กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๖ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๖

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 23-07-2023, 19:59
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 340
ได้ให้อนุโมทนา: 3,307
ได้รับอนุโมทนา 18,643 ครั้ง ใน 818 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๖


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 24-07-2023, 01:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,571
ได้ให้อนุโมทนา: 151,699
ได้รับอนุโมทนา 4,410,926 ครั้ง ใน 34,161 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ เรื่องของหลวงตาปรีชา (พระปรีชา อกิญฺจโน) อย่าปล่อยให้เป็นภาระของท่านตี้ (พระวสุพล อภิปุญฺโญ) รูปเดียว มีอะไรก็ช่วยกันดูแลด้วย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในสมัยแรก ที่ยังไม่มีพระอุปัฏฐากอย่างเป็นทางการก็คือพระอานนท์ มีพระที่เป็นปัจฉาสมณะ คือผู้คอยติดตามอยู่ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป หลัก ๆ เลยก็เป็นพระเมฆิยะ แต่ว่าเมื่อเดินทางไปถึงสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นป่ามะม่วงร่มรื่นมาก พระเมฆิยะต้องการที่จะไปปฏิบัติธรรมที่นั่น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "อย่าเลยเมฆิยะ ตอนนี้ตถาคตไม่มีผู้อุปัฏฐาก ให้เธอทำหน้าที่นี้ไปก่อน" แต่พระเมฆิยะไม่ฟัง วางบาตรกับจีวรของพระพุทธเจ้าไว้แล้วก็ไปปฏิบัติธรรมที่นั่น ก็คือพระพุทธเจ้าจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ท่านเอาการปฏิบัติของท่านก่อน..!

พอมาภายหลัง คณะสงฆ์ตั้งพระอานนท์เป็นพุทธอุปัฏฐาก ก็มีพระหลายรูปอยากจะทำหน้าที่นั้นบ้าง แต่คาดว่าไม่มีใครทำได้ ในพระไตรปิฎกกล่าวว่า เมื่อปฐมยาม พระอานนท์เดินจงกรมรอบคันธกุฎี ในมือมีคบไฟดวงใหญ่ เมื่อเห็นว่าพระศาสดาไม่เรียกใช้ ก็เข้าสู่ที่ของตนตามอัธยาศัย พอยามที่สอง ในมือถือคบไฟอันใหญ่ เดินจงกรมรอบคันธกุฎี เมื่อไม่เห็นพระศาสดาตรัสเรียกใช้ ก็เข้าสู่ที่ของตน ครั้นยามสาม มีมือถือคบไฟดวงใหญ่ เดินจงกรมรอบคันธกุฎี เมื่อไม่เห็นพระศาสดาตรัสเรียกใช้ ก็เตรียมน้ำใช้น้ำฉัน ปูอาสนะ เตรียมบาตรสำหรับบิณฑบาต เป็นพวกเราไหวไหม ? ตื่นทั้งคืนแบบนั้น..!

พระอานนท์เป็นพระที่อัศจรรย์มาก ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ต้องบอกว่าทีวีมาสัมภาษณ์ แต่นั่นเป็นพระด้วยกัน ถามว่า พระอานนท์เป็นแค่พระโสดาบัน แล้วทนงานขนาดนั้นได้อย่างไร ? เพราะว่าพระโสดาบันก็เท่ากับเป็นแค่ผู้คนชั้นดีเท่านั้น รัก โลภ โกรธ หลง ยังเต็มตัว เพียงแต่ว่าอยู่ในกรอบของศีล มีความเคารพในพระรัตนตรัยเป็นปกติ มีใจรู้อยู่เสมอว่า เราจะต้องตาย ถ้าตายแล้วเราไปพระนิพพาน

พระอานนท์กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาอันยาวนานที่ปฏิบัติหน้าที่มา แม้แต่กามสัญญาก็ไม่เคยปรากฏขึ้นในดวงจิตเลย อันนี้ถือว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์มาก เพราะว่าระดับพระสกทาคามียังมีกามสัญญาอยู่เลย ก็คือนึกถึงเรื่องระหว่างเพศ แต่ด้วยความที่กำลังท่านสูง กามสัญญาของพระสกทาคามีพอปรากฏขึ้น สภาพจิตที่เกาะความดี กามสัญญาก็หายไป พระอานนท์ท่านเป็นแค่พระโสดาบัน แต่ท่านทุ่มเทกับหน้าที่การงานของตน กำลังใจมุ่งมั่นจนกระทั่งลืมเรื่องอื่นหมด รัก โลภ โกรธ หลง อะไรไม่เอากับใครทั้งนั้น ถือเป็นเรื่องอัศจรรย์ที่หาได้ยากมาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังตรัสว่า ไม่มีใครสามารถทำหน้าที่นี้ได้เหมือนกับพระอานนท์
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-07-2023 เมื่อ 03:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 47 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 24-07-2023, 01:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,571
ได้ให้อนุโมทนา: 151,699
ได้รับอนุโมทนา 4,410,926 ครั้ง ใน 34,161 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้ด้วยความที่มีคนอยากจะปฏิบัติหน้าที่นี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ตรัส ในตอนที่อนุเคราะห์ต่อพระปูติคัตตติสสะ ที่เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เน่าไปทั้งตัว ไม่มีใครดูแล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องไปต้มน้ำร้อนเช็ดตัวให้ จนกระทั่งเปลี่ยนผ้าเปลี่ยนผ่อนพอเป็นที่สบาย ก็ตรัสว่า อะจิรัง วะตะยัง กาโยฯ เป็นต้น

บทที่พวกเราเอามาใช้บังสุกุลเป็นนั่นแหละว่า ดูก่อน ติสสะ ร่างกายนี้เมื่อปราศจากวิญญาณแล้ว ก็เหมือนกันขอนไม้ที่กลิ้งอยู่บนพื้นดิน ไม่มีใครต้องการอีก พระปูติคัตตติสสะท่านพิจารณาธรรมแล้ว ก็เลยบรรลุมรรคผลพร้อมกับนิพพาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "บุคคลใดที่ปรารถนาจักอุปัฏฐากตถาคต พึงอุปัฏฐากภิกษุไข้เถิด การอุปัฏฐากภิกษุไข้ มีอานิสงส์เหมือนกับการอุปัฏฐากตถาคต"

ดังนั้น..ในส่วนของหลวงตาปรีชานี้ ถ้าหากว่าพวกเรามีโอกาส ก็ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปดูแล ไม่มีอะไรไปชวนคุยก็ยังดี เพราะว่าคนป่วยส่วนมากแล้วจะเครียด ถึงเวลาไม่ได้อย่างใจก็อาละวาด กระผม/อาตมภาพเจอมาเยอะต่อเยอะแล้ว เพราะว่าชีวิตนี้อยู่โรงพยาบาลไปเกือบครึ่งหนึ่ง ดูแลพ่ออยู่ ๖ ปี ดูแลแม่ ๓ ปี ดูแลหลวงปู่มหาอำพัน - พระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ (อำพัน อาภรโณ บุญ-หลง) อีก ๔ ปี ดูแลจนกระทั่งมั่นใจว่า ตัวเองเจ็บไข้ได้ป่วยขนาดไหน มีต้องคนดูแลแน่นอน เพราะว่าอานิสงส์ประเภทนี้สร้างไว้เยอะมาก

ส่วนเรื่องอื่น ๆ ที่อยากจะบอกก็คือ วันนี้ได้ให้ไอ้ตัวเล็กเอาเหรียญของอาจารย์ปู่ คือพระครูรัตนาภิรมย์ วัดบ้านแพน พระอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงไปลงเว็บ พวกเราที่เป็นลูกหลาน ถ้าหากว่าต้องการก็เข้าไปบูชากันเอาเอง เพราะว่าพระระดับนั้น ต้องบอกว่าหายากมาก ท่านเป็นพระสายปกครอง แต่ว่าบอกอนาคตหลวงพ่อฤๅษีฯ ตรงเป๊ะทุกเรื่องเลย..!

สมัยนั้นพระปกครองมีอีกรูปหนึ่ง ก็คือหลวงปู่จีน วัดเจ้าเจ็ด เป็นพระครูพรหมวิหารคุณ นั่นก็เหมือนกัน ช่วงกลางคืนหลวงพ่อท่านตั้งใจว่าจะไปเยี่ยม พอตอนเช้าขึ้นมา ท่านก็สั่งลูกศิษย์ต้มน้ำร้อนล้างนอกชานกุฏิตัวเอง เพราะว่าท่านเบื่อคนไปขอหวยกันมาก ถึงเวลาปัสสาวะใส่กระโถนก็สาดมันหน้ากุฏินั่นแหละ เหม็นตลบไปหมด มีปัญญามึงก็นั่งเฝ้าไปสิ..! แต่คราวนี้พอหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านตั้งใจจะไปกราบ จะเอาปิ่นโตไปถวายเพล ท่านต้องให้ลูกศิษย์ต้มน้ำร้อนขัดเรือนชานของกุฏิ เพื่อที่จะไม่ให้เหม็นมากนัก สมัยนั้นไม่ได้มีไลน์ ไม่ได้มีมือถือนะ จะได้โทรบอกกัน แค่คิดว่าจะไปเท่านั้น

อยุธยาช่วงนั้นต้องบอกว่าเป็นตักศิลาของพระอริยเจ้าเลย อย่างเช่น หลวงปู่อยู่ (พระครูรัตนาภิรมย์) วัดบ้านแพนก็ใช่ หลวงปู่สังข์ วัดน้ำเต้าก็ใช่ หลวงปู่ขัน วัดนกกระจาบก็ใช่ ยิ่งหลวงปู่ปั้น วัดพิกุลยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ท่านเป็นระดับอาจารย์ของอาจารย์เลย แล้วก็มาหลวงปู่จีน วัดเจ้าเจ็ด หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก แจวเรือไปหากันไม่กี่นาทีก็ถึงแล้ว ตกคลั่กอยู่ที่เดียวกันหมด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 24-07-2023 เมื่อ 06:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 24-07-2023, 01:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,571
ได้ให้อนุโมทนา: 151,699
ได้รับอนุโมทนา 4,410,926 ครั้ง ใน 34,161 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..ในเรื่องของวัตถุมงคลไม่ต้องห่วง พระระดับนั้นถึงเวลาท่านไม่ใช้กำลังตัวเองเสกให้เสียเวลาหรอก ท่านก็ขอบารมีพระสงเคราะห์เหมือนอย่างกับหลวงปู่ปาน เหมือนกับหลวงพ่อ หรือเหมือนที่กระผม/อาตมภาพทำนั่นแหละ..!

สมัยที่หลวงปู่ปานท่านทำวัตถุมงคล แล้วให้หลวงปู่เล็ก วัดบางนมโคเอาไปเสกให้ หลวงปู่เล็กว่าด้วยสมาบัติ ๘ ไปหนึ่งพรรษา พอยกมา หลวงปู่ปานท่านบอกว่าใช้ไม่ได้ หลวงปู่เล็กหมดท่าขึ้นมา นั่งงงอยู่พักใหญ่ ท้ายสุดก็ใช้วิธีขึ้นไปกราบขอบารมีพระสงเคราะห์ เสกไม่กี่นาที พอพระท่านบอกว่าเต็มแล้วก็ยกไปถวายหลวงปู่ปาน พอยกไปถึง หลวงปู่ปานบอกว่า "เออ..ใช้ได้แล้ว"

แล้วท่านก็เมตตาเฉลยว่า ในเรื่องของการปลุกเสกวัตถุมงคล ถ้าใช้กำลังของตัวเอง เมื่อตัวเราตาย ของมักจะเสื่อม ต่อให้ได้อภิญญาสมาบัติ ก็ต้องจำกัดด้วยเวลา ก็คืออธิษฐานทิ้งไว้ ๑๐๐ ปี ๒๐๐ ปี เป็นต้น แต่ถ้าขอพระท่านสงเคราะห์ไม่จำกัดด้วยเวลา สมมติว่าท่านขอให้เทวดารูปใดรูปหนึ่งเป็นผู้ดูแลวัตถุมงคลนั้น เทวดาอายุมากกว่าเราหลายเท่า จนเราตายแล้วตายอีก ท่านก็ยังอยู่ จึงอยู่ในลักษณะที่ว่าวัตถุมงคลจะไม่เสื่อม

ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายสังเกตจะเห็นว่า วัตถุมงคลของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ของหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ของหลวงปู่สด วัดปากน้ำภาษีเจริญ ทำไมดังมาก ? ก็เพราะว่าแต่ละท่านล้วนแล้วแต่ขอบารมีพระสงเคราะห์ทั้งนั้น อย่างของหลวงพ่อโต วัดระฆัง ดังพอไหมล่ะ ? ท่านถึงขนาดให้พรว่า พระของท่านจะจริง จะปลอม จะใหม่ จะเก่า ถ้าหากว่าเป็นพระสมเด็จ ขอเพียงนึกถึงท่านก็มีอานุภาพเท่ากัน..!

เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าพวกเราต้องการก็เข้าไปบูชากันเอาเอง ถ้าขืนช้า เดี๋ยวญาติโยมที่ประเภทรู้จักของดีจะกวาดไปหมดอีก กลายเป็นว่าพวกเราเป็นลูกศิษย์ในสายแท้ ๆ แต่ไม่มีข้าวของของครูบาอาจารย์รุ่นเก่า ๆ ไว้บ้างเลย

ส่วนเรื่องในศาลานี้ก็พยายามตรวจสอบดูหน่อยว่าลำโพงตัวไหนขาดไปบ้าง น่าจะเกิดจากหนูกัดสายแน่นอน เพราะว่าหนูหลุดเข้าไปได้ ยังไม่รู้เลยว่า ถ้าพิพิธภัณฑ์เสร็จแล้ว ปล่อยหนูหลุดเข้าไปนี่ จะเดือดร้อนอีกเท่าไร ถ้าหากว่าอันไหนจำเป็นต้องเปลี่ยนก็เปลี่ยน ถ้าหากว่าจะซ่อมก็ซ่อม เรื่องของวัดวาอาราม ถ้าขาดการดูแลก็ไปไม่รอด โดยเฉพาะถ้าขาดงบประมาณนี่ไปไม่รอดเลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-07-2023 เมื่อ 03:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 24-07-2023, 01:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,571
ได้ให้อนุโมทนา: 151,699
ได้รับอนุโมทนา 4,410,926 ครั้ง ใน 34,161 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้เข้าไปอ่านกระทู้สำคัญกระทู้หนึ่ง เขาบอกว่า ถ้าย้อนหลังไปสัก ๔๐ ปี เขาจะตามเก็บวัตถุมงคลของหลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุนทุกรุ่นเลย มีคนถามว่าเป็นเพราะอะไร ? เขาให้เหตุผลว่า สร้างด้วยวัตถุประสงค์ดี ก็คือตั้งใจจะหาเงินมาบูรณปฏิสังขรณ์วัด พิธีกรรมดี เป็นที่มั่นใจได้ และที่แน่ ๆ คือทำเอง ไม่พึ่งพวกเซียน รับประกันได้ว่าไม่มีของเสริมแน่นอน

กระผม/อาตมภาพเองก็เพิ่งจะรู้ว่า พวกที่เขาเล่นวัตถุมงคลกัน ส่วนหนึ่งเขาพิจารณาจากจุดนี้ คือวัตถุประสงค์ในการสร้าง กับความมั่นใจว่าไม่ทำเพิ่มแน่นอน เพราะว่าบางวัด พอถึงเวลาพวกเซียนเขาทำมา สมมติว่าตกลงกันไว้สามพันเหรียญ ก็ทำไปเป็นหมื่น พอดังขึ้นมา ก็เอามาขายด้วย ไม่ต้องไกลหรอก แค่หลวงพ่ออุตตมะของเรานี่แหละ..!

หลวงพ่ออุตตมะเสกลูกประคำเสร็จ นับจำนวนเรียบร้อย ส่งให้เขาเอาไปจำหน่ายให้แก่ญาติโยม คนวัดไปขนลูกประคำของตัวเองมาขาย ของหลวงปู่ก็เก็บไว้ ขายของตัวเองสัก ๑๐ เส้น ขายของหลวงปู่สักเส้นหนึ่ง..! ถึงเวลาเช็คยอด เขาก็เอาเงินให้หลวงปู่ตามนั้น ก็คือขายของหลวงปู่ไปกี่เส้น ก็เอาให้มาแค่นั้นแหละ แต่ของตัวเอง ขายแล้วเงินก็เข้ากระเป๋าตัวเอง..!

สมัยก่อนถึงได้มีประเภทที่เรียกว่า ร่ำรวยไปเพราะท่านมากต่อมากด้วยกัน ตอนหลังก็โดนผู้การเรวัช (พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร) ทลายแก๊ง ตอนที่ไปฆ่าเจ้าอาวาสรูปถัดไป เรื่องพวกนี้ถ้าหากว่า เขาพิจารณาจากการไม่ทำเสริม ไม่จ้างเซียนทำให้อะไร ก็นับว่าเป็นเรื่องปลอดภัยอย่างหนึ่ง

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม , ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๒๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-07-2023 เมื่อ 03:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:04



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว