กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 05-02-2012, 10:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์วันสงกรานต์ที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๔


นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสส
สุสฺสูสํ ลภเต ปญฺญํ ติ


ณ บัดนี้ อาตมภาพรับหน้าที่วิสัชนาในสุตกถา เพื่อเป็นเครื่องโสรจสรงองคศรัทธาบารมี ของบรรดาทานิสราธนบดีทั้งหลาย ที่พร้อมใจกันมาบำเพ็ญกุศลเนื่องในวันสงกรานต์ ณ วัดท่าขนุนแห่งนี้

ญาติโยมทั้งหลาย บุคคลเราที่เกิดมานั้น จักต้องเป็นที่ผู้บำเพ็ญบารมีมาสมควรแก่ธรรมแล้ว จึงจะได้ชาติกำเนิดเกิดเป็นมนุษย์ มีโอกาสได้พบพระพุทธศาสนา แปลว่าท่านทั้งหลายนั้น ได้สั่งสมกุศลบุญราศีส่วนหนึ่งมาตามสมควรแล้ว และท่านทั้งหลายยังเป็นผู้ที่ใฝ่บุญ ใฝ่กุศล เสริมสร้างบุญกุศลให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เมื่อกิจการงานใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา เกี่ยวข้องกับการบุญการกุศล ท่านทั้งหลายก็พร้อมใจกันมาบำเพ็ญกุศลโดยพร้อมเพรียงกัน

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ นอกจากแสดงออกซึ่งความเป็นกายสามัคคี คือการที่เราพร้อมใจกันทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยพร้อมเพรียงกันแล้วไซร้ ยังเป็นการแสดงออกว่า ญาติโยมทั้งหลายนั้น เป็นผู้ที่มีจิตใจอยู่ในบุญในกุศล ได้กระทำในสิ่งที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงสั่งสอนเอาไว้ ซึ่งพระองค์ได้กล่าวเอาไว้ในเรื่องของบุญกุศลนั้นว่า มีอยู่ ๑๐ ประการด้วยกัน เรียกว่าบุญกิริยาวัตถุ แต่ว่าจะมีในส่วนหลัก ๆ อยู่ ๓ ประการ คือ ทาน ศีล และภาวนา

ในส่วนของทานมัย คือบุญที่สำเร็จด้วยการให้ทานนั้น พระองค์ท่านได้ตรัสเอาไว้ว่า ถ้าหากว่าเราทำ ๑ จะมีผลเป็น ๑๐๐ ส่วน เนื่องจากว่า สิ่งทั้งหลายที่เราได้กระทำ โดยการสละออกนั้น เป็นการตัดความโลภในจิตในใจของตนเอง สิ่งที่เราหามาได้ยาก ยังสามารถตัดใจสละออกให้แก่ผู้อื่นได้ ถือว่ากำลังใจอันยิ่งใหญ่นั้น เสริมสร้างให้บุญกุศลเพิ่มพูนขึ้นเป็นร้อยเท่าของวัตถุที่เราได้สละออก

บางคนได้กล่าวเอาไว้ว่า การที่เราทำ ๑ แล้วได้ ๑๐๐ นั้น ความจริงน่าจะได้มากกว่า แต่เนื่องจากว่าทานเป็นการสละออกด้วยกายเพียงอย่างเดียว จึงมีผลแค่ ๑๐๐ ส่วนเท่านั้น ตรงจุดนี้อาตมภาพเอง มีความเห็นแย้งอยู่เล็กน้อยว่า ไม่น่าจะถูกต้อง เนื่องจากว่า ถ้าใจไม่คิดจะให้ อย่างไรเสียกายก็ให้ไม่ได้ แต่ถ้าหากว่าจะกล่าวไปแล้วควร ก็ควรจะบอกว่า ในเรื่องของทานบารมีนั้น เป็นไปเพื่อกามาวจร คือ การที่ยังเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในภพภูมิอันเกี่ยวเนื่องด้วยกามต่างหาก จึงทำให้มีอานิสงส์น้อยไปนิดหนึ่ง คือทำ ๑ แล้วได้ ๑๐๐ ส่วน

ในบุญกุศลส่วนที่ ๒ ท่านเรียกว่าศีลมัย บุญที่สำเร็จด้วยการรักษาศีล ท่านได้กล่าวเอาไว้ว่า ทำ ๑ มีอานิสงส์เป็น ๑๐,๐๐๐ เนื่องจากว่า เป็นการบังคับทั้งกายและวาจาของเรา ให้อยู่ในกรอบที่เรียบร้อย ข้อนี้อาตมาเห็นด้วย แต่อยากจะเสริมนิดหนึ่งว่า ในเรื่องของศีลนั้น ถ้าหากว่าเราสามารถทำได้ดี ทำได้ถูก เฉพาะศีลอย่างเดียว ก็สามารถที่จะส่งผล ให้เราหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานได้ แต่ถ้าเอาอานิสงส์ทั่ว ๆ ไปในส่วนของกามาวจร เราทำ ๑ ได้ ๑๐,๐๐๐ ก็ถือว่าสมควรแล้ว เพราะว่าต้องบังคับกายและวาจาให้อยู่ในกรอบ ซึ่งตัวที่จะบังคับนั้น ก็คือจิตใจซึ่งประกอบไปด้วยสติและปัญญานั่นเอง

ดังนั้น..การทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น ล้วนแล้วแต่ต้องเกิดจากใจก่อน แล้วถึงจะออกมาเป็นวาจา ออกมาเป็นกาย ไม่สามารถที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด โดยปราศจากความตั้งใจก่อนได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-02-2012 เมื่อ 02:21
สมาชิก 67 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 06-02-2012, 11:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในส่วนที่ ๓ นั้น ท่านเรียกว่าภาวนามัย คือบุญที่สำเร็จด้วยการภาวนา ท่านกล่าวเอาไว้ว่า ทำ ๑ จะได้ ๑,๐๐๐,๐๐๐ ส่วน เพราะว่าการภาวนานั้น เราต้องควบคุมทั้งกาย ทั้งวาจา และทั้งใจของเรา ให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย เป็นผู้ที่ตั้งมั่นอยู่เฉพาะในสิ่งที่ดีงามเท่านั้น ซึ่งอรรถกถาจารย์ท่านได้อธิบายในส่วนนี้ไว้ว่า ที่ทำ ๑ ได้ ๑,๐๐๐,๐๐๐ ส่วน เพราะว่าควบคุมทั้ง ๓ ส่วน คือกาย วาจา และใจให้ดีนั่นเอง

อาตมภาพเห็นด้วยอย่างเต็มที่ แต่ขณะเดียวกัน ๒ ข้อแรกที่ท่านอรรถาธิบายเอาไว้ว่าทำเฉพาะกายก็ดี ทำเฉพาะกายกับวาจาก็ดี ความจริงแล้วทั้ง ๒ ข้อนั้น ต้องมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นผู้นำ คิดจะทำเสียก่อนจึงสามารถที่จะทำได้

ญาติโยมทั้งหลายที่เดินทางมายังวัดท่าขนุนเพื่อจะทำบุญทำกุศลในวันนี้ เป็นผู้ที่ประกอบไปด้วยทั้งส่วนของทาน ศีล และภาวนา โดยครบถ้วนสมบูรณ์ เนื่องจากว่าเรามาวัด เราก็ตั้งใจมาทำบุญทำกุศล ในส่วนของวัตถุทาน เราก็นำเอาข้าวปลาอาหารก็ดี ปัจจัยไทยธรรมก็ดี สิ่งของเครื่องสังฆทานก็ดี มาถวายเอาไว้ในพระพุทธศาสนา ถือว่าท่านทั้งหลายได้สร้างสมบุญกุศลในทานบารมี ในจาคานุสติอย่างเต็มที่แล้ว เมื่อท่านเดินทางมาถึงวัด ท่านทราบว่าก่อนจะเริ่มพิธีสงฆ์ต้องมีการสมาทานศีล ทุกคนตั้งใจสมาทานและรักษาศีลด้วยความเคารพ ก็แปลว่าเราเป็นผู้ประกอบไปด้วยศีลมัยอย่างสมบูรณ์บริบูรณ์ ถ้าหากว่าเราสามารถรักษาศีลได้มั่นคง อานุภาพของศีลนั้น ก็จะกลับมารักษาเราในภายหลัง

ในส่วนของศีลนั้นเราจะต้องเป็นผู้ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล และไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล จึงจะเรียกได้ว่าเป็นศีลที่สมบูรณ์พร้อม ในส่วนของภาวนามัยนั้น ญาติโยมทั้งหลายเมื่อฟังธรรมก็ตั้งจิตตั้งใจน้อมลงฟังด้วยความเคารพ ขณะเดียวกันส่วนใดที่ทำได้ ท่านทั้งหลายก็นำไปปฏิบัติ ตามคำสอนขององค์สมเด็จพระทรงสิริสวัสดิ์สัมมาสัมพุทธเจ้า ก็แปลว่าท่านทั้งหลายนั้น เป็นผู้ที่ประกอบไปด้วยภาวนามัยเป็นปกติอยู่แล้ว แปลว่าบุญกิริยาวัตถุใหญ่ ๆ ทั้ง ๓ ประการ คือ ทาน ศีล ภาวนา ท่านได้ทำโดยสมบูรณ์บริบูรณ์แล้ว

โดยเฉพาะในช่วงเวลาแห่งสงกรานต์นี้ ตลอดจนเลยสงกรานต์ไป ๒ วัน รวมเวลา ๕ วันนั้น มีญาติโยมจำนวนหนึ่งที่มาสมัครบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม เพื่อถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๗ รอบ คือ ๘๔ พรรษา ก็แปลว่าญาติโยมส่วนนั้น ตั้งใจมาปฏิบัติในภาวนามัยอย่างเต็มที่ ซึ่งการภาวนานั้นถือว่าเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่ ไม่มีบุญในส่วนอื่นที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-02-2012 เมื่อ 13:23
สมาชิก 52 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 07-02-2012, 08:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อานิสงส์ของทานนั้น ถ้าหากว่าเราเกิดชาติใหม่ก็จะมีแต่ความร่ำรวย มีฐานะที่มั่นคง อานิสงส์ของศีลนั้น จะทำให้เราเกิดมาเป็นผู้มีรูปสวย มีจิตใจที่ดีงาม ส่วนอานิสงส์ของการภาวนานั้น จะทำให้เราเป็นผู้มีปัญญามาก ไม่ว่าจะเกิดอุปสรรคใด ๆ ในทางโลก ก็สามารถที่จะแก้ไขให้ลุล่วงไปได้โดยง่าย ถ้าหากว่าท่านตั้งใจปฏิบัติธรรม ก็จะมีปัญญาญาณแก่กล้า สามารถตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน ก้าวเข้าสู่พระนิพพานได้โดยง่าย

ดังนั้น..ญาติโยมทั้งหลายที่มาปฏิบัติธรรมที่วัดท่าขนุนในวันนี้ก็ดี ตั้งใจมาทำบุญวันสงกรานต์ก็ดี แปลว่าท่านทั้งหลายได้ปฏิบัติตามที่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสเอาไว้แล้ว และในวันนี้ท่านทั้งหลายก็ยังจะได้ประกอบกองบุญการกุศลพิเศษอีกหลายประการ

ประการแรกก็คือ เมื่อวานนี้เราได้ก่อพระเจดีย์ทราย และเมื่อคืนก็ได้ทำการสวดมนต์ฉลองพระเจดีย์ทรายไปแล้ว ในเรื่องของการก่อพระเจดีย์ทรายนั้น เป็นความละเอียดของคนแต่โบราณ เนื่องจากว่าสิ่งของทั้งหลายในวัดในวานั้น ท่านกล่าวว่าเป็นของสงฆ์ ไม่คู่ควรแก่ฆราวาสทั่วไป เพราะเป็นสิ่งที่ได้มาจากความเคารพในพระรัตนตรัยของบุคคลที่สละให้ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ก็ดี อาคารสถานก็ดี ตลอดจนกระทั่งเครื่องใช้ไม้สอย หรือว่าต้นไม้ผลไม้ ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นของสงฆ์

ซึ่งถ้าหากว่าอธิบายตามที่หลวงพ่อพระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุงได้กล่าวเอาไว้ ท่านบอกว่า บุคคลที่นำของสงฆ์ไปใช้ แม้โดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ติดหนี้สงฆ์ การติดหนี้สงฆ์ ท่านพระยายมราชบอกว่าต้องลงอเวจีมหานรกที่เดียว ไม่มีที่อื่นเลย คนโบราณที่มีความละเอียดของจิต จึงได้ทำการชำระหนี้สงฆ์ด้วยการขนทรายเข้าวัดเพื่อก่อพระเจดีย์ทราย หลังจากที่ก่อแล้ว ก็ได้กล่าวถวายไว้ในพระพุทธศาสนา นอกจากจะเป็นการชำระหนี้สงฆ์แล้ว ยังช่วยอำนวยความสะดวกให้พระภิกษุสามเณร ได้นำเอาทรายนั้นไปใช้ในการก่อสร้าง บูรณปฏิสังขรณ์อาคารต่าง ๆ ให้แข็งแรง สามารถที่จะใช้งานได้สืบต่อไปในระยะเวลาข้างหน้า

วันนี้ญาติโยมทั้งหลายจะได้กล่าวคำถวายพระเจดีย์ทรายที่เราได้ก่อเอาไว้เมื่อวานนี้ ก็แปลว่าเราได้สร้างกุศลบุญราศีอีกส่วนหนึ่ง ในส่วนของพุทธบูชา คือได้สร้างพระเจดีย์เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา อีกส่วนหนึ่งก็คือได้ชำระหนี้สงฆ์ เนื่องจากว่าคนโบราณเกรงว่าเวลาเดินเข้าวัดแล้ว จะมีเศษดินเศษหินที่ติดเท้าไป ทำให้ต้องเป็นหนี้สงฆ์ จึงได้ขนทรายเข้าวัดเป็นการชำระหนี้ ดังนี้เป็นต้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-02-2012 เมื่อ 03:30
สมาชิก 48 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 07-02-2012, 08:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในบุญกุศลส่วนต่อไปที่เราจะพึงได้ ก็คือ เราจะมีการสรงน้ำพระพุทธรูป สรงน้ำรูปหล่อหลวงปู่พุก หลวงปู่สาย ตลอดจนกระทั่งสรงน้ำพระภิกษุสามเณร นั่นคือการที่เราได้ถวายของหอมเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชานั่นเอง

ของหอมนั้นเป็นหนึ่งในวัตถุทาน ๑๐ อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นของที่ควรแก่การถวายสงฆ์ พระองค์ท่านได้ตรัสไว้เป็นภาษาบาลีว่า อนฺนํ ปานํ วตฺถํ ยานํ มาลา คนฺธํ วิเลปนํ เสยฺยาวสถํ ปทีเปยฺยํ ทานตฺถู อิเม ทส

อนฺนํ คือข้าว ปานํ คือน้ำ ตฺถํ คือผ้า ได้แก่ ผ้าบังสุกุล ผ้าไตรจีวร ยานํ คือยานพาหนะ มาลา คือดอกไม้ คนฺธํ คือของหอม ได้แก่ ธูปในส่วนหนึ่ง เพราะว่าเวลาจุดธูปแล้วส่งกลิ่นหอม วิเลปนํ คือเครื่องลูบไล้ ถ้าหากว่าในสมัยก่อนนั้นจะเป็นน้ำมันสำหรับทาเท้า เนื่องจากพระท่านเดินทางไกลแล้วเดินด้วยเท้าเปล่า ทำให้เท้าแตกได้ง่าย เมื่อล้างเท้าสะอาดแล้วพระสมัยก่อนท่านจะทาเท้าด้วยน้ำมัน เพื่อป้องกันไม่ให้เท้าแตก ถ้าเป็นสมัยนี้เป็นพวกครีมที่ป้องกันเท้าแตกก็ใช้ได้

เสยฺยา ก็คือเครื่องนอน วสถํ คือเครื่องนั่ง ได้แก่ เตียง ตั่ง โต๊ะ เก้าอี้ เป็นต้น ทีเปยฺยํ คือเครื่องตามประทีป โคมไฟ สมัยนี้ก็ได้แก่พวกหลอดไฟต่าง ๆ หรือกระทั่งเทียนพรรษา เป็นต้น ท่านบอกว่า ทานตฺถู อิเม ทส ทั้ง ๑๐ อย่างนี้ถือว่าเป็นวัตถุทาน

การที่ญาติโยมทั้งหลายสรงน้ำพระ คือเราเอาน้ำที่ประกอบไปด้วยเครื่องหอมบ้าง ดอกไม้บ้าง มาถวายเป็นพุทธบูชา ก็แปลว่าเราเป็นผู้ที่ถวายของหอมเอาไว้ในพระพุทธศาสนา ซึ่งมีผู้กล่าวถึงอานิสงส์ว่า ถ้าเกิดชาติใหม่จะมีชื่อเสียงเลื่องลือฟุ้งกระจายไปในทางที่ดี ก็แปลว่าญาติโยมที่ทำเช่นนั้น ได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว

นอกจากจะทำในทาน ในศีล ในภาวนาแล้ว วันนี้ท่านทั้งหลายซึ่งเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ยังจะได้ปฏิบัติภาวนา และได้กระทำบุญกุศลในส่วนพิเศษอีก อย่างเช่นการถวายพระเจดีย์ทรายไว้ในพระพุทธศาสนา หรือว่าการสรงน้ำพระก็ดี ล้วนแล้วแต่ทำให้ท่านทั้งหลายได้เพิ่มกุศลบุญราศีต่าง ๆ ให้แก่ตัวเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-02-2012 เมื่อ 03:33
สมาชิก 48 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 09-02-2012, 09:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คำว่าบุญกุศลที่เราได้กระทำนั้น เป็นไปโดยที่ปฏิบัติตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยแท้ คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนพวกเราไม่ให้ประมาท พระองค์ท่านตรัสว่าอย่าประมาทว่าความดีเพียงเล็กน้อยแล้วไม่ทำ ขณะเดียวกันก็อย่าประมาทว่าความชั่วเพียงเล็กน้อยแล้วไปทำ เพราะว่ากรรมดีหรือกรรมชั่วไม่ว่าจะเล็กน้อยขนาดไหนก็ตาม ถ้าถึงวาระก็จะส่งผลได้ทั้งสิ้น กรรมชั่วจะส่งผลให้พวกเราต้องลำบาก เดือดร้อนไปตามแรงกรรมที่ได้กระทำมา กรรมดีหรือที่เรียกว่าบุญ ก็จะส่งผลให้เราได้รับความสุข ความสะดวกสบายทั้งในชาตินี้และชาติหน้า

ญาติโยมทั้งหลายที่ตั้งใจมาทำบุญกุศล ณ วัดท่าขนุนแห่งนี้ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นกรรมดีเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม ท่านล้วนแต่ทำทั้งสิ้น ก็แปลว่าท่านทั้งหลายตั้งใจปฏิบัติตามคำสอนในพระพุทธศาสนา เป็นผู้ที่เชื่อในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อสั่งสมบุญกุศลไปแล้ว ถึงวาระที่สมควรบุญกุศลให้ดอกให้ผลขึ้นมาเมื่อไร ท่านทั้งหลายจะมีความสุขความสะดวกสบายเมื่อนั้น

ตามที่สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (ญาโณทยมหาเถระ) แห่งวัดสระเกศราชวรวิหารได้กล่าวเอาไว้ว่า บุญเป็นสิ่งที่ควรจะขวนขวายกระทำให้มากไว้ เพราะว่าบุญนั้นส่งผลให้แก่เราในด้านดีเพียงด้านเดียวเท่านั้น ดังนั้น..ญาติโยมทั้งหลายที่ทำบุญ แต่ว่าผลบุญยังไม่ส่งให้ บางทีเรายังลำบากเดือดร้อนอยู่ ก็อย่าได้เข้าใจผิด เนื่องจากว่าเราไม่ได้เกิดมาชาติเดียว ในอดีตชาติของเราอาจจะเคยสร้างบาปสร้างกรรมเอาไว้ ปัจจุบันนี้ผลกรรมยังให้ผลอยู่ เราจึงต้องลำบากเดือดร้อน

แต่ถ้าหากว่ากรรมพ้นผ่านวาระไป ผลบุญให้ผลเมื่อไร ท่านทั้งหลายอาจจะพลิกฟ้าเป็นดิน พลิกดินเป็นฟ้า คือกลับกลายเป็นตรงกันข้าม จากที่ลำบากเดือดร้อน ก็จะกลายเป็นสุขสบายได้ทันที

เพียงแต่ว่าผลกรรมต่าง ๆ เหล่านั้น ส่งผลกันไปตามวาระที่เราทำ บ้างก็เร็ว บ้างก็ช้า บ้างก็แรง บ้างก็เบา แต่ละคนล้วนแล้วแต่ทำบุญทำกุศลหรือสร้างบาปสร้างกรรมเอาไว้ไม่เท่ากัน ผลที่ส่งผลให้จึงช้าบ้างเร็วบ้าง ขอให้ทุกคนมั่นใจว่า เราทำดีต้องได้ผลดี เราทำชั่วต้องได้ผลชั่วแน่นอน ดังนั้น..จึงควรที่จะละเว้นความชั่ว สร้างเสริมแต่ความดีเอาไว้ เพื่อที่ท่านทั้งหลายจะได้มีความสุข สะดวกสบาย ทั้งในชาติปัจจุบัน และต่อไปในอนาคตกาลเบื้องหน้า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-02-2012 เมื่อ 03:37
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 09-02-2012, 09:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..ญาติโยมทั้งหลายที่ตั้งใจมาสร้างเสริมบุญกุศลเนื่องในวันสงกรานต์ ณ อารามวัดท่าขนุนแห่งนี้ แปลว่าท่านทั้งหลายเป็นผู้ปฏิบัติในสิ่งที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสสอนเอาไว้ คือเป็นผู้ที่ไม่ประมาท ตั้งใจสั่งสมบุญกุศล ตั้งใจสั่งสมความดีความงามเอาไว้ เมื่อถึงวาระความดีให้ผล เราก็จะได้รับความสุขสะดวกสบายอย่างที่ต้องการ

ท่านทั้งหลายที่ตั้งใจมาฟังเทศน์ในวันนี้ก็เช่นกัน เมื่อท่านทั้งหลายตั้งใจฟังแล้ว น้อมนำไปปฏิบัติให้เกิดผล ก็แปลว่าท่านทั้งหลายฟังเป็น ฟังถูก ถ้าหากว่าฟังแล้วไม่นำไปปฏิบัติ ก็แปลว่าเราสักแต่ว่าฟังเท่านั้น เมื่อเราฟังแล้วนำไปปฏิบัติจนเกิดผล ก็ชื่อว่าเราทั้งหลายเป็นผู้ที่มีปัญญา เพราะว่าสามารถที่จะปฏิบัติตามหลักแห่งพระธรรมเทศนาได้ จึงสมกับพุทธภาษิตที่ได้ยกขึ้นเป็นนิกเขปบทว่า สุสฺสูลํ ลภเตปญฺญํ แปลความว่า การฟังด้วยดี ย่อมเกิดปัญญา ดังนี้

อาตมภาพรับหน้าที่วิสัชชนามาในสุตกถา เนื่องในวันสงกรานต์วันนี้ ก็ถือว่าพอสมควรแก่เวลา ท้ายสุดแห่งพระธรรมเทศนา อาตมภาพขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ แลสังฆรัตนะเป็นประธาน มีบารมีของหลวงปู่สาย อคฺควํโส แห่งวัดท่าขนุนนี้เป็นที่สุด

ขอได้โปรดดลบันดาลให้ญาติโยมทั้งหลาย จงประสบแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลไปด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง ๔ ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ตลอดจนปฏิภาณแลธนสารสมบัติ อันเป็นที่พึงใจทั้งปวง อาตมภาพรับหน้าที่วิสัชชนามาก็พอสมควรแก่เวลา จึงขอสมมติยุติพระธรรมเทศนาลงคงไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้.


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์วันสงกรานต์ ณ วัดท่าขนุน
๑๕ เมษายน ๒๕๕๔
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-02-2012 เมื่อ 03:42
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:21



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว