กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 25-08-2013, 07:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default โอวาทช่วงบวชเนกขัมมะ ๒๐-๒๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๖

ในเรื่องของการฝึก ถ้าเราตั้งใจจะเอาดีจริง ๆ ต้องเคี่ยวเข็ญตัวเอง ต้องยอมเหนื่อย ไม่ได้ไม่เลิก ได้แล้วไม่ดีก็ไม่เลิก ได้ดีแล้วต้องมีดีกว่านี้อีก...ฉะนั้น..ไม่เลิก ต้องทำกำลังใจให้ได้อย่างนี้ ถ้าทำกำลังใจได้อย่างนี้การฝึกปฏิบัติทุกอย่างจะเห็นผลดี

ถ้าเราทำเพราะอยาก เรื่องของธรรมะแปลกมาก ตราบใดที่อยากจะไม่ได้ แต่ถ้าเราปล่อยวางได้เมื่อไร จะไหลมาเทมาทันทีเลย อาตมาฝึกปฐมฌานตอนช่วงเป็นวัยรุ่น ประมาณ พ.ศ.๒๕๒๑ อายุ ๑๙ ปี ฝึกเพราะหลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า ปฐมฌานมีอำนาจสูงมาก ใครฝึกได้ถ้าเอาไปใช้ในการพิจารณาตัดกิเลส จะตัดได้ตั้งแต่ระดับพระโสดาบันถึงพระสกทาคามี

โห..อยากได้มาก ตั้งหน้าตั้งตาฝึกอยู่อย่างเดียว แต่วางกำลังใจผิด วันหนึ่งผ่านไป..เงียบฉี่ อาทิตย์หนึ่งผ่านไป..เงียบฉี่ เดือนหนึ่งผ่านไป..เงียบฉี่ ปีหนึ่งผ่านไปก็เงียบ สองปีก็เงียบ สามปีก็เงียบ โยมลองถามตัวเองดูว่า ถ้าฝึกแบบหัวไม่วางหางไม่เว้นทุกวัน แต่ไม่ได้อะไรเลยแบบนี้ ถ้าเป็นเราจะทำไหม ? เชื่อเถอะว่า ๓ วันก็คงเลิกแล้ว แต่ไม่ใช่อาตมา

อาตมาเป็นประเภท "ถ้าคนอื่นทำได้เราต้องทำได้ ถ้าคนอื่นทำได้แล้วเราทำได้ เราต้องทำได้ดีกว่า" แบบนี้เขาเรียก ทิฐิพระ มานะกษัตริย์ อย่าให้มี มีแล้วแกะยากมาก วันนั้นเบื่อมาก ปีก็แล้ว สองปีก็แล้ว สามปีก็แล้วไม่ได้สักที ได้ไม่ได้ก็ช่างหัวมันเถอะ เรามีหน้าที่ภาวนา พอวางกำลังใจแบบนี้ โป๊ะเดียวได้เลย ก่อนนั้นกำลังใจสูงมากเกินไป สูงเกินต้องการ

พอเบื่อขึ้นมา ได้ไม่ได้ช่างมัน ตรงจุดนี้แหละเป็นกำลังใจที่ต้องเข้าถึงให้ได้ เพราะว่าการภาวนาทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นปฐมฌาน ฌานที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ หรือสมาบัติ ๘ ทุกระดับจะมีเอกัคตารมณ์ คืออารมณ์ที่ตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียว เป็นหนึ่งเดียวในระดับของฌานนั้น อารมณ์ตั้งมั่นจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าเราวางอุเบกขาไม่เป็น อุเบกขาก็คือช่างมัน เพราะเอกัคตารมณ์นั้นพื้นฐานคืออุเบกขา อุเบกขาตรงที่ว่าเรามีหน้าที่ภาวนา จะได้ไม่ได้ก็ช่างมัน

แต่อาตมาภาวนาเพราะอยากได้ ในเมื่อเกิดความอยากขึ้นมา จิตจึงไม่นิ่ง ฟุ้งซ่านอยู่ตลอด ตามดูว่าปฐมฌานต้องมีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคตารมณ์ จดจำได้ทุกขั้นตอนเลย ตอนนี้วิตกนะ..เรากำลังคิดนึกตรึกอยู่ว่าจะภาวนา ตอนนี้วิจารนะ..ลมหายใจแรงหรือเบา ยาวหรือสั้น ตอนนี้ปีตินะ...ขนชักลุกซ่า ๆ แหม..เริ่มได้ดีแล้ว มาเจ๊งตอนนี้ทุกที เพราะตั้งใจมากเกินไป ไปตามจี้ทุกขั้นตอน

ความจริงถ้ามีหน้าที่ภาวนา ภาวนาอย่างเดียวโดยที่ไม่ได้ไปใส่ใจเรื่องของผลจะเกิดไม่เกิดช่างมัน ถ้าทำอย่างนี้ได้ไปนานแล้ว แต่ตอนนั้นไม่เข้าใจเคล็ดลับอย่างนี้ ด้วยวิสัยพุทธภูมิเดิม ตั้งใจจะเป็นครูบาอาจารย์สอนเขา ถ้ารู้ไม่ละเอียดก็ไปสอนเขาไม่ได้ เรื่องที่คนอื่นเขาได้กันง่าย ๆ อาตมาต้องฟาดเสีย ๓ ปี อาศัยที่เลือดบ้ายังดีอยู่ จึงไม่เลิกไปเสียก่อน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-08-2013 เมื่อ 17:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 134 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 25-08-2013, 20:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น...ในเรื่องของการปฏิบัติของพวกเรานั้น อันดับแรก..อย่ารอให้มีการจัดปฏิบัติธรรมแล้วเราค่อยมาภาวนา อย่ารอให้ค่ำลง เลิกงานแล้วค่อยมาภาวนา อย่ารอให้พักให้พอ กินให้พอ นอนให้พอแล้วค่อยมาภาวนา ถ้าทำอย่างนั้นเราสู้กิเลสไม่ได้ เพราะกิเลสกินเราอยู่ทุกวินาที

มีเวลาว่างเมื่อไร สิ่งแรกที่ควรนึกถึงคือลมหายใจเข้าออก หรือภาพพระ หรือคำภาวนา ถ้าใครสามารถรักษากำลังใจแบบนี้ได้ อาตมายืนยันว่า ๓ เดือนก็เห็นหน้าเห็นหลังแล้ว แต่ถ้าเราภาวนาเสร็จ ลุกขึ้นก็เลิกเลย วันรุ่งขึ้นเอาใหม่ ภาวนาครึ่งชั่วโมงกำลังอารมณ์ดี ลุกขึ้นก็เลิกอีก ถ้าอย่างนี้ก็ทำไปเถอะ กี่ชาติก็อยู่แค่นั้นแหละ เพราะการปฏิบัติภาวนาของเราเหมือนกับว่ายทวนน้ำ เราว่ายทวนน้ำมาเต็มที่เลย พอปล่อยอะไรเกิดขึ้น ? ก็ไหลตามน้ำไปสิจ๊ะ ไปโน่น..เกือบถึงปากอ่าวแล้ว พอวันรุ่งขึ้นเริ่มว่ายขึ้นมาใหม่ หมดเวลาก็ปล่อยอีก เราจะกลายเป็นคนขยัน ทำงานทุกวันแต่ผลงานไม่มีเลย เพราะไหลออกปากอ่าวทุกที

ถ้ายิ่งวันไหนเหนื่อยขึ้นมา ทำได้น้อยกว่าเดิม ก็แปลว่าไหลไปไกลกว่าเดิม แทนที่จะก้าวหน้าก็กลายเป็นถอยหลัง แล้วเราลองมานึกดูว่า ถ้าเราภาวนาเช้าครึ่งชั่วโมง เย็นครึ่งชั่วโมง แปลว่าใจเรามีคุณภาพวันละ ๑ ชั่วโมง แล้วอีก ๒๓ ชั่วโมงเราทำอะไร ? ปล่อยกิเลสกินเรา ๒๓ ชั่วโมง กำลังใจดี ๑ ชั่วโมง ก็แปลว่าขาดทุนยับเยิน

หลายคนสงสัยว่าปฏิบัติธรรมแล้วทำไมหาความก้าวหน้าไม่ได้ ? ปฏิบัติธรรมแล้วทำไมไม่ได้ดีตามที่ตนเองต้องการ ? เมื่อใดจะก้าวถึงความเป็นพระโสดาบัน ? เมื่อใดจะหลุดพ้นจากกองทุกข์ไปพระนิพพานได้จริง ๆ สักที ? สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะเป็นคำถามต่อไป ถ้าเรายังปฏิบัติอย่างนี้อีก เพราะกิเลสกินเราทั้งหลับทั้งตื่น ทั้งยืนทั้งนั่ง นอนอยู่ก็โดนกิน หกคะเมนตีลังกาอยู่ก็โดนกิน กำลังกินข้าวกินน้ำ เข้าห้องส้วมอยู่ก็โดนกิน

รัก โลภ โกรธ หลงเกิดได้ตลอดเวลา แล้วเราจะทำอย่างไร ? ปกติของกิเลสอยู่กับตัวเรา มีหน้าที่กินเราก็เป็นเรื่องปกติ เราจะหยุดการกัดกินของกิเลสได้ ถ้าปลวกกินบ้านก็เอายามาฉีด แต่ถ้ากิเลสกินเราเอายามาฉีดนั้นแก้ไม่ได้หรอก ก็มีวิธีเดียวก็คือต้องสร้างกำลังใจให้เป็นสมาธิ ล้อมคอกเอาไว้ วัวหายเกือบหมดแล้ว ล้อมตัวที่เหลือไว้ ถ้าเราทิ้งสมาธิเมื่อไรกิเลสกินเราทันที แปลว่าเราไปเปิดคอกให้คนมาขโมยวัวแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2014 เมื่อ 19:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 120 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 27-08-2013, 17:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น...การปฏิบัติของพวกเรา ในเรื่องของสมาธิภาวนา จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก จะมานั่งภาวนาพองหนอ ยุบหนอ พุทโธ ๆ หรือสัมมาอรหัง นะมะพะธะ ไม่ทันกินแล้ว นั่นเด็กหัดใหม่ ตรงหน้าเรานี่แชมป์เหรียญทองโอลิมปิกกำลังฟัดเราอยู่ เราจะเริ่มต้นเตาะแตะ ๆ ไปดวลกับเขาไม่ได้หรอก มา ก.ไก่ ข.ไข่ก็โดนตีตายเท่านั้น เพราะที่ตรงหน้าของเรานี่ระดับเหนือปริญญาเอก ระดับอภิมหาศาสตราจารย์

เพราะฉะนั้น..ต้องเอาจริง เขาพลิกแพลงเล่นงานเราได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะใครยิ่งปฏิบัติธรรมมากเท่าไร ถ้ารู้สึกว่ากิเลสหนามากเท่านั้นให้รู้ว่าทำผิด ความจริงกิเลสมีเท่าเดิม รัก โลภ โกรธ หลง ๔ ตัวเท่านั้นแหละ ที่เรารู้สึกว่ามากขึ้นเพราะกำลังเขาดีขึ้น ที่กำลังดีขึ้นเพราะเราไปเลี้ยงเขาเอง เลี้ยงด้วยวิธีไหน ? พุทโธนั่นแหละ เลี้ยงด้วยนะมะพะธะ เลี้ยงด้วยสัมมาอรหัง เลี้ยงด้วยพองหนอ ยุบหนอนั่นแหละ

พอถึงเวลาเราภาวนาสร้างกำลังมาจนแข็งแรงมากเลย แต่ไม่เอาไปใช้ทำอะไร ปล่อยทิ้งไปเฉย ๆ รัก โลภ โกรธ หลงก็จะเอากำลังจากการภาวนาของเรานี่แหละไปฟุ้งซ่าน แล้วคราวนี้จะฟุ้งซ่านอย่างเป็นหลักเป็นฐาน เป็นงานเป็นการมาก เพราะได้กำลังจากการปฏิบัติของเรา แล้วเราก็จะสงสัยว่าทำไมยิ่งปฏิบัติยิ่งกิเลสมาก กิเลสไม่ได้มากหรอก..เท่าเดิม แต่แข็งแรงขึ้นเพราะเราเลี้ยงเขาเอง

ถ้าไม่อยากเลี้ยงกิเลส ภาวนาเสร็จสรรพเรียบร้อยไปต่อไม่ได้แล้ว เต็มที่ของเราแล้ว พอกำลังใจคลายตัวออกมา ให้มาพิจารณาวิปัสสนาญาณ พิจารณาให้เห็นว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา หรือว่าพิจารณาตามแบบของอริยสัจ ๔ หาสาเหตุของทุกข์ให้เจอ ไม่ทำสาเหตุแห่งทุกข์นั้นความทุกข์ก็ไม่เกิด หรือพิจารณาตามนัยของวิปัสสนาญาณ ๙ ดูให้เห็นการเกิดและดับ ยอมรับสภาพความเป็นจริงของร่างกายให้ได้ว่าเป็นอย่างนั้น

หรือดูเฉพาะความดับอย่างเดียว มีแต่สลายตัวไป ไม่ว่าเราหรือเขา คนหรือสัตว์ วัตถุธาตุสิ่งของ หรือดูว่าเป็นทุกข์เป็นภัย เป็นของน่ากลัว จำเป็นต้องหนีมันไปให้พ้น ดูให้เห็น มองให้ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-08-2013 เมื่อ 02:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 113 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 27-08-2013, 17:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ตอนที่เราพิจารณาอยู่นี่แหละ สภาพจิตจะดิ่งลึกไปเรื่อย ลึกไปเรื่อยโดยที่เราบางทีก็ไม่รู้ตัว แล้วจะทรงตัวเป็นอารมณ์ภาวนาโดยอัตโนมัติ ถึงตอนนั้นให้เราจับลมหายใจเข้าภาวนาต่อได้เลย จะไปได้อีกหน่อยหนึ่ง เพราะว่าสมถะคือการภาวนา วิปัสสนาคือการพิจารณา สองอย่างนี้ผูกขาติดกันอยู่ ก้าวข้างเดียวไม่ได้ ก้าวพร้อมกัน ๒ ข้างก็ไม่ได้ ต้องผลัดกันก้าว ภาวนาจนกำลังใจทรงตัวเท่ากับได้ก้าวหนึ่ง จะก้าวที่สองไม่ได้แล้ว ติดโซ่ที่ล่ามอยู่ ก็จะโดนกระตุกกลับ

ฉะนั้น..ต้องพิจารณาต่อ ก็จะได้อีกก้าวหนึ่ง ภาวนาได้อีกก้าวหนึ่ง พิจารณาได้อีกก้าวหนึ่ง อย่างนี้ถึงจะก้าวหน้า ไม่อย่างนั้นปีแล้วปีเล่า บางท่านทันสมัยหลวงพ่อวัดท่าซุง จนป่านนี้ยังไม่ไปไหนเลย เพราะจะก้าวซ้ายอย่างเดียว ก้าวไปก็โดนลากกลับอยู่นั่นแหละ เพราะก้าวได้ก้าวเดียว ฉะนั้น..เริ่มก้าวทางขวาบ้าง ถ้าทำอย่างนี้ความก้าวหน้าถึงจะปรากฏ

อยากจะบอกโยมว่า กว่าจะมานั่งสรุปอะไรที่ง่าย ๆ ให้ฟัง อาตมาใช้เวลามา ๓๐ กว่าปี ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๑๘ นี่จะพ.ศ.๒๕๕๘ อยู่แล้ว อีก ๒ ปีก็จะ ๔๐ ปีแล้ว ทุ่มเททั้งวันทั้งคืน ทุ่มเทกระทั่งรู้ว่าสภาพจิตหลับและตื่นต้องเท่ากัน กิเลสถึงกินเราไม่ได้ ถ้าสภาพจิตหลับส่วนหลับ ตื่นส่วนตื่น กิเลสยังกินเราครึ่งหนึ่ง ดังนั้นแล้ว..ตอนนี้ของโยมให้รักษากำลังใจตัวเองสลับกับพิจารณา เอาความก้าวหน้าให้ได้ก่อน แล้วซักซ้อมสมาธิให้คล่องตัวมากขึ้น จนกระทั่งหลับอยู่ก็รู้ว่าหลับ อะไรเข้ามาตอนนั้นสภาพจิตก็รู้หมด จะได้ป้องกันตัวเองได้ ถ้าอย่างนั้นจิตของเราถึงจะผ่องใสจากกิเลส

แล้วเราก็เอาความผ่องใสจากกิเลสที่ทำให้ปัญญาเกิดนั้นแหละ ไปเสาะหาวิธีการจะจัดการกับกิเลสต่าง ๆ ที่ห่อหุ้มเราอยู่ ทำอย่างไรจะขัด จะถู จะลอก จะตัดฟันหักทิ้งอย่างไร ก็อยู่ที่วิธีการของแต่ละคน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-08-2013 เมื่อ 17:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 109 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 29-08-2013, 19:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การมาปฏิบัติธรรมพวกเราก็อย่ารอเวลา ไม่ใช่ตอนเช้ารอทำตอนแปดโมงครึ่งถึงสิบโมง ตอนบ่ายรอทำตอนบ่ายโมงถึงบ่ายสาม ตายแน่..ปลวกกินบ้านหมด ไปนึกถึงปลวกที่กินบ้านทีละนิด ๆ แหว่งไปเรื่อย กิเลสก็แทะเราแบบนั้นแหละ เดี๋ยวแทะถึงหัวก็ไม่มีอะไรให้แทะแล้ว ตายไปกับกิเลส เกิดใหม่ให้แทะต่อไป จงอย่าให้เป็นอย่างนั้น

โดยเฉพาะว่า เราปฏิบัติธรรมเพื่อถวายกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทำความดีถวายหลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ของเรา ทำความดีให้พ่อแม่พี่น้องข้างบนได้เห็นว่า เราไม่เสียชาติที่ลงมาเกิด เรายังตั้งหน้าตั้งตาเอาดีอยู่ กลับขึ้นไปขอแซงหน้าพี่หน่อยเถอะ จะแซงได้หรือเปล่า ? ข้างบนกองเชียร์เพียบเลยนะ ท่านส่วนใหญ่ที่เชียร์เพราะท่านเป็นคนดู คนวิ่งอยู่ในสนามนั่นคือเราเอง เพราะฉะนั้น..วิ่งไปข้างหน้า

ตอน พ.ศ.๒๕๓๐ หลายท่านยังไม่เกิด อาตมาเองปีนั้นท้อใจมาก อยากจะสึกหาลาเพศ เพราะว่าหลวงพี่ชัยศรี อดีตเรืออากาศโท ใครก็คิดว่าท่านจะอยู่เป็นตัวแทนหลวงพ่อวัดท่าซุงก็สึก หลวงพี่พรสรรค์ที่เป็นกำลังใหญ่ในการทำหนังสือธัมมวิโมกข์ก็สึก หลวงตาแสวง มหาเปรียญรูปเดียวของวัดท่าซุงก็สึก หลวงพี่เกรียงไกรนี่ต้องบอกว่าลีลาพระธุดงค์แท้เลย อยู่ในกุฏิยังกางกลด มีเวลาออกนอกวัดเมื่อไรแบกกลดสะพายบาตรไปทันที..ก็สึก พี่ ๆ เขาอยู่กับหลวงพ่อมาเป็นสิบปียังสึกกัน แล้วกูจะอยู่ได้ไหมวะ ? นึกอย่างนั้นจริง ๆ

ปรากฏว่าวันนั้นทำกรรมฐานที่ตึกธัมมวิโมกข์เสร็จ ก็เดินเลาะทางด้านข้างตึกออกมาทางตึกกลางน้ำ เพื่อจะเลี้ยวซ้ายตรงด้านหน้าศาลา ๒ ไร่มาด้านกุฏิ ๑๐ หลัง กลับกุฏิตัวเอง เดินผ่านกุฏิกลางน้ำที่หลวงพ่อท่านพัก เกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า “หลวงพ่อครับ ไอ้น้ำหน้าอย่างผมนี่ จะบวชอยู่ได้ไหม ?” วินาทีนั้นภาพต่าง ๆ ที่อยู่รอบข้างหายหมดเลย เห็นแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลักษณะพระพุทธลีลาองค์ใหญ่เต็มฟ้า พระหัตถ์ซ้ายของพระองค์ท่านจูงมืออาตมา พระหัตถ์ขวาชี้ไปโน่น..สุดขอบจักรวาล เห็นแสงสว่างลิบ ๆ เหมือนกับเพชรอยู่โน่น...

ท่านบอกว่า “พระนิพพานอยู่ตรงนั้นนะลูก ไปให้ได้นะ” ทุกวันนี้ก็ยังเห็นภาพนั้นอยู่ ถึงได้มานั่งเขียนบันทึกประจำวันปลอบใจตัวเอง แต่บังเอิญเป็นลูกหลานสุนทรภู่ เลยเขียนเป็นกลอน ส่วนหนึ่งว่า

ข้างหน้าโน้นลูกเอ๋ย.........ตรงไปเลยพระนิพพาน
จะพ้นจากสงสาร.............สราญสมดั่งใจจง

สรุปว่า..จากที่ตั้งใจบวช ๗ วัน เลยอยู่มาจนป่านนี้ ลืมไปว่าถ้าเป็น ๗ วันข้างบนนี่เยอะนะ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-08-2013 เมื่อ 19:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 119 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 01-09-2013, 16:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คนบ้านเราเมืองเราไม่ค่อยยึดถือความถูกต้อง แต่ไปยึดถือเงินเป็นใหญ่ คนเราไม่เคารพนับถือกันที่ความดีความงาม แต่ไปนับถือกันตรงฐานะในสังคม ชักจะเพี้ยนกันไปใหญ่แล้ว สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่เกิดขึ้น เนื่องจากกระแสสังคมที่เคยควบคุมประเทศของเราหย่อนยานลง

สมัยอาตมาเรียนชั้นมัธยมอยู่ มีรุ่นพี่คนหนึ่งท้องในวัยเรียน เชื่อไหมว่าต้องย้ายหนีไปปักษ์ใต้เลย อยู่ไม่ได้ เพราะตกเป็นขี้ปากเขา นินทากันทั้งหมู่บ้านทั้งตำบล แล้วดูท่าจะทั้งอำเภอด้วย นั่นคือกระแสสังคมที่ควบคุมบุคคลอยู่ ทำให้คนไม่กล้าแหกกรอบออกไป เพราะเสียหายมาก พ่อแม่ไม่กล้าดูหน้าคนอื่นเลย ต้องย้ายหนีเพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่สมัยนี้เรื่องพวกนี้กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ประเภทนี้มีอยู่ทุกยุคทุกสมัย เพียงแต่ว่าสมัยก่อน การควบคุมของสังคมยังเข้มงวดกวดขันอยู่

สภาพสังคมในปัจจุบันที่ผ่อนคลายลงมา เกิดจากพวกเรากันเอง โดยเฉพาะผู้หญิง อ้าว..! แล้วเรื่องอะไรมาโยนใส่ฉัน ..(หัวเราะ).. ผู้หญิงออกไปทำงานนอกบ้าน เลยไม่มีใครดูแลลูก พอไม่ได้ดูแลลูก วิธีที่จะทดแทนก็คือ ประเคนทุกอย่างที่ลูกอยากได้ให้ เด็กก็จะเคยชินกับการโดนตามใจและได้อะไรง่าย ๆ ถ้าไม่ให้ฉันก็จะชัก แล้วขับเบนซ์ชนคนตรงป้ายรถเมล์ให้ตายสัก ๔-๕ คน แม่ฉันรวย พ่อฉันใหญ่ ไม่มีปัญหา ไม่ติดคุกด้วย ในเมื่อสังคมกลายเป็นอย่างนี้ไป ระบบครอบครัวจึงล่มสลาย

อย่างคนอีสานสมัยก่อนมาทำงานกรุงเทพฯ จะมาเฉพาะหน้าแล้ง ลูกหลานฝากปู่ย่าตายายเลี้ยงไว้ แต่สมัยนี้มากันทั้งปีทั้งชาติ แล้วจะเลี้ยงลูกอย่างไร เพราะตัวเองไปทำงาน สามีขับแท็กซี่ ภรรยาอยู่โรงงาน ลูกจะอยู่กับใคร ก็เลยไปฝากเขาเลี้ยงไว้ คนกรุงเทพฯ สมัยนี้แม่บ้านหายากสุด ๆ สมัยนี้ไม่มีคนรับใช้นะจ๊ะ มีแต่ผู้ช่วยแม่บ้าน คนใช้หมดไปจากสังคมไทยแล้ว ใครบอกจะจ้างคนใช้..ไม่มี รับแต่ตำแหน่งผู้ช่วยแม่บ้าน แล้วฝากลูกไว้ให้คนใช้เลี้ยง เด็กโตขึ้นมาเว้าลาวไทยก่อนพูดไทยอีก อัจฉริยะจริง ๆ เพราะพี่เลี้ยงด่าเช็ดอยู่ทุกวัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-09-2013 เมื่อ 16:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 99 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 01-09-2013, 16:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สภาพสังคมไม่มีการควบคุม สถาบันครอบครัวล่มสลาย เด็กไม่รู้ว่าจะยึดถืออะไร ก็ต้องทำอะไรให้เป็นจุดเด่นของตัวเอง เรียนเก่งสู้เขาไม่ได้ใช่ไหม ? ไม่เป็นไร..กูเกเรก็ได้ มีเพื่อนยอมรับ พ่อแม่ประเคนเงินให้เยอะ ๆ ไปใช้ที่โรงเรียน พวกแก๊งค์ยาเสพติดเห็น “เฮ้ย..ไอ้นี่กระเป๋าเงินกู” หาทางหลอกให้มาติดยา จะได้เอาเงินมาซื้อยาเสพติด

ใครเลี้ยงลูกแบบนี้โปรดระวัง ท่านกำลังส่งลูกให้ลงนรกไม่รู้ตัว เขาถึงได้บอกว่า สังคมปัจจุบันนี้ถ้ามีลูกผู้ชายไม่ติดยากับไม่เป็นตุ๊ดก็ประสบความสำเร็จแล้ว ถ้ามีลูกผู้หญิงไม่ท้องก่อนแต่งก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว สังคมเราเสื่อมลงขนาดนี้เลยหรือ ?

ที่เสื่อมลงขนาดนี้ก็เพราะว่า ความเข้มแข็งทางจิตใจไม่มี ที่เรามาฝึกกรรมฐานกันจะเป็นจะตายก็เพราะอย่างนี้แหละ จะได้ต้านกระแสสังคมได้ ไม่อย่างนั้นเราก็จะเห็นว่า แม้กระทั่งพระก็เป็นไปกับเขาด้วย ต้องใช้ของแบรนด์แนม เมื่อพ.ศ.๒๕๔๗ อาตมาพาหลวงพ่อพระเทพเมธากรไปรับพระราชทานพัดยศที่พระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย ตอนนั้นมีเจ้าคุณทั่วประเทศได้รับเลื่อนและรับพระราชทานตั้ง ๑๔๗ รูป รถยนต์ ๑๔๗ คัน คันที่ราคาถูกที่สุดน่าจะเกินสี่ล้านบาท มีแต่คันที่อาตมานั่งไปนี่แหละที่ราคาไม่ถึงล้าน

พระยังเป็นไปถึงขนาดนั้นแล้ว เขาแข่งกันว่าใครจะนั่งรถยนต์ราคาแพงกว่า ใครจะมีลูกศิษย์เป็นดาราดังมากกว่า ขอยืนยันว่าเป็นไปนานแล้ว มีเจ้าคุณท่านหนึ่ง เป็นว่าที่รองสมเด็จพระราชาคณะ ป่านนี้ยังติดอยู่แค่ชั้นธรรม เพราะมัวหมองเนื่องจากโดนโยมฟ้อง บริจาคเงินให้ไปสิบล้านเพื่อไปสร้างโบสถ์ แต่ท่านเอาไปซื้อรถเบนซ์ก่อน

นี่คือสังคมบ้านเรา ฉะนั้น..ไม่ต้องไปตื่นเต้นกับเณรคำหรอก อันนั้นปลายแถวเลย หัวแถวเขาเป็นมานานแล้ว เพียงแต่ว่าหัวแถวฉลาด เก็บอาการได้ดีกว่า ไม่โฉ่งฉ่างเหมือนเณรคำ เณรคำโฉ่งฉ่างเกินไป อยู่ ๆ ก็ยื่นหัวไปให้เขาทุบ เราจะเห็นว่าแม้กระทั่งนักบวชซึ่งจริง ๆ แล้วมีหน้าที่สั่งสอนญาติโยมให้ทำอย่างไรถึงจะสมถะ ทำอย่างไรจะพออยู่พอกินตามที่ในหลวงสอนมา ปรากฏว่าเป็นผู้นำเทรนด์เสียเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-09-2013 เมื่อ 16:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 99 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 06-09-2013, 19:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ขึ้นอยู่กับครูบาอาจารย์ที่อบรมสั่งสอนมา และขึ้นอยู่กับความเอาจริงเอาจังในการปฏิบัติของเรา ถ้าเราตั้งใจปฏิบัติจริง ๆ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถึงเวลารับมา ก็จะเปิดรับมาแบบพอเหมาะพอสม พอควร เทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ ไอแพ็ด ไอโฟน โทรศัพท์มือถืออะไรก็ตาม แต่ทำอย่างไรที่เราจะเสพรับอย่างมีสติ ให้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นเครื่องอำนวยความสะดวกให้กับเรา ไม่ใช่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเรา

เมื่อคืนอาตมาเดินเข้าห้องพักตอน ๓ ทุ่ม เห็นโยมบางคนยังนั่งเขี่ยไอโฟนอยู่เลย ก่อนนอนขอเช็กเมล์หน่อย วันนี้ไม่ได้เช็กมาตั้งแต่เช้า จะขาดใจตายอยู่แล้ว ขอเข้าเฟซบุ๊กไปดูหน่อย สเตตัสมีใครตามมาคอมเมนต์สักกี่คน กดไลค์มา ๒๒๐ คน ค่อยยังชั่วหน่อย..!

อาตมานั่งรถไปสอนหนังสือ "พ่อเจ้าประคุณเพื่อนเก่า" มาถึงหย่อนก้นนั่งลงข้าง ๆ ถอนหายใจ “เฮ้อ....ผมละสงสารท่านจริง ๆ เลย” ก็ถามว่าทำไม ? เขาว่า “ไอ้ที่ท่านสอนนะไม่มีประโยชน์หรอก ผมครอบซ้ำไปอีกหลายชั้นแล้ว” เพื่อนเก่าคนนี้ชื่อ "มาร" เล่นกันมาหลายต่อหลายยก ฟันหัวกันมากี่ชาติก็ไม่รู้ จนกลายเป็นเพื่อนกัน

เขาบอกว่าสมัยหลวงพ่อของท่านสอนลูกศิษย์ “อยู่คนเดียวขันธ์ ๕ แต่งงานไปก็ขันธ์ ๑๐ มีลูกอีกคนเป็นขันธ์ ๑๕ สมัยนี้อยู่คนเดียวไม่รู้ว่ากี่ขันธ์ต่อกี่ขันธ์ เจอฝีมือผมครอบไปเรียบร้อยทุกราย” ถามว่าคุณทำอย่างไร ? เขาบอกเว็บไซต์ อีเมล์ เฟสบุ๊ก สไกป์ ไลน์ ๑ ชื่อผู้ใช้คือ ๑ ตัวตนของเรา ๑ อีเมล์แอดเดรสคือ ๑ ตัวตนของเรา กลายเป็นตัวตนสมมติที่เราไปยึดว่าเป็นตัวจริง ก็เลยกลายเป็นขันธ์ที่ ๑๐ ที่ ๑๕ ที่ ๒๐ ขึ้นมา เพราะไปยึดว่าเป็นของเรา

พอถึงเวลาขึ้นสเตตัสปุ๊บ คนเข้ามาคอมเมนต์ไม่ถูกใจก็โกรธเขา คนเข้ามากดไลค์ อ้า..ค่อยยังชั่ว เดี๋ยวเราต้องไลค์คืน เห็นหรือยังว่ามีรัก โลภ โกรธ หลงเหมือนตัวตนที่แท้จริงของเราเลย เรากำลังเพิ่มกิเลสมาครอบตัวเองอยู่ตลอดเวลา ถึงเป็นฝีมือของเขาก็เถอะ แต่เรารับมาด้วยความยินดี แบบนี้ตายแน่ ๆ..!

อะไรที่ไม่ถูกใจ ใช้ยาก ไม่ทันสมัย จะค่อย ๆ ตายไปทีละน้อย เชื่อเถอะ..พวกเรายังจำ Hi5 ได้ อาตมาก็มี เด็ก ๆ เขาสมัครให้ ตอนนี้ตายไปเรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันนี้กล้องถ่ายรูปที่ใช้ฟิล์มตายสนิทไปแล้ว เหลือแต่กล้องดิจิตอล แล้วกล้องก็จะตายสนิทตามไปอีก เพราะตอนนี้โทรศัพท์ทุกเครื่องถ่ายได้ นาฬิกาก็จะตายตามไปด้วย เพราะไอโฟนใช้แทนได้ ของใหม่ขึ้นมาฆ่าของเก่า แต่ก็เพิ่มกิเลสให้กับเราไปเรื่อย เราต้องอาศัยของเหล่านี้มากขึ้นไปทุกที
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 07-09-2013 เมื่อ 05:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 91 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 08-09-2013, 05:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อาตมาเองเข้าตลาดไปซื้อของ หยิบมาวางเสร็จสรรพควักกระเป๋าบอกเจ้าของร้านว่าราคาเท่านี้ ช่วยทอนเงินให้ด้วย เจ้าของร้านก็งง ๆ หยิบเครื่องคิดเลขขึ้นมากดอยู่ ๓ - ๔ นาที ก็ได้คำตอบเดียวกับที่อาตมาบอก พอเจอเข้าไป ๒ - ๓ ครั้ง ตอนหลังอาตมาเข้าไปซื้อของในตลาด หยิบของมาวางเสร็จ เจ้าของร้านจะถามว่าราคาเท่าไร ? แสดงว่าเลิกคิดเองแล้ว..!

คราวนี้เราเห็นหรือยังว่า ขณะที่เรายังใช้สมองอยู่ แต่คนอื่นใช้เครื่องคิดเลขจนคิดเองไม่เป็นแล้ว ทุกวันนี้พวกเรากำลังจะเป็นอย่างนั้น คิดเลขในใจกันไม่เป็นแล้ว ถึงเวลาก็กดไอโฟน..โดนครอบไปอีกชั้นหนึ่งแล้ว เพื่อนอาตมาเก่งฉิบหา..เลย..!

สมัยที่ตีกันชนิดเข้าด้ายเข้าเข็ม เพื่อนเขาขู่ว่า “นอกจากพระพุทธเจ้าที่ยอมปล่อยไปเพราะเป็นเพื่อนกันแล้ว นอกนั้นไม่มีใครรอดมือผมไปได้หรอก” อาตมาถึงไม่เคยรับประทานสุกรมา แต่ก็เคยเห็นสุกรเดินผ่านหน้าไปหลายตัวแล้ว อันนี้ภาษิตจีนเขาว่า เคยเห็นหลวงปู่หลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ไปตั้งกี่องค์ ?

พระพุทธเจ้าเองตรัสรู้ไปสามล้านกว่าองค์แล้ว พระปัจเจกพุทธเจ้าอีกมากกว่าจนนับไม่ได้ แล้วพระอรหันต์อีกตั้งเท่าไร ? ถ้าคุณแน่จริงท่านไปพระนิพพานไม่ได้หรอก ถึงอาตมาจะบ้าแต่ก็ไม่โง่โว้ย..ไม่เชื่อเอ็งหรอก..! ถ้าโลกนี้ไม่มีพระพุทธเจ้าแล้วข้าจะไหว้เอ็ง..! ต้องตีกันถึงขนาดนี้ถึงจะคุ้นชินกัน แต่ยอมรับว่าที่เขาพูดมานั้นน่ากลัวมาก

มีอยู่วันหนึ่งเขามายกมือถามว่า “นี่อะไร ?” อาตมาบอกว่าฝ่ามือ “แล้วนี่ล่ะ ?” อาตมาบอกหลังมือ แล้วไล่นิ้วทีละนิ้วว่านี่นิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย แล้วมาไล่ทีละข้อนิ้วอีกไปเรื่อย มืออย่างเดียวครอบสมมติไว้กี่ชั้นนับทันไหม ? สมมติว่ามือนี่แหละ..ครอบไปกี่ชั้น สติไม่มี ปัญญาไม่พอ แล้วจะแทงทะลุสมมติที่เขาครอบเรามานับชั้นไม่ถ้วนได้อย่างไร ?

ก่อนจะจบขอยกปัญหาใหญ่ให้พวกเราฟังแล้วหมดกำลังใจ เอ๊ย..ไม่ใช่ ..(หัวเราะ).. ฟังแล้วจะได้มีกำลังใจ จะได้สู้กับเขาต่อไป เดี๋ยวพอเลิกก็รีบเข้าเฟซบุ๊กไปกดไลค์กัน อ้าว..ของอย่างนี้เราต้องรู้ทันกัน รู้เขารู้เรา รบ ๑๐๐ ครั้ง ชนะ ๑๐๐ ครั้ง สมัยอาตมาเด็ก ๆ จะบอกข่าวกันต้องเดินกันข้ามทุ่ง กว่าจะไปบอกข่าวบ้านเหนือบ้านใต้ได้นี่หลายวัน จะจัดงานบวชเดือนหน้า เดือนนี้ต้องเดินไปส่งข่าวแล้ว สมัยนี้ขึ้นเฟซบุ๊กตามมากดไลค์เต็มเลย เพื่อนรู้ทุกคน มาทำบุญด้วยกัน เอาบุญเป็นบันไดเดินหนีมาร ของแบบนี้อยู่ที่เราใช้ จะครอบมากี่ชั้นก็เชิญ ตูจะเอาเป็นบันไดเหยียบไปพระนิพพานให้ดู..!

อยู่กับโลกอย่างมีสติ ให้เทคโนโลยีเป็นสิ่งหนุนเสริมความสะดวกสบายแก่เรา แต่อย่าไปยึดติดจนเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเรา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-09-2013 เมื่อ 18:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 86 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 09-09-2013, 14:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

โยมเคยเห็นตะขาบตัวใหญ่ที่สุดขนาดเท่าไร ? ใน "เพชรพระอุมา" บอกว่าใหญ่เท่าต้นรัง อาตมาไม่เคยเจอ เจอเต็มที่ก็ ๓ นิ้วมือ ยาวประมาณศอกกว่า ๆ ทางบ้านอาตมาบอกกันมาแต่เล็กว่า ถ้าเจอตะขาบโตได้ ๓ นิ้วมือ จะมีไข่มุกที่เขาสะสมจนเป็นเม็ดพลัง สัตว์ต่าง ๆ จะสร้างสมพลังของตัวเอง เมื่อแก่กล้าก็จะจับตัวเป็นก้อนไข่มุก เป็นพลังชีวิตทั้งหมดของสัตว์ตัวนั้น

ทางบ้านอาตมาบอกต่อกันมาว่า ถ้าเจอตะขาบตัวใหญ่ได้ ๓ นิ้วมือเรียงกัน แสดงว่ามีมุกพลังแล้ว ให้เอากาละมังมาครอบแล้วตีดัง ๆ ตะขาบคิดว่าฟ้าร้อง จะพ่นมุกพลังออกมาต่อต้าน เราก็ฉวยเอามา อาตมาทำไม่ลงหรอก เพราะเท่ากับเอาชีวิตของเขาเลย เขาต้องไปเริ่มต้นนับ ๑ ใหม่

ที่เล่าให้ฟังตรงนี้ไม่ได้ให้ไปขโมยมุกพลังของสัตว์ แต่อยากจะบอกว่า สัตว์ยังสร้างสมพลังของตัวเอง จนมีความสามารถพิเศษเหนือกว่าสัตว์ตัวอื่น เราเป็นคน เราจะสร้างสมพลังในการปฏิบัติของเราจนก้าวล่วงกิเลส ให้เหนือกว่าคนอื่นไม่ได้เชียวหรือ ? ...วกกลับมาอีกแล้ว ไปไม่ไกล หาเรื่องมาด่าตูอีกแล้ว... ไม่ได้ด่านะจ๊ะ เพียงแต่บอกให้รู้ว่าสัตว์เขายังทำได้ เราก็ต้องทำได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-09-2013 เมื่อ 15:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 86 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 11-09-2013, 10:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าโยมเห็นหมาเข้าสมาธิแบบทรงฌานได้จะคิดอย่างไร ? ตั้งเวลาได้ด้วยนะ ต้องการเข้าเมื่อไรได้ทันที ต้องการออกเมื่อไรออกได้ตอนนั้น ถ้าเคยเจอแบบอาตมาแล้วจะรู้ว่าเรานี่เสียชาติเกิดจริง ๆ สู้หมายังไม่ได้เลยอาตมาอายหมามาก เจ้าหมาตัวนั้นชื่อ "ทหาร" เจ้าทหารอยู่ที่วัดท่าซุง สร้างกรรมเก่าไว้เยอะ เป็นขี้เรื้อนเหม็นตลบเลย แต่เจ้าทหารขยันมาก พอ ๕ โมงเย็นมายืนรอแล้ว พอพระขึ้นรถรางเตรียมไปทำวัตรที่วิหาร ๑๐๐ เมตร เจ้าทหารก็กระโดดขึ้นรถรางไปทำวัตรด้วย

ไปแล้วก็เข้าไปในวิหาร ๑๐๐ เมตร คราวนี้เจ้าทหารอยู่กับพระนานจนคิดว่าตัวเองเป็นพระหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? เวลาพระไปนั่งตามลำดับพรรษา หลวงพี่บางท่านไม่มาที่นั่งก็จะว่าง เจ้าทหารก็จะไปนั่งเกาขี้เรื้อนตรงนั้นแหละ ประจานพระชัด ๆ เลยว่าขี้เกียจกว่าหมาอีก..!

ทหารเป็นหมาที่ฉลาดมาก ไม่เคยฉี่รดต้นเสาให้เห็น เข้าในวิหาร ๑๐๐ เมตรไม่เคยทำสกปรกเลย ยกเว้นที่ตัวเองซึ่งขี้เรื้อนแล้ว คนเขาจึงรังเกียจที่มีกลิ่นเหม็น ตอนหลังก็เลยมีคนที่ไม่รู้ ทนเหม็นไม่ไหว ไล่ลงจากรถราง เจ้าทหารก็ไม่ว่า วิ่งตามรถไป ใครเคยไปวัดท่าซุง หน้าโบสถ์วัดท่าซุงกับวิหาร ๑๐๐ เมตรนี่ไม่ใช่ใกล้ ๆ นะ..เกือบกิโลเมตร ทหารวิ่งตามรถไปแล้วก็เข้าไปในวิหาร ๑๐๐ เมตรตามเดิม พระจึงปิดประตูไม่ให้เข้า เจ้าทหารยืนหอนที่หน้าวิหาร ๑๐๐ เมตรแบบหัวใจสลาย เหมือนจะถามว่า "เราจะมาทำความดี..ทำไมมากีดกันแบบนี้"

อาตมาได้ยินเสียงปุ๊บรู้เลย “เป็นเรื่องแล้วงานนี้” จริง ๆ ด้วย รุ่งขึ้นหลวงพ่อวัดท่าซุงประกาศเสียงตามสาย บอกว่า “ให้ทหารเข้าไปสวดมนต์ทำวัตรแล้วก็เจริญกรรมฐานด้วย หมาตัวนี้ไม่ทำสกปรกหรอก” อาตมาได้ยินแล้วรู้เลย เพราะว่าสังเกตเจ้าทหารมาตลอด เมื่อไปนั่งแทนที่พระ พอถึงเวลาพระขึ้น โยโส ภควาฯ เจ้าทหารหมอบปั๊บ ใจใสปิ๊งเลย ใจเป็นแก้วทั้งดวงเท่ากับคนทรงฌาน ๔..!

พอพระสวดมนต์เสร็จสรรพเรียบร้อย กราบพระ อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภควาฯ เจ้าทหารลุกพรวดสะบัดตัว วิ่งไปเตรียมเจริญกรรมฐาน เขาตั้งเวลาได้ขนาดนั้น จะเข้าสมาธิเมื่อไรเข้าได้เดี๋ยวนั้น จะออกเมื่อไรออกได้เดี๋ยวนั้น มีสมาปัชชนวสี ความชำนาญในการเข้าฌาน มีวุฏฐานวสี ความชำนาญในการออกจากฌานขนาดนั้นเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-09-2013 เมื่อ 13:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 82 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #12  
เก่า 11-09-2013, 10:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พอถึงเวลาหลวงพ่อสมาทานพระกรรมฐาน ท่านจะชุมนุมเทวดาก่อน พอขึ้น ปุริมัญจะ ทิสัง ราชาฯ ทหารหมอบปั๊บ ใจนิ่งเป๋งเลย ถึงเวลาอุทิศส่วนกุศลเสร็จสรรพ ทหารก็วิ่งขึ้นรถรางเตรียมกลับแล้ว อาตมาสังเกตมาตลอด ถึงได้รู้ว่าถ้าหอนแบบนี้เป็นเรื่องแน่นอน เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงประกาศเสียงตามสายด้วยเรื่องของหมาตัวเดียว..!

นั่นหมาทรงฌาน ๔ แถมทรงฌานคล่องขนาดตั้งเวลาได้เลย พอทหารตายหลวงพ่อประกาศบอกว่า “วันนี้เขาไปเป็นพรหมตามกำลังของเขาแล้ว” อาตมาอายหมาสุดชีวิต ถ้าไม่ได้อยู่ในสภาพความเป็นสัตว์เดรัจฉาน เชื่อว่าเขาต้องไปเป็นพระอริยเจ้าระดับใดระดับหนึ่งแน่นอน แต่ความที่อยู่ในภพภูมิของสัตว์เดรัจฉาน ความมืดบอดมีมาก ดวงปัญญาไม่พอที่จะตัดสินในเรื่องของธรรมะ เขาก็เลยทรงฌานได้เท่านั้น ไม่สามารถที่จะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าได้

ถ้าทหารเกิดใหม่อีกรอบอาตมามั่นใจ เจอหลวงปู่หลวงพ่อท่านไหนเทศน์เรื่องพระนิพพานก็ดี หรือได้พระพุทธเจ้าหรือพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ตาม จะได้มรรคผลแน่นอน นี่คือหมาตัวหนึ่งที่เคยพบมาแล้ว

เราเองอยู่ในภพภูมิที่สูงกว่าเขามาก ให้ทานกับสัตว์เดียรัจฉาน ๑๐๐ ครั้ง ไม่เท่ากับให้ทานมนุษย์ที่ไม่มีศีล ๑ ครั้ง ให้ทานมนุษย์ที่ไม่มีศีล ๑๐๐ ครั้ง ไม่เท่ากับให้ทานมนุษย์ที่มีศีลแล้วทำศีลขาด ๑ ครั้ง ให้ทานมนุษย์ที่มีศีลบอกพร่อง ๑๐๐ ครั้ง ไม่เท่ากับให้ทานมนุษย์ที่มีศีลสมบูรณ์ ๑ ครั้ง ให้ทานมนุษย์ที่มีศีลสมบูรณ์ ๑๐๐ ครั้งไม่เท่าให้ทานมนุษย์ที่มีศีลสมบูรณ์และรู้จักเจริญกรรมฐาน ๑ ครั้ง เราสูงกว่าเขากี่ระดับ ? บารมีของเราใกล้มรรคผลกว่าเขากี่ระดับ ?

เมื่อพิจารณาตรงนี้แล้วโปรดอย่าสละสิทธิ์ตัวเอง ตำแหน่งมีน้อยมาก ประชากรโลกห้าพันกว่าล้านคน ตำแหน่งที่จะมีสิทธิ์ได้มรรคผลมีแค่ ๑๗๕,๓๐๐ คน สำหรับช่วงพระศาสนานี้เท่านั้น ตั้งแต่นี้ไปจนถึงสิ้นศาสนาเหลือระยะเวลาอีก ๒,๔๐๐ กว่าปี มีแค่นี้เท่านั้น ถ้าหากว่าเราชิงตำแหน่งนี้ไม่ได้ เจ้าทหารเกิดใหม่เป็นหมาอีก อาตมาจะชวนเอาดอกไม้ธูปเทียนไปกราบให้ช่วยสอนหน่อย เพราะฉะนั้น..อย่าทิ้งโอกาสที่ดีที่สุดของตนเองเป็นอันขาด..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-09-2013 เมื่อ 13:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 84 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #13  
เก่า 12-09-2013, 18:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระพุทธเจ้าบอกว่าเราจะเกิดเป็นมนุษย์ก็แสนยาก เกิดเป็นมนุษย์จะได้พบพระพุทธศาสนาก็แสนยาก ได้พบพระพุทธศาสนาจะได้ฟังธรรมก็แสนยาก ฟังธรรมแล้วจะเลื่อมใสก็แสนยาก เลื่อมใสแล้วจะเข้ามาปฏิบัติธรรมก็แสนยาก ล่อไปห้าแสนแล้ว ห้าแสนที่ว่ายากเราทำได้หมดแล้ว เหลืออยู่อย่างเดียวคือสิ่งที่เราทำอยู่ พยายามทำให้ต่อเนื่อง ให้เกิดผลใช้งานในชีวิตจริงได้ ถ้าเราสามารถทำอย่างนี้ได้ อาตมาบอกแล้วไม่ขอมาก ๑๗๕,๓๐๐ คน ตัดท้ายมาหน่อย ๓๐๐ คน ขอไว้ที่วัดท่าขนุน กลับบ้านไปไม่เป็นไร ถึงเวลายังต่อสายโทรศัพท์ถึงวัดท่าขนุนได้ไม่เสียสิทธิ์

ฉะนั้น..เอาให้ได้ในส่วนที่เราพึงจะได้ในชาตินี้ เกิดมาถ้ารู้จักพระนิพพานมีสิทธิ์ไปพระนิพพานได้ทุกคน อาตมาเด็ก ๆ ไม่มีคำว่าพระนิพพานเลย ทุกคนอธิษฐานขอให้เกิดชาติใหม่สวย ๆ ขอให้เกิดชาติใหม่รวย ๆ ขอให้ทันพระศรีอาริย์ เป็นอย่างนี้จนอายุ ๑๕-๑๖ ปี ถึงรู้จักคำว่าพระนิพพานเป็นครั้งแรก สมัยนี้ของพวกเราคำว่าพระนิพพานเกลื่อนกลาดไปหมด

ในเมื่อโอกาสเข้าถึงได้ง่ายอย่างนี้ ช่องทางมีมากขนาดนี้ ไม่ต้องไปสนใจพญามาร มีหน้าที่ขวางให้ขวางไป เรามีหน้าที่ทำข้อสอบก้าวล่วงไปทีละชั้น ๆ ไม่อะไรน่าหวาดหวั่น มารเป็นแค่ครู เป็นครูที่ขยันออกข้อสอบ เราต้องเป็นลูกศิษย์อัจฉริยะ ถ้าครูออกข้อสอบระดับไหนแปลว่าเราคู่ควรกับข้อสอบระดับนั้นแล้ว ไม่ต้องกลัว ถ้าไม่คู่ควรกับข้อสอบนั้นเขาไม่ออกมาหรอก

อาตมาเองโดนเขารุมตีปางตาย ทั้งขันธมาร กิเลสมาร อภิสังขารมาร เทวปุตตมาร มัจจุมารมาครบเลย ล่อซะหมดลมหายใจไปครั้งหนึ่ง พระครูแสงน้องชาย ตอนนั้นยังไม่บวช “หลวงพี่ น่าภูมิใจนะ มันเล่นหลวงพี่หนักขนาดนี้แสดงว่าหลวงพี่ต้องมีคุณค่าพอ” แหม..พูดมาตลอดชีวิต ถูกใจกูประโยคนี้แหละ

เพราะฉะนั้นเราต้องมีคุณค่าพอเขาถึงออกข้อสอบมาสอบเรา พยายามสอบให้ได้ อย่าตก ข้อสอบมี ๔ ข้อ รัก โลภ โกรธ หลง ไม่เกินนี้ แต่เขาจะตะแบงซ้ายตะแบงขวาคำถามไม่เหมือนเดิม แต่คำตอบเหมือนเดิม ทำให้ได้ อย่าให้เสียชื่อลูกหลานหลวงปู่ปาน หลวงพ่อวัดท่าซุง ตลอดจนหลวงปู่สายวัดท่าขนุนด้วย ศิษย์มีครูเหมือนงูมีพิษ ตอนนี้เราเป็นศิษย์หลายครูเป็นงูสารพัดพิษ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 78 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #14  
เก่า 14-09-2013, 08:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

นักปฏิบัติยิ่งทำสภาพจิตยิ่งต้องละเอียดขึ้น ไม่ใช่ทำแล้วสภาพจิตยังหยาบอยู่เหมือนเดิม เมื่อสภาพจิตยิ่งละเอียดขึ้น การระมัดระวังในสิ่งต่าง ๆ ก็จะมีมากขึ้น โยมสังเกตจะเห็นว่า วัดท่าขนุนไม่มีหรอกที่เอาผ้าเหลืองมาทำผ้าเช็ดเท้า ไปเจอมาหลายวัดเขามีใช่ไหม ? จำไว้นะ..ผ้าเหลืองถือว่าเป็นธงชัยของพระอรหันต์ ถ้าจิตเราหยาบพอที่จะเอาผ้าเหลืองมาทำผ้าเช็ดเท้า ต่อไปเราก็ทำกรรมอะไรที่หนักกว่านั้นได้

ถามว่าที่อื่นเขาเอาทำเป็นผ้าเช็ดเท้าเขาเอาตัวอย่างมาจากไหน ? ตัวอย่างมาจากพระอานนท์ นางนางมัลลิกาเทวีมเหสีของพระเจ้าอุเทนพร้อมกับบริวารถวายผ้าพระอานนท์คนละคู่ ๕๐๐ กับ ๑ คนก็ ๑,๐๐๐ กับ ๒ ผืน พระเจ้าอุเทนได้ยินก็พิโรธ โมโหไฟแลบ เสด็จไปถามพระอานนท์ว่า ทำไมสมณะศากยบุตร ซึ่งเป็นผู้ที่สละแล้วซึ่งกิเลส เหตุไหนจึงยังขี่เจ็ตอยู่ เอ๊ย..ไม่ใช่ ..(หัวเราะ).. เหตุไฉนจึงได้รับผ้าที่ญาติโยมถวายไว้มากขนาดนั้น พระอานนท์จึงบอกว่า ที่ท่านรับมาท่านไม่ได้เอาไว้ใช้คนเดียว แล้วก็ไม่ได้สะสมไว้ ท่านบอกว่าเอาไปให้พระที่มีจีวรเก่า ท่านจะได้เปลี่ยนผ้าเสียใหม่

พระเจ้าอุเทนซักต่อไปว่า แล้วจีวรเก่าเอาไปทำอะไร ? ท่านบอกว่าเอาไปทำผ้าดาดเพดาน คือผ้าที่ขึงอยู่บนเพดาน ตอนแรกอาตมาก็ไม่รู้ว่าผ้าดาดเพดานมีประโยชน์อะไร คราวนี้นึกขึ้นมาได้ว่าสมัยเด็ก ๆ อยู่บ้านเก่า ๆ มอดกินหลังคา ขี้มอดลงมาอย่างกับละอองฝน แล้วบางทีจิ้งจกตุ๊กแกก็ขี้ลงมา จะมีผ้าดาดเพดานขึงเอาไว้อยู่ ที่ชัดที่สุดคือจิ้งจกตุ๊กแกปีนผ้าไม่ได้ ไม่มีสุดยอดจิ้งจกตัวไหนปีนได้ ขอยืนยัน เพราะผ้าทำสุญญากาศไม่ได้ แปะไม่อยู่หรอก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-09-2013 เมื่อ 14:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 68 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #15  
เก่า 14-09-2013, 08:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ท่านถามต่อว่า แล้วที่เหลือจากผ้าดาดเพดานเอาไปทำอะไร ? เอาไปทำผ้าปูเตียง แล้วที่เป็นผ้าปูเตียงเดิมล่ะ ? พระอานนท์ก็บอกว่า เอาไปทำผ้าถูพื้น แล้วท่านที่มีผ้าถูพื้นอยู่แล้ว ? ก็เปลี่ยนไปทำผ้าเช็ดเท้า กี่ช่วงมาแล้ว จากจีวรเก่าเอาไปทำผ้าดาดเพดาน ผ้าดาดเพดานเก่าซักมาทำผ้าปูเตียง ผ้าปูเตียงเก่าเอามาทำผ้าถูพื้น ผ้าถูพื้นเก่าเอามาทำผ้าเช็ดเท้า ยังจะมีสภาพของจีวรไหม ? ไม่มีแล้ว

สมัยก่อนใช้สีธรรมชาติย้อมด้วย ไม่กี่ปีก็เก่ายิ่งกว่าผ้าขี้ริ้วอีก ถ้าอย่างนั้นท่านเช็ดเท้าได้..ไม่เป็นไร แต่ของเรานี่สีเหลืองอ๋อย ใหม่เอี่ยมเลย เอาไปทำผ้าเช็ดเท้าก็แย่สิ

พระเจ้าอุเทนซักต่อไปว่า แล้วผ้าเช็ดเท้าเก่าเอาไปทำอะไร ? พระอานนท์บอกว่า ผ้าเช็ดเท้าเก่าเอาไปขยำรวมกับดินเหนียวเพื่อยาข้างฝา สมัยก่อนเขาไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือดีแบบนี้ ข้างฝาส่วนใหญ่ก็เป็นท่อนไม้แผ่นไม้ที่เลื่อยผ่าตามธรรมชาติ มีร่องมีรู ลมหนาวเข้าได้สบายเลย บางทีแม่ไก่ทั้งตัวก็บินเข้าไปได้ แล้วใช้วิธีไหน ? ก็เอาผ้าอุดรู้แล้วใช้ขี้โคลนยา หรือไม่ก็ขี้วัวยาอุดร่องไว้ กันไม่ให้ลมหนาวเข้ามาได้

พระอุเทนได้ยินก็เกิดเลื่อมใสว่า สมณะศากยบุตรใช้ของได้คุ้มค่าอย่างนี้ ก็เลยสั่งให้เปิดคลังเอาผ้ามาถวายเพิ่มขึ้นอีก ตอนแรกตั้งใจจะไปต่อว่า ว่าทำไมงกขนาดนี้ ให้ไปห้าหกร้อยคู่เก็บเอาไว้หมด ปรากฏว่าต้องจ่ายเพิ่มอีก

ดังนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติ ถ้ากำลังใจของเราละเอียดขึ้น การปฏิบัติของเราก็จะละเอียดขึ้นไปด้วย การปฏิบัติของเราเมื่อละเอียดขึ้น เราต้องระวังว่ากาย วาจา ใจของเรา ว่าจะเป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่นหรือเปล่า ? ก็คือตัวเรางดเว้นจากการกระทำทั้งหลายเหล่านั้นแล้ว แต่ตัวเราเป็นเหตุให้คนอื่นเขาทำชั่วด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจหรือเปล่า ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-09-2013 เมื่อ 14:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 71 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #16  
เก่า 16-09-2013, 08:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าไม่ใช่สถานที่ปฏิบัติธรรมแบบนี้ เวลาทำงานอยู่ที่ทำงาน ถึงเวลากินข้าวกลางวันเสร็จก็นั่งขัดสมาธิ มือขวาทับมือซ้าย ขาขวาทับขาซ้าย ตัวตรงแหนว "พุทโธ ๆ" น่าเลื่อมใสจริง ๆ แล้วคิดดูว่าเพื่อนทั้งสำนักงานจะว่าอย่างไร ? รับรองมีการเสียดสี เยาะเย้ย ถากถางแน่นอน นั่นเรากำลังสร้างกรรมให้เกิดกับคนอื่นแล้ว

ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นก็ได้ แกล้งฟุบหลับกับโต๊ะแล้วพุทโธของเราก็ได้ หรือไม่ก็นั่งเก้าอี้นวด หยอดเงินลงไป ๒๐ บาทให้นวดเราสัก ๒๐ นาทีแล้วเราภาวนาของเราไปก็ได้ แต่นั่นคงจะหลับไปจริง ๆ คือทำอย่างไรก็ได้ที่รักษาความดีของเราเอาไว้ แล้วไม่ให้เป็นโทษกับอื่นเขา

ถึงเวลาบ่ายสองโมงเพื่อนชวนไปกินอะไรกันหน่อย เราก็ “ไม่ไป..รักษาศีล ๘” บรรลัยแล้ว โดนแน่ ๆ แล้วจะทำอย่างไร ? ก็บอกเขาไปสิ “ไม่ไปด้วยนะ..ตอนนี้อ้วนมากแล้ว หมอบอกควรจะลดความอ้วนบ้าง เดี๋ยวจะเดินไม่ไหว” หรือไม่ก็บอกว่า “โรคภัยไข้เจ็บชักจะเยอะ หมอบอกให้ลดความอ้วนบ้าง เลยไม่กินข้าวเย็น เชิญตามสบายเถอะ” พูดอะไรที่เขายอมรับได้ อย่าพูดในสิ่งที่เขารับไม่ได้

เมื่อเดือนก่อน พ่อแม่ลูกมาทะเลาะกันแหลกลาญอยู่ตรงหน้าอาตมาเลย ลูกหนีเข้าวัดไปบวชชี นั่งภาวนา..กูจะไปพระนิพพาน พ่อกับแม่ก็ไปด่า ๆ ๆ “ลูกของเอ็งเรียนอนุบาล ๒ อยู่ พ่อแม่ทำงานอยู่ทุกวันแล้วใครจะไปส่งลูกเอ็ง” อีกฝ่ายก็ว่า “ก็ช่างหัวมัน เดี๋ยวก็ต่างคนต่างตายแล้ว” โอ้พระเจ้า..! ช่างเข้าถึงธรรมเหลือเกิน..! นี่แหละ..คือการที่เราปฏิบัติธรรมโดยที่ขาดปัญญาจริง ๆ

พูดกันคนละภาษาแล้วจะไปกันได้อย่างไร ? คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็มองศาสนาในแง่ร้ายไปเลย “สอนให้ลูกกูเป็นบ้า..!” คนเป็นลูกก็คิดว่า “แม่เราเข้าวัด ไม่มีเวลาอยู่ดูแลเราเลย พวกหัวโล้น ๆ ห่มเหลือง ๆ นี่แหละเอาแม่เราเข้าวัด เกลียดมัน” เจ๊งเลย..เราจะเห็นว่าสิ่งที่เราทำ.. อย่างที่เคยบอก เผลอเมื่อไรเราก็วางแล้ว แต่เราไปวางใส่หัวคนอื่นเขา จึงต้องใช้ปัญญาพิจารณาให้มาก ๆ ไว้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 17-09-2013 เมื่อ 07:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 60 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #17  
เก่า 16-09-2013, 08:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระพุทธเจ้าตรัสว่า สิปปัญจะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง การมีศิลปะจัดเป็นอุดมมงคลสูงสุด ศิลปะอย่างหนึ่งที่สำคัญก็คือศิลปะในการดำรงชีวิต ศิลปะในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นโดยให้มีการกระทบกระทั่งให้น้อยที่สุด ศิลปะที่จะรักษาตัว รักษาวาจา รักษาใจของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อที่เราจะได้มุ่งตรงสู่เป้าหมายของเรา โดยไม่ต้องไปประกาศบอกใครเขา

อาตมาเองก็ไม่ได้ประกาศบอกใคร สมัยก่อนไปวัดท่าซุง น้อง ๆ ตามไปเป็นกุรุสเลย ผู้หญิงล้วน ๆ อาตมาก็ไม่ได้บอกเขาหรอก ไปของเราเรื่อยเปื่อย ถึงเวลาโกนหัวเข้าวัดเขาช็อกกันหมด อาตมารู้ว่าตัวเองทำอะไร เพื่ออะไร ในเมื่อเขาต้องการการสงเคราะห์ ไปกับเราแล้วมีความปลอดภัยมากขึ้น เพราะอย่างน้อยในกลุ่มก็มีผู้ชายคอยดูแลอยู่ แต่เรารู้ว่าตอนนี้เราทำอะไร เพื่ออะไร เป้าหมายของเราแน่วแน่ไม่แปรผัน มีวิมังสาทบทวนแล้วทบทวนอีก ท้ายที่สุดก็มั่นใจนี่คือเวลาของเราแล้ว

ส่วนยายหนูนั่นหนีเข้าวัด โกนหัวบวชชี ทิ้งหนี้ไว้ให้พ่อกับแม่ล้านกว่าบาท เพราะว่าไปทำกิจการที่เกาะสมุยแล้วเบื่อขึ้นมา ก็ทิ้งงานไปบวชเลย ไม่มีคนบริหารก็เจ๊งนะสิ หาจังหวะที่ดีกว่านั้นได้ไหม ? ไปแบบที่คนอื่นเขาว่าเราไม่ได้ แหงนหน้าก็ไม่อายฟ้า ก้มหน้าก็ไม่อายดิน อย่าให้เขาบอกว่า อกหัก หลักลอย คอยงาน สังขารเสื่อม เอือมเจ้านาย ยายให้บวชแก้บน เลยเข้าวัด เข้าไปทั้งทีให้เข้าแบบคนประสบความสำเร็จ จะได้มีคุณค่าน่าเชื่อถือหน่อย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-09-2013 เมื่อ 09:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 65 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #18  
เก่า 18-09-2013, 08:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อาตมาเองถือว่าออกมาจังหวะที่ดี รับราชการก็ ๒ ขั้นทุกปีจนเจ้านายต้องขอให้เว้น เพราะจะผิดระเบียบ ทำการทำงานหน้าที่ก็มั่นคง ส่งน้องเรียนส่งหลานเรียน พ่อแม่ก็ได้ดูแล ดูแลพ่ออยู่ ๖ ปีเต็ม ๆ จนตายคามือไปเลย..! ดูแลแม่อีก ๓ ปีเต็ม ๆ จนกระทั่งแม่แข็งแรงดีก็บ๊ายบาย..ไปบวชได้แล้ว ถ้าอย่างนี้ใครเขาจะว่าเราได้ เพราะหน้าที่ก็ได้ทำเต็มที่แล้ว จะว่า..ก็ไม่กล้าอ้าปากหรอก กลัวโดนด่าคืน..!

การอยู่ในโลกของเรา ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติธรรม ทางธรรมกับทางโลกมักจะสวนกัน ทำอย่างไรที่เราให้เขารู้สึกว่าเราไปทางเดียวกับเขา อย่าไปเดินสวนกับเขา ให้เดินถอยหลัง ถ้าเดินถอยหลังนี่เราจะหันหน้าไปทางเดียวกับเขา แต่เรากับเขาจะห่างกันไปเรื่อย ๆ กว่าเขาจะรู้เราก็ไปแล้ว อย่าตรงจนเกินไปนัก เถรตรงเดี๋ยวจะเหมือนกับเถรที่ถึงเวลาเดินไปติดต้นไม้ก็ปีนขึ้นยอด นั่นตรงจนเกินไป ระยะเวลาที่เหมาะที่สม ที่สมควรของแต่ละคนไม่เท่ากัน พิจารณาดูให้ดี ๆ

ขอยืนยันว่า การอยู่วัดอยู่ลำบากมาก สถานที่ดีขนาดไหน ครูบาอาจารย์ดีขนาดไหน คนอยู่วัดก็ยังคงเป็นคน รัก โลภ โกรธ หลงท่วมหัวเหมือนกับข้างนอกทุกแห่ง อยู่ที่ใครวางได้มากกว่ากันเท่านั้น พอถึงเวลาถ้าเอากิเลสไปชนกิเลสก็พังบรรลัยหมด ทำอย่างไรที่เราจะเป็นลิง ๓ ตัว ปิดหู ปิดตา ปิดปาก รับเอาเรื่องที่ทำให้เราเดือดเนื้อร้อนใจเข้ามาให้น้อยที่สุด ตาสักแต่ว่าเห็น หูสักแต่ว่าได้ยิน จมูกสักแต่ว่าได้กลิ่น ลิ้นสักแต่ว่าได้รส กายสักแต่ว่าสัมผัส อย่าให้เป็นโทษแก่ใจของเรา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-09-2013 เมื่อ 09:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 56 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #19  
เก่า 18-09-2013, 08:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สภาพจิตของเราทุกคน ต้นทุนเท่ากับบุคคลที่ทรงฌาน ๒ ละเอียด คือเทียบเท่าอาภัสสราพรหม ต้นทุนเราสูงขนาดนั้นแล้ว แต่ว่าโดนกิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรม พอกพูนทับมาชั้นแล้วชั้นเล่า ชาติแล้วชาติเล่า จนดำปี๋ มืดตื้อ หาทางไปไม่เจอ เหมือนอย่างกับวัวตาบอดเดินวนหลัก หลุดจากวัฏสงสารไม่ได้สักที

เราก็มาขัดมาถูสภาพจิตใจของเรา ให้ค่อย ๆ ผ่องใสขึ้นมา เริ่มรู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว โปรดระมัดระวังสุดชีวิต..! งานที่เราทำมาด้วยความเหนื่อยยาก อย่าให้พังลงไปง่าย ๆ เราไปรับเอาของที่เป็นโทษทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เข้ามา สภาพจิตของเราก็จะมืดบอดต่อไป แล้วเราก็จะกลายเป็นวัวตาบอด..หลงทางต่อไป

ฉะนั้น...หน้าที่ของการประคับประคองรักษากำลังใจจึงเป็นหน้าที่ ๆ สำคัญที่สุด แต่ต้องมีศิลปะด้วย ว่าการอยู่ในโลกนี้เราจะประคองรักษากำลังใจอย่างไร ถึงจะผ่องใสอยู่ได้นานที่สุด ที่วันนี้ที่เตือนพวกเราก็คือ เราเป็นนักปฏิบัติ ยิ่งทำต้องยิ่งละเอียดขึ้น อย่าให้กาย วาจา ใจของเราเป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่นเขา ถึงแม้ว่าเหมือนกับตัวเขาทำตัวเองก็เถอะ แต่สาเหตุนั้นมาจากเรา ดังนั้น..โปรดเมตตาเขาหน่อยเถิด


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
โอวาทช่วงบวชเนกขัมมะ รุ่นที่ ๖/๒๕๕๖ ณ วัดท่าขนุน
๒๐ - ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๖

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-09-2013 เมื่อ 09:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 58 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:52



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว