก็เป็นธรรมดา เพราะเรายังมีอารมณ์เผลอ ถ้าหากเสียท่ากิเลสก็จงอย่าไปเจ็บใจ บอกกับจิตว่าไม่เป็นไร คราวหน้าเอาใหม่ ที่แล้วมามันเป็นอดีตไปแล้ว”

๒. “ให้เอาอดีตที่แพ้ต่อกิเลสเป็นครู แต่อย่านำมาย้อนคิดให้เจ็บใจ เกิดความเศร้าหมองขึ้นในจิต เราไม่ควรทำ แต่จำไว้ว่าจะพยายามไม่เผลออีกเหมือนในอดีต”

๓. “ธรรมอนาคตที่ยังมาไม่ถึง อย่านำมาพึงคิดปรุงแต่งให้เกิดอารมณ์ชอบใจและไม่ชอบใจ เพราะอารมณ์จิตจริง ๆ แล้วกระทบอยู่รู้อยู่แต่ในธรรมปัจจุบันก็พอ จึงจัดว่าเป็นของแท้ การอยู่ในธรรมปัจจุบัน เราเป็นผู้กำหนดรู้สิ่งกระทบต่าง ๆ จะเป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ ก็รู้อยู่แต่ในธรรมปัจจุบัน วางอารมณ์จิตให้เข้าถึงกฎไตรลักษณ์ ไม่ยอมให้อารมณ์ชอบใจไม่ชอบใจเข้ามาครอบงำจิต จิตเราจะอยู่แต่ในธรรมอันเป็นสัมมาทิฏฐิเท่านั้น โดยอาศัยปัญญาเป็นตัวคิดพิจารณา”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-02-2010 เมื่อ 17:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 69 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 02-02-2010, 14:52
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,550 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๔. “ธรรมะของพระพุทธเจ้า ทรงมีทั้งเหตุและผลรองรับอยู่ในธรรมแต่ละหมวดแต่ละข้อเสร็จสรรพ ขอให้จิตเข้าถึงธรรมจริงก็แล้วกัน เข้าถึงธรรมได้เมื่อไร จิตเราก็จะเป็นสุขเพราะวางอารมณ์ชอบใจและไม่ชอบใจลงได้ ไม่มีอะไรยากหากตั้งใจทำกันจริง ๆ อย่าท้อถอยเสียก่อนก็แล้วกัน”

๕. “อย่าไปสงสัยธรรมพ้นโลกที่ยังมาไม่ถึง ให้เอาจิตมาสงสัยในปริศนาธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า มรรคนี้เดินอย่างนี้แล้วจะได้ผลอย่างนั้นดีกว่า ค้นคว้าในสิ่งที่เป็นสาระธรรม หาความจริงในธรรมคำตรัสสอนให้ประจักษ์ ดีกว่าจะมานั่งคิดถึงอนาคตธรรมที่ยังมาไม่ถึงให้ปวดหัวเล่น ๆ อารมณ์วิตกจริตจะเล่นงานหนัก จงอย่าทำอย่างนั้นอีก ธรรมใดที่ยังมาไม่ถึงก็จงละปล่อย-วาง มาสงสัยศึกษาในธรรมปัจจุบัน หาเหตุหาผลแห่งการเกิดอารมณ์จริตต่าง ๆ ให้พบ เพราะธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ต้องรู้ต้องหาให้เจอต้นเหตุจึงจะแก้ได้ มาสงสัยอย่างนี้ดีกว่าว่า ทำไมจิตถึงเป็นอย่างนี้ ทำไมอารมณ์ถึงเป็นอย่างนี้”

๖. “กิเลสมันเหมือนกับขโมยที่เล่นซ่อนหากับตำรวจ ตำรวจโง่ไม่สงสัยว่าขโมยมันมาได้อย่างไร ไปอย่างไร ซ่อนอยู่ตรงไหน จะเอาแต่ขี้เกียจนอนเนื่องอยู่ในสันดานเกิดใหม่แล้วตายอีกกี่แสนกัป ตำรวจก็จับขโมยไม่ได้ เพราะไม่ใช้ปัญญาตรวจสอบพิจารณาถึงสาเหตุแห่งการเกิดกิเลสนั่นเอง อันที่จริงตำรวจโง่ก็ชอบกินสินบน ไปเจอรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศเข้า ตำรวจชอบรับเละ ปล่อยให้สินบนมันจูงจมูกไปไม่ยอมทำหน้าที่จับขโมย อย่างนี้ก็มี”

๗. “ถ้าอยากเป็นตำรวจฉลาด ก็ต้องไม่เอียงซ้ายเอียงขวา ไม่รับสินบนใด ๆ ทั้งสิ้น ต้องมีคุณธรรมอยู่ประจำจิต มองเห็นกฎของความเป็นจริงอยู่ตรงหน้า เห็นเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นทุกข์ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ชอบใจ-ไม่ชอบใจเป็นทุกข์ ต้องยอมรับในกฎไตรลักษณ์อยู่อย่างนี้ อย่าให้กิเลสมันหลอก อะไรดีก็ว่าดี ไม่ใช่ให้มันหลอก ไม่ดีก็ว่าดี ดีแล้วกลับว่าไม่ดี ต้องวางใจเป็นกลางเสียให้ได้ นั่นแหละอารมณ์จิตจึงจักสงบ ค่อย ๆ ทำ ค่อย ๆ คิดพิจารณา อย่าใจร้อน คิดจะลุยลูกเดียว ไม่ดูกำลังใจของตน (บารมี ๑๐) เป็นคนประมาทไม่ทบทวนพระธรรมคำสั่งสอนพระพุทธองค์ไว้เสมอ ๆ ของง่าย ๆ ยังทำไม่ได้ ก็จะเริ่มทำของยาก ๆ เลยเหมือนกับเด็ก ๆ ที่ยังเดินไม่คล่อง ก็จงอย่าเพิ่งไปวิ่ง ประเดี๋ยวจะไปสะดุดก้อนกิเลสเข้าหัวทิ่ม หน้าคะมำ แขนขาหัก หัวแตกเอาได้ง่าย ๆ ก็มาบอกเตือนเอาไว้แค่นี้ ขอให้โชคดีปฏิบัติธรรมให้ได้ผลนะลูก”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย โอรส : 02-02-2010 เมื่อ 19:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 53 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 03-02-2010, 14:57
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,550 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

จากนั้นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ทรงเมตตาสอนเพิ่มเติมมีความสำคัญว่า

๑. “ฟุ้งดีควรฟุ้ง แต่ฟุ้งเลวสงสัยในธรรมนั้นหาควรมีไม่”

๒. “ที่ยังระงับฟุ้งเลวไม่อยู่ มีสาเหตุจากพวกเจ้าไม่ยอมรับนับถือความตายอย่างจริงใจ มักจักมีความประมาทปล่อยลมหายใจเข้า-ออกให้หลงลืมสติอยู่เนือง ๆ”

๓. “ให้เริ่มต้นเสียใหม่ ตั้งอารมณ์ของจิตให้ดี ๆ พยายามสงบอารมณ์ของจิต อย่าให้สงสัยในธรรม โดยการรับรู้ลมหายใจเข้า-ออกให้มาก ๆ คิดถึงความตายที่จักเข้ามาถึงเจ้าเดี๋ยวนี้ อย่าไปคิดอื่นไกล”

๔. “เมื่อความฟุ้งซ่านเกิด ก็จงหมั่นระงับด้วยอารมณ์นึกถึงความตายนี่แหละ เห็นความตายกำลังเข้ามาตัดรอนชีวิต การปฏิบัติธรรมยังไม่ถึงที่สุด มัวแต่ฟุ้งออกนอกลู่นอกทาง ตายแล้วเจ้าจักไปไหน ขอให้คิดดูให้ดี ๆ จงยังความประมาทอย่าให้เกิดแก่จิตเถิด ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ขอให้ใคร่ครวญกรณีนี้ให้มาก ๆ”
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 04-02-2010, 11:04
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,550 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ขอสรุปต้นเหตุที่ยังเอาดีไม่ได้ โดยย่อ ๆ ดังนี้


๑. ชอบสงสัยธรรมที่ตนเองยังปฏิบัติไม่ถึง

๒. พวกขี้สงสัย เวลาตายก็ตายไปพร้อมกับความสงสัย มีจิตเศร้าหมองก็ต้องกลับมาเกิด แล้วสงสัยต่อไปไม่รู้จบ

๓. ธรรมะในพุทธศาสนาเป็นปัจจัตตัง ถ้าธรรมพ้นโลกจิตเรายังปฏิบัติไม่ถึง สงสัยไปก็มีแต่ขาดทุน เพราะพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า “ธรรมใดที่เธอยังไม่รู้ ยังไม่เห็น ก็ควรจะเชื่อท่านผู้รู้ผู้เห็นไปก่อน ต่อเมื่อเธอปฏิบัติจนเกิดผลแล้ว รู้เห็นได้ด้วยตนเองแล้ว เธอจักเชื่อหรือไม่เชื่อก็ย่อมได้”

หมายเหตุ ธรรมในข้อ ๓ นี้ พระองค์สอนเฉพาะพวกที่มีศรัทธาในพระองค์อย่างแท้จริง คือ มีพระรัตนตรัยหรือมีพระพุทธ พระธรรมและพระอริยสงฆ์ เป็นที่พึ่งประจำจิตตลอดชีวิต กำลังปฏิบัติบูชาอยู่ด้วยศีล-สมาธิ-ปัญญา หรือทาน-ศีล-ภาวนา มิได้สอนพวกเดียรถีย์หรือพวกนอกศาสนาที่มาถามปัญหาพระองค์ พวกเหล่านั้นพระองค์จะสอนอีกแนวหนึ่ง คือ ใช้กาลามสูตรหรือเกสปุตตสูตรที่เขียนเน้นจุดนี้ไว้ เพราะมีบุคคลที่ยังรู้ไม่จริง รู้ไม่ถึง เอากาลามสูตรมาสอนชาวบ้านให้เข้าใจผิด ๆ เพราะไม่รู้เจตนาของพระพุทธองค์ ซึ่งเป็นพระสัพพัญญูหรือมีพุทธญาณแต่ผู้เดียว ผู้อื่นไม่มี รายละเอียดมีอยู่มาก จึงขอเขียนไว้สั้น ๆ แค่นี้ก่อน

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-02-2010 เมื่อ 11:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 05-02-2010, 12:20
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,550 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๔. สิ่งที่มีค่าสูงสุดในโลกทั้ง ๓ นี้ก็คือพระธรรม ในเมื่อพระองค์ทรงเมตตามาแนะนำพระธรรมให้ถึงตัวเราแล้ว เหตุใดเราจึงยังสงสัยในธรรมนั้น ๆ เพราะความโง่หรือกฎของกรรมบังจิตเราไว้จึงยังมองไม่เห็นคุณค่าของพระธรรม

๕. ผู้ที่ยังมีกิเลสมาก ก็เห็นทรัพย์สินเงินทองเป็นของมีค่า แต่ผู้ปฏิบัติธรรมจนจิตถึงธรรมแล้วจะเห็นว่า สิ่งใด ๆ ในโลกนี้จะมีค่ายิ่งกว่าพระธรรมนั้นไม่มีเลย ใครจะมีเงินทองทรัพย์สินจนมีค่านับไม่ถ้วน ตายแล้วเอาไปไม่ได้เลย ต่างกับพระธรรมตายแล้วเอาไปได้ทุกคน

๖. จงหมั่นสงสารผู้ละเมิดพระธรรม เพราะเขาไม่มีโอกาสรู้ตัวว่าเขาเองก็อยู่ในพระธรรม แต่เป็นธรรมบทบัญญัติไหน กุสลาธัมมา (ธรรมที่เป็นกุศล) อกุสลาธัมมา (ธรรมที่เป็นอกุศล) อัพยากตาธัมมา (ธรรมที่ไม่เป็นกุศลและอกุศล หรือธรรมที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ เพราะไม่มีอารมณ์ปรุงแต่ง หรือไม่มีอุปาทาน) ทุกชีวิตอยู่โดยพระธรรมทั้งสิ้น กรรมหรือธรรมเป็นกฎตายตัว ใครทำสิ่งใดก็ย่อมได้สิ่งนั้นตอบสนองแน่นอน

๗. เรื่องอภัยทาน เป็นทานภายในที่มีค่าสูงสุด ชนะทานทั้งปวง ความจริงอภัยทานก็คือธรรมทานขั้นสูงสุด จริงอยู่ พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า “การให้ธรรมเป็นทานชนะทานทั้งปวง” แต่ทรงตรัสเสริมว่า “การให้อภัยทานเป็นบุญสุดยอดของธรรมทาน” ความสำคัญของอภัยทานอยู่ที่เราจะต้องทำให้เกิดขึ้นกับจิตของเราก่อนจึงจะเป็นของจริง แล้วจึงนำของจริงนั้นไปให้ผู้อื่นได้ พระอริยเจ้าเบื้องสูงคือพระอนาคามีผลขึ้นไปถึงพระอรหันต์เท่านั้นจึงจะมีของจริง

ธรรมเรื่องนี้ละเอียดมาก หากเขียนมากโอกาสผิดพลาดก็มีมากด้วย เพราะผู้เขียนเองก็ยังไม่มีของจริง ยังเป็นแค่สัญญา (ความจำ) เท่านั้น จึงขอจบไว้เพียงเท่านี้

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-02-2010 เมื่อ 19:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 05-02-2010, 12:22
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,550 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๓
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:30



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว