กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #21  
เก่า 26-11-2009, 13:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,118 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเรื่องของบุญ ญาติโยมจำนวนมากเคยทำบุญด้วยความปีติอิ่มเอิบใจ ทำเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อไม่หน่าย แต่พอมาระยะหลังรู้สึกว่า ทำไมมันเฉย ๆ กำลังใจมันลดลงหรืออย่างไร? ขอยืนยันว่าไม่ได้ลดลงนะจ๊ะ เพียงแต่ว่าตอนที่ทำด้วยความปลาบปลื้ม มันเป็นตัวปีติในทาน แต่ว่าหลังจากที่ทำไประยะหนึ่งเกิดความเคยชิน เขาเรียกว่า อุเบกขาในจาคานุสติกรรมฐาน ก้าวข้ามความยินดีไปแล้ว

ขอให้สังเกตว่าแม้ว่าจะเฉย ๆ ในการทำทานก็ตาม แต่เราก็ยังทำด้วยความเต็มใจ สละออกได้ด้วยความเป็นปรกติของเรา ดังนั้นท่านทั้งหลายกำลังใจไม่ได้ลดลง นานไป ๆ ก้าวขึ้นสู่ในระดับที่สูงขึ้นไป ถ้าเกาะท้ายด้วยอุเบกขาบารมีในจาคานุสติอย่างเดียว ท่านทั้งหลายจะก้าวเข้าสู่ในขอบเขตของความเป็นพระอริยเจ้าได้ง่ายมาก


อุเบกขาในจาคานุสตินั้น ก็คือการที่เราเห็นในสิ่งที่เป็นบุญเป็นทาน แล้วเราก็ยิ่งเร่งทำ ทำแล้วก็ไม่ได้ไปคิดว่าจะได้ผลอย่างไร ทำแล้วก็ไม่ได้คิดว่าเขาจะเอาไปใช้อย่างไร ทำแล้วก็ปล่อยวางไปใส่ใจในเรื่องอื่น รู้ว่าเป็นสิ่งที่ควรก็ทำ ถ้าวางกำลังใจลักษณะอย่างนี้ได้ กำลังใจก็จะสูงขึ้นอีกมาก


หลายต่อหลายท่าน ทำทานแล้วไม่สามารถจะปล่อยวางได้ ยังตามดูอยู่ ยังตามไปเฝ้า ว่าเขาได้ใช้ ได้ฉัน ในสิ่งที่เราถวายไปหรือไม่ กำลังใจประเภทนั้นท่านบอกว่าอ่อนมาก ยังเป็นกำลังใจที่พ้นจากกามาวจรไม่ได้ พูดง่าย ๆ ว่า เวียนตายเวียนเกิดอยู่ ดังนั้นท่านทั้งหลายต้องปรับกำลังใจของตน ให้ก้าวขึ้นสู่ระดับที่สูงกว่านั้น

หลายท่านก้าวสู่ระดับนั้นแล้วก็ไม่ทราบว่าตัวเองทำได้ ดังนั้นในเรื่องของการปฏิบัติธรรมทุกระดับชั้น ถ้าไม่มีอุเบกขาในหลักธรรมนั้น ๆ การเข้าถึงความดีของเราจะเข้าถึงที่สุดได้ยาก เป็นเรื่องที่ทุกท่านควรจะสังวรและพิจารณาดู ว่ากำลังใจของตนเองนั้นเป็นอย่างไร
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 26-11-2009 เมื่อ 13:06
สมาชิก 146 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #22  
เก่า 26-11-2009, 17:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,118 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเรื่องของพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงฝากพระพุทธศาสนาไว้กับพุทธบริษัททั้ง ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา

ในปัจจุบันนี้สำหรับประเทศไทยเรา ถือว่าภิกษุณีบริษัทจบสิ้นไปแล้ว ที่มีอยู่ก็เป็นของทางสายมหายาน ทางสายเรามีแม่ชีมาแทน ในส่วนของแม่ชีนั้นถ้าว่าไปแล้วจัดว่าเป็นอุบาสิกาพิเศษที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเป็นแห่งแรกในโลก เนื่องจากว่าหลังการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๓ แล้ว พระเจ้าอโศกมหาราชทรงส่งสมณทูตออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็น ๙ สาย ตามแคว้นต่าง ๆ ในสมัยนั้น สายที่ ๘ ซึ่งนำโดยพระโสณะและพระอุตตระเถระ ได้มาเผยแผ่พระพุทธศาสนายังสุวรรณภูมิ ซึ่งในยุคนั้นเขตสุวรรณภูมิมีศูนย์กลางอยู่ที่เขตราชบุรี เพชรบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรีและนครปฐม รวมกัน เรียกว่าเมืองทวาราวดี

ในครั้งนั้นเมื่อท่านเผยแผ่พระศาสนาแล้ว เป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสของญาติโยมเป็นจำนวนมาก ฝ่ายชายก็ขอบวชเป็นพระภิกษุ ฝ่ายหญิงก็ต้องการบวชเป็นภิกษุณี แต่เนื่องจากพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติเอาไว้ว่า การบวชภิกษุณีนั้นต้องบวชในสงฆ์ทั้งสองฝ่าย คือ ญัตติในฝ่ายของภิกษุณีแล้วให้มาญัตติในฝ่ายของภิกษุสงฆ์อีกครั้งหนึ่ง คณะที่เดินทางมานั้นประกอบด้วยพระมหาเถระ ๕ รูป ไม่มีภิกษุณีที่เป็นปวัตตินี คือ อุปัชฌาย์มาด้วย จึงไม่สามารถทำการบวชภิกษุณีได้ พระโสณะเถระจึงได้ทำการแก้ไข โดยการให้บวชเป็นนักบวชหญิง โกนหัว นุ่งขาวห่มขาว ถือศีลแปด เพื่อรอว่าถ้ามีภิกษุณีมาแล้ว ก็จะได้ทำการบวชอย่างถูกต้องตาม

การบวชนั้นจึงเป็นการเกิดแม่ชีขึ้นครั้งแรกในโลก ในเขตของทวาราวดีซึ่งปัจจุบันคือเขตของประเทศไทย สำนักแห่งแรกที่ให้แม่ชีอยู่รวมกันเพื่อปฏิบัติธรรมนั้น อยู่ในเขตจังหวัดราชบุรี ชื่อว่า สำนักประชุมนารี ปัจจุบันนี้ก็ยังมีอยู่ แสดงว่าสืบทอดมาประมาณสองพันปีเศษ ๆ แล้ว

ในเมื่อบ้านเราไม่มีภิกษุณีแต่มีแม่ชีแทน ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่ง เป็นตัวแทนของภิกษุณีบริษัท เมื่อพระพุทธเจ้าทรงฝากพระศาสนาไว้ในส่วนของพุทธบริษัททั้ง ๔ ก็แปลว่า ไม่ว่าจะพระ เณร แม่ชี หรือฆราวาสชายหญิงก็ตาม ทุกท่านล้วนแล้วแต่มีหน้าที่ในการค้ำจุนเกื้อกูลศาสนาให้เจริญถาวรสืบต่อไป จนกว่าจะครบห้าพันปี
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 26-11-2009 เมื่อ 19:41
สมาชิก 135 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #23  
เก่า 27-11-2009, 00:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,118 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วิธีที่จะทำให้พระพุทธศาสนาเจริญถาวรครบถ้วนห้าพันปีนั้น ที่สำคัญที่สุดก็คือ พุทธบริษัททั้งหมดจะต้องยึดถือตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและทำให้ได้ผล ทำให้เกิดผล เมื่อตัวเราทำได้เกิดผลแล้วจะสร้างศรัทธาขึ้นในหมู่ของผู้คนที่อยู่รอบข้าง เมื่อถึงเวลาเราจะพูดจะทำอะไรก็ตาม ก็จะเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์น่าเชื่อถือ เพราะว่าทำได้เองแล้ว

ดังนั้น...ท่านทั้งหลายที่ร่วมกันมาทำบุญกฐินในวันนี้ กำลังใจในส่วนที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนเราไว้นั้นมีศีล สมาธิ ปัญญา สามส่วนด้วยกัน พวกเราถือว่าเป็นบุคคลที่ตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ในส่วนของสมาธิก็มีการปฏิบัติภาวนาเป็นปรกติ แม้ว่าจะทรงตัวบ้างไม่ทรงตัวบ้าง ก็เหลืออยู่อย่างเดียวว่าทำอย่างไรจะให้มีปัญญา เห็นให้ได้ว่าการเกิดมานี่เป็นทุกข์ การดำรงชีวิตอยู่นี้มีแต่ความทุกข์ ขึ้นชื่อว่าความทุกข์เช่นนี้เราไม่พึงปรารถนาอีก เราต้องการพระนิพพาน ถ้าสามารถรักษากำลังใจอย่างนี้ได้ ก็แปลว่าท่านทั้งหลายก้าวเข้าใกล้ความดีในส่วนที่พึงจะได้ของตนแล้ว แต่ว่ายังไม่แน่นอน

เนื่องจากการทำความดีทั้งหลายของเรานั้น ปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่ก็คือเราทำเฉพาะตอนนั่งกรรมฐานเท่านั้น หลังจากเลิกกรรมฐานแล้วเราไม่ได้กระทำต่อ ก็มาคิดว่าเรานั่งกรรมฐานนานวันละเท่าใด ถ้าเช้าครึ่งชั่วโมง เย็นครึ่งชั่วโมงก็แปลว่าเราทรงความดีอยู่วันละหนึ่งชั่วโมง อีกยี่สิบสามชั่วโมงเราขาดทุนตลอดเวลา การปฏิบัติความดีนั้นเป็นการทวนกระแสโลก เหมือนกับว่ายน้ำเราว่ายทวนกระแสน้ำ ถ้าหากว่าวันหนึ่งเราว่ายน้ำหนึ่งชั่วโมงแล้วปล่อยตามน้ำอีกยี่สิบสามชั่วโมง ท่านคิดว่าจะได้ระยะทางที่เป็นกำไรขึ้นมาหรือว่ายังขาดทุนอยู่? หรือสามารถตอบได้อย่างไม่ต้องคิดว่าขาดทุนแน่นอน เพราะว่าได้หนึ่งชั่วโมงขาดทุนยี่สิบสามชั่วโมง

ดังนั้น...ในส่วนที่ทุกท่านจำเป็นจะต้องทำให้ได้ก็คือ เมื่อรักษากำลังใจให้ทรงตัวได้แล้ว ทำอย่างไรจะประคับประคองอารมณ์นั้นให้อยู่กับเราทั้งวันได้ ก็คือ การใช้สติ สมาธิและปัญญาจดจ่ออยู่เฉพาะหน้า ประคองรักษากำลังใจของเราเอาไว้ โดยไม่ปล่อยให้หลุดไปสู่อารมณ์อื่น ๆ ถ้าท่านทั้งหลายสามารถทำได้ดังนี้ ก็จะทำให้กำลังใจของเรามีความผ่องใสมากขึ้น ตามระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น แรก ๆ เราไม่ชำนาญอาจจะ ๓ นาที ๕ นาทีก็หลุดหายหมดแล้ว แต่ถ้ามีความชำนาญมากขึ้น ประคับประคองได้นานขึ้น ก็จะได้ ๑๐ นาที ๑๕ นาที ๒๐ นาที ครึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมง มากขึ้นตามระยะเวลา ท้ายสุดก็จะได้เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี

จิตใจของเรายิ่งผ่องใสกับการภาวนามากเท่าไหร่ ปัญญาก็จะเกิดได้ง่าย การพิจารณาตัดกิเลสต่าง ๆ ก็สามารถรู้เห็นได้ชัดเจนแจ่มใสและมีกำลังเพียงพอที่จะตัดกิเลสได้ง่าย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 27-11-2009 เมื่อ 00:35
สมาชิก 121 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #24  
เก่า 27-11-2009, 00:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,118 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ท่านทั้งหลายที่ร่วมกันมาทำบุญกฐินในวันนี้ ถือว่าท่านเป็นคนที่มี ปุพเพกตปุญญตา คือ บุญเก่าอันเราสร้างเสริมไว้ดีแล้ว ก็เหลืออยู่อย่างเดียวว่าในปัจจุบันนี้ เราจะสร้างเสริมกำลังใจไปในด้านใด ถ้าสามารถรักษากำลังใจในด้านศีล สมาธิ ปัญญาของเราเอาไว้ได้ ก็แปลว่าโอกาสหลุดพ้นของเรานั้นมี ถ้ารักษาไม่ได้ก็ยังห่างไกลอยู่

คราวนี้การรักษากำลังใจนั้น ถ้าเป็นลูกหลานของหลวงพ่อวัดท่าซุงที่ปฏิบัติมาจริง ๆ จะเป็นเรื่องง่าย ง่ายเพราะว่าเราสามารถแบ่งกำลังใจออกเป็นสองส่วนได้ง่าย ส่วนหนึ่งประมาณ ๑๐-๒๐ % นั้นจดจ่ออยู่กับภาพพระ อยู่กับพระนิพพาน หรืออยู่กับลมหายใจเข้าออกของเรา อีกส่วนหนึ่งที่ประมาณ ๘๐-๙๐ % นั้น เราก็ทำหน้าที่การงานของเราไปตามปกติ ลักษณะก็จะเคลื่อนไหวไปตามกระแสโลกแต่ไม่ได้ไหลตามโลกไป กำลังใจจะเหมือนน้ำที่อยู่ในบ่อลึก ๆ ผิวหน้าก็หวั่นไหวไปตามกระแสลมให้คนอื่นเขาเห็น แต่เบื้องล่างนั้นอยู่นิ่งสงบ เย็นมาก ๆ ถ้าใครสามารถทำตรงจุดนี้ได้ ท่านทั้งหลายจะสามารถเอาตัวรอดจากวัฏสงสารนี้ได้ ถ้าทำยังไม่ถึงให้เร่งขวนขวายให้มากไว้ อย่าปล่อยให้เวลาสูญเปล่าไปโดยประมาท เพราะว่าชีวิตของเรานั้นน้อยมาก เมื่อวานนี้ตุ๊พ่อก็ปรารภว่าเวลาเหลือน้อยเหลือเกิน

กำลังใจของเรานั้นโดยปกติแล้วจะไหลตามกระแสโลกได้ง่าย เมื่อเราต้องการความหลุดพ้น ต้องต่อสู้กับกระแสโลกเหมือนกับเราอยู่กลางสายน้ำเชี่ยว ทำอย่างไรที่เราจะตั้งตนให้อยู่กลางกระแสน้ำได้ก่อน นั่นก็คือ ยึดศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหลัก เมื่อสามารถปักหลักได้แล้ว กระแสน้ำจะเชี่ยวขนาดไหนก็ตาม เมื่อพัดมาถึงก็จะแยกออกเป็นสองฝั่งเอง แต่ถ้าหากเป็นหลักแล้วก็ยังไม่มั่นคงเพราะว่าหลักไม่ได้ใหญ่มาก ถ้ากระแสน้ำมากจริง ๆ แรงจริง ๆ อาจจะซัดหลักให้ลอยตามน้ำไปได้อีก

พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า ให้พวกเรามีตัวเองเป็นเกาะ มีตัวเองเป็นฝั่ง ถ้าทำตัวเองเป็นเกาะ...เกาะก็คือแผ่นดินกลางน้ำ น้ำจะซัดมาเท่าไรก็ไม่ไปไหนแน่ เพราะว่าแผ่นดินมันงอกติดพื้นอยู่ ถ้าทำตัวเองเป็นฝั่งก็แสดงว่ามีความมั่นคงกว่าความเป็นเกาะ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะทวนกระแสได้สักเท่าไหร่ เพื่อถึงเวลาแล้วก็ตัดกระแสเข้าสู่ฝั่งไป

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้นั้นล้วนแต่อยู่ในเรื่องของมรรค ๘ ที่ย่อลงในศีล สมาธิ ปัญญา พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ได้สอนพวกเราไว้หมดแล้ว ขึ้นอยู่กับว่าเราจะปฏิบัติจริงจังแค่ไหน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-11-2009 เมื่อ 03:26
สมาชิก 120 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #25  
เก่า 27-11-2009, 00:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,118 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าเราประมาททิ้งเวลาให้ผ่านไป หลวงพ่อท่านจากเราไปแล้ว ลำดับต่อมาเรายังประมาทว่ายังมีตุ๊พ่อมหาสิงห์อยู่ ยังมีพี่ ๆ น้อง ๆ พระลูกหลานหลวงพ่อวัดท่าซุงอยู่ ถ้าท่านทั้งหลายเหล่านั้นจากไปอีก แล้วเราจะพึ่งใคร...? พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เราพึ่งใคร ท่านบอก อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าเราสามารถพึ่งตนเองได้ ถึงจะมีที่พึ่งอย่างแท้จริง

วันนี้จึงอยากฝากการบ้านให้โยมทุกท่านว่า การปฏิบัติอย่าทำเป็นเล่น ทำเป็นเล่นเมื่อไรเรายังจัดอยู่ในสังโยชน์ข้อสีลัพพตปรามาสอยู่ ศีลเรารู้จัก พรตก็คือหลักการปฏิบัติ ก็คือ ศีลพรตที่เรารักษาและปฏิบัติในลักษณะลูบ ๆ คลำ ๆ ไม่เอาจริงเอาจัง นอกจากจะช่วยเราไม่ได้แล้ว ยังจะซ้ำเติมให้เราสาหัสขึ้นอีก

อย่างเช่นการภาวนา เมื่ออารมณ์ใจทรงตัวแล้ว ก็มีกำลังที่จะมาพิจารณาตัดกิเลสได้ แต่ถ้าเราไม่นำกำลังนั้นมาพิจารณาตัดกิเลส เมื่อคลายออกมา มันจะวิ่งเข้าไปหาความฟุ้งซ่านในรัก โลภ โกรธ หลงของมันเอง คราวนี้ก็จะฟุ้งซ่านเป็นหลักเป็นฐานเป็นงานเป็นการ เพราะมันได้กำลังจากสมาธิมา กลายเป็นมิจฉาสมาธิ ซ้ำเติมเราให้ลำบากยิ่งขึ้น ทำให้กิเลสมีกำลังกล้าแข็งยิ่งขึ้น ดังนั้น..ท่านทั้งหลายที่ปฏิบัติมา ให้ดูตัวเราเองด้วยว่า ทุกวันนี้เราปฏิบัติเพื่อสร้างบุญสร้างบารมีให้เกิด เสริมสร้างปัญญาให้เกิด หรือว่าเราปฏิบัติเพื่อเสริมสร้างกำลังให้กับกิเลสทุกวัน?

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า ธัมมวิจยะ การรู้จักแยกแยะในธรรม จัดเป็น ๑ ในโพชฌงค์ ๗ ประการ ที่เป็นเครื่องช่วยให้เราตรัสรู้หรือบรรลุมรรคผลได้ ธรรมะของพระพุทธเจ้า ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ไม่มีอะไรขัดกันเลยแม้แต่นิดเดียว ทุกข้อสามารถส่งเสริมกันได้หมด แต่ว่าเราทำจริงหรือไม่? ทำเล่น ๆ นอกจากไม่เกิดผลดีแล้ว ยังซ้ำเติมตัวเองให้หนักขึ้นไปอีก

หลวงปู่ปานไปแล้ว หลวงพ่อไปแล้ว หลวงพ่อสิงห์ก็ดี หลวงพ่อพระครูปลัดอนันต์ก็ดี อายุมากขึ้นทุกวัน ๆ หลวงพ่อพระครูปลัดอนันต์อายุก็ร่วม ๖๐ กว่า จะ ๗๐ แล้ว หลวงพ่อสิงห์ของเราก็ ๗๐ กว่าแล้ว ยังอยู่ได้อีกสักกี่วัน ถ้าเรายังไม่เร่งทำตนเองให้มีหลักยึดไว้ ถึงเวลาหลักตรงหน้าหายไป แล้วเราก็จะรู้ว่าคนอื่นไม่ใช่ที่พึ่งของเรา กว่าจะรู้ก็สายไปเสียแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-11-2009 เมื่อ 03:37
สมาชิก 122 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #26  
เก่า 27-11-2009, 11:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,118 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

โดยเฉพาะในความเป็นพระภิกษุสามเณร ในความที่เป็นพระของวัดท่าซุง ญาติโยมทั้งหลายหวังพึ่งพิงมาก เพราะเห็นว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ เห็นว่าเป็นพระวัดท่าซุง เราต้องถามตัวเองว่าทุกวันนี้ทำตัวสมกับเป็นพระวัดท่าซุงหรือยัง?

สมัยที่หลวงพ่อมีชีวิตอยู่ท่านบอกอยู่เสมอว่า ไปไหนแกบอกว่าเป็นพระวัดท่าซุง แกเอาซุงดี ๆ หรือซุงผุ ๆ ไปอวดเขา เราแบกหน้าที่ในการละกิเลสเฉพาะตนไม่พอ ยังแบกศักดิ์ศรีของครูบาอาจารย์ คือความเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อวัดท่าซุงไว้ แบกชื่อเสียงเกียรติคุณของวัดท่าซุงเอาไว้ เรามีการขวนขวายละกิเลสเพียงพอที่จะภาคภูมิใจแล้วหรือยัง? สมกับที่เราเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ สมกับที่เป็นพระวัดท่าซุงหรือยัง?

หลักการพิจารณาของพระท่านบอกว่า
บรรพชิตพึงพิจารณาเนือง ๆ ว่า กาย วาจา ใจ ที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ เราต้องทำ กาย วาจา ใจ เหล่านั้นให้ได้
บรรพชิตพึงพิจารณาเนือง ๆ ว่า คุณวิเศษของเรามีบ้างหรือไม่ เพื่อที่จะไม่เก้อเขินเมื่อเพื่อนสหธรรมิกไต่ถาม

หลวงพ่อเรามีความสามารถเลิศล้นจบฟ้าจบดินขนาดไหน เราได้สักส่วนเสี้ยวของท่านแล้วหรือยัง? มโนมยิทธิที่ถือว่าเป็นวิชาการที่หลวงพ่อท่านภาคภูมิใจ เป็นวิชาการที่ทำให้วัดท่าซุงเป็นวัดท่าซุงอย่างทุกวันนี้ เราฝึกฝนจนมั่นใจ สามารถท้าพิสูจน์ได้แล้วหรือยัง? ไม่ใช่พอเขาถามปุ๊บก็อึกอัก ไปไม่เป็น...กลัวผิด....กลัวอาย ถ้าอย่างนั้นก็เสียทีที่อยู่ในวัด เสียทีที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ

ญาติโยมทั้งหลายตั้งใจหวังพึ่งพิงเรา ตั้งแต่วันแรกที่บวชมาจนบัดนี้ ข้าวปลาอาหารตลอดจนปัจจัยอื่น ๆ ญาติโยมสงเคราะห์มาทั้งนั้น ทุกอย่างที่เรากินเราใช้ เกิดจากแรงศรัทธาของญาติโยมเขา กลายเป็นเลือดเนื้อร่างกาย ตลอดจนสิ่งที่ใช้สอยอยู่รอบตนนั้น ไม่มีอะไรเป็นของเราเลย เป็นสมบัติที่เกิดจากการสร้างสมของโยมเขาทั้งนั้น เราได้ทำอะไรที่ตอบแทนญาติโยมที่เขาส่งเสริมแล้วหรือยัง?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-11-2009 เมื่อ 13:09
สมาชิก 110 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #27  
เก่า 27-11-2009, 11:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,118 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สำหรับวันนี้ฝากเป็นการบ้านสำหรับพระทั้งหลายของเราไว้ ท่านใดที่ปฏิบัติจนมีหลักพิงเพียงพอแล้ว ก็ขออนุโมทนาด้วย แต่ท่านใดที่ยังหลักลอยอยู่ ขอให้รู้ว่านอกจากเรายังเอาตัวไม่รอดแล้ว ยังเป็นการซ้ำเติมตัวเองให้หนักยิ่งขึ้นไป ให้เร่งขวนขวายให้มากกว่านี้

สมัยผมอยู่กับหลวงพ่อ ผมไม่คิดว่าหลวงพ่อจะอยู่ได้ข้ามวัน เพราะว่าหลวงพ่อท่านป่วยหนักเหลือเกิน ผมขวนขวายดิ้นรนอยู่ตลอด เป็นฆราวาสตามหลวงพ่ออยู่ ๖ ปี ได้อะไรมาน้อยมากเพราะหนทางฆราวาสมันคับแคบ เป็นพระอยู่ ๗ พรรษาใต้ร่มบารมีหลวงพ่อ ผมกอบโกยจนกระทั่งผมรู้สึกว่าผมได้น้อย แต่มันกลายมันได้มากในสายตาของคนอื่นเขา

ขอให้ทุกท่านอย่าประมาท เร่งปฏิบัติให้มากไว้ ในความเป็นนักบวชของเรานั้น มันเสี่ยงต่ออบายภูมิเป็นอย่างยิ่ง ลงทุนมาทั้งทีอย่าให้ขาดทุน

สำหรับญาติโยมทั้งหลายก็เช่นกัน ชีวิตฆราวาสนั้นมีโอกาสง่ายกว่าพระ เรามีกฎกติกาแค่ ๕ ข้อ ในการดำรงชีวิต หนทางที่จะไปพระนิพพานของเรามีหล่ม...มีเหวอยู่แค่ ๕ ที่เท่านั้น พยายามหลบเลี่ยงสักนิดหน่อยก็ก้าวพ้นไปได้ง่าย แต่ของพระนั่นมีเหวอยู่ ๒๒๗ แห่ง พลาดเมื่อไหร่ลงทันที ในเมื่อเรามีโอกาสดีกว่าพระก็พยายามที่จะปฏิบัติให้เต็มที่ไว้ อย่าบอกว่าไม่มีเวลา ถ้ายังหายใจได้อยู่ต้องมีเวลา เพราะว่าหน้าที่ของเราคือรู้ตามลมหายใจเข้าออกของเรา รู้ลมหายใจพร้อมคำภาวนาไป

สมัยอาตมาเป็นทหารต้องตื่นตีห้าและนอนสามทุ่ม แต่พอสี่ทุ่มก็โดนปลุกให้ไปฝึกยุทธวิธีรบกลางคืน มานอนอีกทีตีสองตีสาม ตีห้าก็ต้องตื่นแล้ว ชีวิตวนเวียนอยู่อย่างนี้ตลอด ด้วยความที่รู้ว่าการภาวนานั้นดี และถ้าเราไม่ภาวนาให้ต่อเนื่องกิเลสมันกินเราได้ แล้วเราจะดึงกำลังใจคืนได้ยากมาก ก็ต้องสละเวลานอนที่มีเพียงน้อยนิดลุกขึ้นมาภาวนา สมมติว่านอนตีสอง พอถึงตีสามครึ่งก็ต้องลุกขึ้นมาภาวนาแล้ว แปลว่าคืนหนึ่งนอนหนึ่งชั่วโมง หรือชั่วโมงครึ่งเท่านั้น ถ้าหากว่าลำบากหน่อยหนึ่ง เมื่อยหน่อยหนึ่ง หิวนิดหนึ่งเราบอกไม่ไหวแล้ว แล้วเราจะเอากำลังที่ไหนไปต้านพวกกิเลสได้?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 27-11-2009 เมื่อ 11:39
สมาชิก 113 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #28  
เก่า 27-11-2009, 17:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,118 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าหากว่ามันบอกว่าจะตายแล้ว อย่าไปเชื่อกิเลสมัน การปฏิบัติของทุกท่านถ้าทำอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา มันจะเกิดตบะ คือความร้อนในการเผาผลาญกิเลสขึ้นมา มันจะฟุ้งซ่าน มันจะดิ้นรน มันจะหงุดหงิดไปสารพัด บางรายบอกให้เลิกทำ ไม่อย่างนั้นมันจะตายแล้ว ขอยืนยันว่านั่นกิเลสจะตายไม่ใช่เราตาย เวลาที่ท่านฟุ้งซ่านมากที่สุด คือเวลาที่เราใกล้จะบรรลุมากที่สุด กิเลสมันต้องดิ้นรนของมันเต็มที่เพื่อรักษาชีวิตของมันไว้ แต่มันอาศัยอยู่กับกายกับใจของเรา เราก็เลยคิดว่าเราเองต่างหากที่จะตาย กลายเป็นหลงกลและก็ปล่อยมันไปอีก แล้วกิเลสทั้งหลายก็ฟื้นคืนกลับมา มาทำร้ายทำอันตรายเราต่อ

เรื่องของการสู้กับกิเลส เป็นเรื่องของการลงสนามรบ พอ ๆ กับการลงสนามรบกับข้าศึก ไปอ่อน ไปหย่อนเมื่อไรเราตายแน่ โดยเฉพาะเราเป็นทหารในกองทัพธรรมของพระพุทธเจ้า เรียกว่า ธรรมเสนา คนที่เป็นทหารมัวแต่ไปมืออ่อนใจอ่อนให้กับศัตรู นอกจากจะเอาตัวไม่รอดแล้ว ยังพาประเทศชาติล่มจมไปด้วย

ขอให้ทุกคนตั้งกำลังใจให้เข้มแข็งกว่านี้ ทำให้มันจริงจังกว่านี้ เอาให้ระบือลือลั่นไปเลยว่า การเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง แม้จะเหลือเพียงหลักธรรมคำสอนและสังขารของหลวงพ่ออยู่ พวกเราก็เอาดีได้ อย่าให้สายกรรมฐานสายอื่นเขาดูถูก ว่าลูกศิษย์สายหลวงพ่อเราคับแคบ ไม่มีความสามารถอย่างแท้จริง ดีแต่คุยเท่านั้น ถ้าหากว่าเป็นอย่างที่เขาว่า นอกจากตัวเราจะต้องอับอายขายหน้าแล้ว หลวงพ่อที่ท่านล่วงลับไปแล้วยังต้องขายหน้าที่มีลูกศิษย์แย่ ๆ อย่างเรา

การบ้านที่ฝากไว้ในวันนี้ไม่ถือว่าหนักเกินไป ขอให้ทุกคนตั้งใจทำจริง ๆ ถ้าหากทำจริง ปฏิบัติดีจริง ขอบอกว่าไม่มีคำว่าสาย ทำเมื่อไรก็ดีเมื่อนั้น ทำเมื่อไรก็เป็นคุณแก่ตัวเท่านั้น หลวงพ่อพระครูปลัดอนันต์ท่านอายุมากแล้ว ตุ๊พ่อมหาสิงห์ของเราก็อายุมากแล้ว จะอยู่เป็นขวัญกำลังใจให้พวกเราได้นานอีกสักเท่าไรก็ไม่รู้ ถ้ายังไม่เร่งขวนขวายทำความดีให้มากไว้ ถ้าท่านไปอีก....แล้วเราจะไปเกาะใคร?

ให้ทุกคนคิด ตรอง และปฏิบัติให้จริงจัง อาตมาเชื่อว่าถ้าเราทำจริง อาศัยกำลังใจของทหารเก่า ที่เคยอยู่ในกองทัพของหลวงพ่อท่านมาก่อน แม้ว่าเราตอนนี้มาอยู่ในกองทัพธรรม ก็อย่าทิ้งลายทหารไป ทุ่มเทให้มากเข้าไว้ แม้จะตายก็ช่างมัน เราปฏิญาณตนกันว่า อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปริจจะชามิ ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิตต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่ชีวิตก็ต้องสละได้เพื่อแลกกับมัน ในเบื้องต้นวันนี้ก็ฝากญาติโยมทั้งหลายไว้แต่เพียงเท่านี้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-11-2009 เมื่อ 03:32
สมาชิก 112 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #29  
เก่า 27-11-2009, 17:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,118 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

โบราณท่านว่า เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง ลองเอาไปตีความดูว่าเป็นอย่างไรนะจ๊ะ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
สมาชิก 112 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #30  
เก่า 28-11-2009, 08:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,118 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเรื่องของหนี้สงฆ์นั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง เคยยกตัวอย่างอาจารย์ทิม จะเป็นพระอาจารย์ทิมวัดไหนก็ช่าง ท่านบอกว่าพระอาจารย์ทิมทำแต่ประโยชน์ในพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะการก่อสร้าง แต่ว่าท่านเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ไม่มีเงินส่วนตัวก็เลยเอาเงินที่ใช้ในการก่อสร้างจำนวน ๖๐ บาท ไปซื้อยาเพื่อรักษาตัวเอง ปรากฏว่าตายไปเสียก่อน เงิน ๖๐ บาทจึงไม่ได้คืนสงฆ์

พระยายมราชท่านให้ยมทูตมาตามหลวงพ่อวัดท่าซุง บอกให้ไปดูหน่อย ไปถึงก็เห็นท่านอาจารย์ทิมโดนโซ่ล่าม พอสอบถามแล้วปรากฏว่า ท่านเอาเงินสงฆ์ไปใช้เพื่อซื้อยารักษาโรค ๖๐ บาท ยังไม่ได้ใช้คืนก็ตายก่อน ก็เลยติดหนี้สงฆ์ซึ่งการติดหนี้สงฆ์นั้นลงอเวจีอย่างเดียว

ญาติโยมทั้งหลายที่ไปตามวัดตามวาก็ดี ไปกินไปใช้หรือไปหยิบฉวยข้าวของอะไรมาก็ตาม ขอให้ทราบว่าโอกาสที่เราจะติดหนี้สงฆ์มีสูงมาก ต้องระมัดระวัง


หลวงพ่อท่านก็บอกว่าถ้า ๖๐ บาทผมใช้ให้เอง ควักให้เดี๋ยวนี้เลยก็ได้ พระยายมท่านบอกว่าไม่ได้ ถ้าลงมาถึงระดับนี้ต้องแก้ไขอีกวิธี ถามว่าแก้ไขวิธีไหน บอกว่าต้องสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ให้ หลวงพ่อท่านก็ยอม เพราะเห็นว่าพระอาจารย์ทิมท่านเป็นพระดี ทุ่มเทการก่อสร้างเพื่อส่งเสริมพระพุทธศาสนา ท่านก็รับปาก พอรับปากโซ่ก็หลุดออกมา ท่านนึกถึงความดีก็กลายเป็นเทวดา มีเครื่องทรงสวยแพรวพราวและก็ไปยังวิมานของท่านเอง

นี่เป็นเงิน ๖๐ บาทและเป็นเงินที่ท่านไม่ได้ตั้งใจโกง ตั้งใจว่าไปซื้อยารักษาโรคถ้าหากว่าได้เงินส่วนตัวมาจะไปคืน อาตมาอยู่วัดท่าซุง พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านสอนว่า แม้โยมเขาถวายเงินมาแล้วบอกว่าเป็นส่วนตัว แกก็อย่าคิดเป็นอันขาดว่านั่นเป็นเงินส่วนตัว เขาถวายก็เพราะเราบวชเป็นพระ ดังนั้นถ้าเป็นเงินส่วนตัวที่โยมถวายมา ให้ใช้ในสิ่งที่สมควรต่อสมณสารูปเท่านั้น อย่างเช่นเป็นค่ารถ ค่าอาหารหรือช่วยเหลือผู้ที่ลำบากตกทุกข์ได้ยาก หรือจ่ายเป็นเงินค่ายารักษาโรค เป็นต้น ถ้านอกเหนือจากนั้นแล้วให้ผลักเข้าในกองบุญการกุศล เพื่อเพิ่มกุศลให้แก่ผู้ที่ถวายเรามา ท่านบอกว่าตราบใดที่แกยังบวชอยู่ คำว่าส่วนตัวอย่าให้มีเป็นอันขาด ก็แปลว่าต่อให้แยกเป็นเงินส่วนตัวก็ตาม เราต้องคิดอยู่เสมอว่านั่นเป็นเงินสงฆ์
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 28-11-2009 เมื่อ 09:43
สมาชิก 112 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #31  
เก่า 28-11-2009, 08:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,118 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สมัยที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ ท่านบอกว่า "คนอื่นติดหนี้สงฆ์ แต่สำหรับข้าแล้วสงฆ์ติดหนี้ข้า" ก็สงสัยว่าเป็นเพราะอะไร หลวงพ่อบอกว่า เงินที่เขาถวายส่วนตัวท่านมาหลายล้าน ท่านลงเอาไปก่อสร้างหมด เพราะฉะนั้นสงฆ์เป็นหนี้หลวงพ่อเยอะ

ปัจจุบันนี้อาตมาก็เริ่มเลียนแบบปฏิปทาครูบาอาจารย์แล้ว เมื่อออกจากวัดท่าซุงไปอยู่ที่เกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ ๘ เดือนแรกก็ทำงานตามที่ท่านสั่ง ปรากฏว่ามีอยู่วันหนึ่ง พอทำวัตรเช้าเสร็จหลวงพ่อท่านก็มาหา
ท่านถามว่า "แกมีเงินส่วนตัวเท่าไหร่" ก็กราบเรียนท่านไปด้วยความภูมิใจว่า
"ไม่มีสักบาทเดียวเลยครับ ผมทำเงินส่วนตัวเป็นเงินสงฆ์หมด"
"ถ้าอย่างนั้นแกใช้เพื่อสงฆ์ไปเท่าไหร่"
"ไม่ทราบครับ" ก็คือ ตอบไม่ได้
"แกใช้ส่วนตัวไปเท่าไหร่"
"ไม่ทราบครับ"

ตอบไม่ทราบเท่านั้นแหละ ไม้เท้าลงหัวเปรี้ยง ! "ไปรื้อบัญชีทำใหม่เดี๋ยวนี้ เงินทุกบาททุกสตางค์รับมาจากใคร จ่ายไปในเรื่องไหน ถ้าคนเขาตรวจสอบ แกต้องชี้แจงได้"

โห....ผ่านมา ๘ เดือนแล้วไปทำบัญชีใหม่ อาตมานั่งทำไปเลย ๑ อาทิตย์ กว่าจะแก้ไขเสร็จ ดังนั้นถ้าใครไปดูบัญชีเงินสงฆ์ของอาตมาและบัญชีเงินส่วนตัวจะเห็นว่ามันไม่เท่ากัน ก็คือบัญชีเงินส่วนตัวมันขาดไปแปดเดือน เพราะไม่สามารถจะแยกแยะได้ อาตมาก็เลยตัดใจยกให้สงฆ์ทั้งหมด เริ่มต้นเดือนที่เก้าเป็นเดือนแรกของเงินส่วนตัว มาจนถึงทุกวันนี้ โยมจะเห็นว่าพระที่ปฏิบัติจริง ๆ อย่างหลวงพ่อ นอกจากท่านจะรู้เห็นแล้วท่านยังรู้จริงด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-11-2009 เมื่อ 13:10
สมาชิก 114 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #32  
เก่า 28-11-2009, 08:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,118 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในส่วนของการเป็นหนี้สงฆ์นั้น ถ้าหากว่าใครเป็นหนี้สงฆ์อยู่ หรือคิดว่าตนเองจะเป็นหนี้สงฆ์ หลวงพ่อท่านแนะนำว่ามีวิธีการชำระหนี้สงฆ์อยู่ ถ้าเราเคยนำข้าวของจากวัดไป แล้วนึกได้ว่าเอาอะไรไปบ้าง ของนั้นปัจจุบันราคาเท่าไหร่ให้ใช้ในราคาปัจจุบัน

อย่างเช่นว่าแก้วน้ำใบนี้ เราเอาไปเมื่อสิบปีก่อน ตอนนั้นอาจจะใบละห้าบาท แต่ว่าวันนี้ราคายี่สิบบาท ถ้าเราจะชำระหนี้สงฆ์ต้องชำระในราคายี่สิบบาท คือราคาปัจจุบัน แปลว่าให้ซื้อแก้วคืนได้ใบหนึ่ง

วิธีที่สองถ้านึกไม่ได้ ท่านบอกให้สร้างพระประธานเพื่อชำระหนี้สงฆ์ พระประธานที่จะชำระหนี้สงฆ์ได้นั้น หน้าตักต้อง ๔ ศอกขึ้นไป คำว่า ๔ ศอกก็คือ ๑ วา , คือ ๒ เมตร, คือ ๘๐ นิ้ว ถ้าได้พระประธานหน้าตัก ๔ ศอกขึ้นไป จะมีอานิสงส์ชำระหนี้สงฆ์ในอดีตได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะมากมายมหาศาลขนาดไหนก็ตาม

ต่อให้พระชำระหนี้สงฆ์พร้อมปิดทองในปัจจุบันสามารถสร้างได้ในราคาสามแสนบาท แต่ถ้าเอาของวัดไปเป็นล้านก็ชำระได้ เพราะว่าพุทโธอัปปมาโณ พระพุทธเจ้ามีคุณประมาณไม่ได้ เราสร้างพระพุทธรูปขึ้นมา อานิสงส์จะมหาศาลขนาดนั้น แต่อาตมาว่าเพื่อความยุติธรรมก็สร้างให้ใกล้เคียงกับราคาที่เราเอาไปเสียหน่อย

การสร้างพระชำระหนี้สงฆ์นั้นถ้าเป็นพระไม่ได้ปิดทอง จะได้เฉพาะเจ้าภาพองค์เดียว มีอานิสงส์ในการชำหนี้สงฆ์คนเดียว คนอื่น ๆ ไม่ได้ แต่ถ้าพระหน้าตัก ๔ ศอกแล้วปิดทอง จะมีอานิสงส์ชำระหนี้สงฆ์ได้ทุกคน แม้ว่าจะร่วมกันกี่หมื่นกี่แสนคนก็ตาม ถ้าท่านใดกลัวเป็นหนี้สงฆ์เดี๋ยวเดินเข้าไปในถ้ำ(ป่าไผ่) จะเห็นตุ๊พ่อท่านสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ไว้ เราก็ไปหยอดตู้ร่วมเป็นเจ้าภาพ ก็จะทำให้พ้นได้จากอดีตมาจนถึงวันนี้ ถ้าหลังจากหยอดตู้เสร็จแล้วไปคว้าอะไรไปก็เป็นหนี้ต่อไป แต่ว่าบรรดาวัตถุมงคลที่ท่านมอบให้เป็นที่ระลึกนั้นถือว่าท่านมอบให้ ไม่ได้เป็นหนี้สงฆ์นะจ๊ะ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 28-11-2009 เมื่อ 09:45
สมาชิก 119 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #33  
เก่า 28-11-2009, 08:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,118 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในส่วนงานกฐินที่วัดท่าซุงนั้น ช่วงก่อนงานกฐิน ทางเจ้าหน้าที่ของวัดที่รับผิดชอบเกี่ยวกับไทยธรรมของกฐิน ก็จะขนบรรดาเครื่องสังฆทานและผ้าไตรมา เพื่อเตรียมเอาไว้ให้ญาติโยมทั้งหลายได้ผาติกรรมแล้วนำไปถวายเป็นองค์กฐิน

พวกเราก็คำนวณกันว่า ในแต่ละงานนั้นถ้าหากมีสังฆทานพร้อมผ้าไตรสามร้อยชุด จะเพียงพอในการเวียน แล้วมีกฐินอยู่ปีหนึ่ง ก่อนอาตมาออกจากวัดไม่นานหรอก ปรากฏว่าอยู่ ๆ มันขาด ไม่พอหมุนเวียน ทั้ง ๆ ที่คนก็ไม่ได้มากกว่าปีอื่น ๆ ในที่สุดก็ได้ความว่ามีญาติโยมคณะหนึ่งมาจากไหนไม่ทราบ มากันสามคันรถบัส เห็นว่าผ้าไตรและเครื่องสังฆทานราคาถูกดี และให้บูชาได้ ก็จัดแจงผาติกรรมและขนขึ้นรถกลับบ้านไปเลย อันนั้นตามไปทวงคืนก็ไม่ได้ และเขาก็ไม่เป็นหนี้สงฆ์ด้วยเพราะเขาชำระแล้ว เป็นงานแรกที่อาตมารู้สึกหน้าแตกยับเยินเลย

ตอนนั้นหลวงพี่วิรัช (พระปลัดวิรัช โอภาโส) ท่านดูแลในเรื่องของวัตถุมงคล เราก็วิ่งมาบอกกล่าวเรื่องนี้กับท่าน ด้วยความที่พี่วิรัชเขาเป็นคนซื่อ อุตส่าห์วิ่งลงไปจนถึงที่จอดรถ ปรากฏว่าไม่ทัน เขาไปเสียแล้ว

นั่นโยมเขาเข้าใจผิดจริง ๆ คิดว่าให้บูชาแล้วยกกลับบ้านได้ เพราะฉะนั้นบางทีเรื่องของพระมีอะไรที่ขำ ๆ จนหัวเราะไม่ออกเหมือนกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-11-2009 เมื่อ 13:12
สมาชิก 107 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #34  
เก่า 28-11-2009, 19:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,118 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

งานวัดท่าซุงนั้นจะมีคนไปโดยประมาณสองแสนคน ยกเว้นมีอยู่สองครั้งเท่านั้นที่ไปเป็นจำนวนมหาศาลเลย ครั้งแรกก็คือ งานเผาศพจำลองพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ปี ๒๕๓๐

ตอนนั้นศาลา ๑๒ ไร่ ยังสร้างไม่เสร็จ ญาติโยมไปกันมากจนห้องกรรมฐานที่ให้พักไม่เพียงพอ คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าโยมจะพักกันที่ไหน ปรากฏว่าโยมทั้งหลายก็ดีเหลือเกิน นอนที่ศาลา ๒ ไร่บ้าง ๔ ไร่บ้าง ตลอดจน ๑๒ ไร่ สำหรับการนอนก็คือ ซื้อหนังสือพิมพ์เก่า ๆ เอามาปูนอน ปรากฏว่าหนังสือพิมพ์เก่าที่เขาขายกันกิโลละ ๖ สลึง ซึ่งกิโลหนึ่งมันมีหลายฉบับ มันเอามาขายฉบับละ ๓ - ๕ บาท แล้วคนก็ซื้อกันจนไม่เหลือด้วย แต่ว่าหลังงานเสร็จสิ้นแล้ว พวกอาตมาต้องขนกระดาษหนังสือพิมพ์หลายคันรถไปเผา เพราะว่าโยมไม่ได้เก็บกลับบ้านไปด้วย

งานที่สองนั้น...วันเสาร์เป็นงานเป่ายันต์เกราะเพชร วันอาทิตย์เป็นงานประจำปีของเดือนมีนาคม งานสองวันติดกัน อาตมาบอกไม่ถูกว่าคนมากเท่าไร รู้อยู่อย่างเดียวว่าถ้าเป่ายันต์แล้วคนจะน้อยลง แต่นี่เป่าไปสองรอบ คนมันมีแต่เยอะขึ้นเพราะเขาไม่ยอมไปไหน จะรออยู่งานประจำปี

งานนั้นมีสิ่งที่วัดได้สองอย่างก็คือ จำนวนคนนอกจากจะมากแล้ว ยังสาหัสด้วย อย่างแรกคือ ทหาร ตำรวจ
"หลวงพี่ครับ ขอกระทิงสองลัง"
"ก็เอาสิ ไปยกเอาที่ร้านป้ากิมกี"

ปรากฏว่าพอผ่านไปหนึ่งคืน รุ่งเช้ามาอีกแล้ว
"หลวงพี่ครับขออีกสองลัง" อย่างนั้นวัดได้อย่างหนึ่งว่าเขาไม่พอแบ่งกันกิน

ส่วนอีกอย่างหนึ่งคือตัวอาตมาเอง ช่วงนั้นยืนจำหน่ายวัตถุมงคล ๒ วันกับ ๑ คืน จนขามันบวม แต่ว่าคุ้มค่ามากเพราะการจำหน่ายวัตถุมงคลนั้น ทำเอาเจ้าหน้าที่ธนาคาร ๘ คน นับเงินไม่ทัน

เราจะเห็นว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อบารมีท่านมหาศาล อาตมาธุดงค์ไปตามป่าตามเขาขนาดไหนก็ตาม บารมีหลวงพ่อตามคุ้มครองได้หมด ไปต่างประเทศอย่างพม่าก็ดี ท่านตามไปคุ้มครองรักษาได้ตลอด

ไปเจอสำนักสงฆ์เล็ก ๆ อยู่ในป่าลึกของภาคเหนือ พอกราบท่านเสร็จ ก็คุยกันไปคุยกันมา บอกท่านว่าศึกษามาในด้านมโนมยิทธิตามแบบหลวงพ่อวัดท่าซุง พอได้ยินดังนั้น พระท่านก็วิ่งพรวดเข้าไปที่กุฏิ เราก็สงสัยว่าท่านไปทำอะไร พอท่านออกมา ปรากฏว่ามีหนังสือหลวงปู่ปานอยู่ ๑ เล่ม ห่อปกมาอย่างดีเลย เขียนไว้ข้างหน้าปกว่า ประวัติหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค โดยฤๅษีลิงดำ อาตมาก็นึกในใจว่า "เออ..หนอ ขนาดอยู่กลางป่า กลางดงลึกขนาดนี้ หลวงพ่อยังมาก่อนเราอีก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-11-2009 เมื่อ 02:52
สมาชิก 114 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #35  
เก่า 28-11-2009, 19:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,118 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ปัจจุบันนี้อาตมาดูแลวัดอยู่หลายวัดด้วยกัน นอกจากจะต้องส่งพระไปอยู่แล้ว ยังต้องตั้งเงินเดือนให้กับพระที่ไปอยู่ด้วย เพราะว่าถิ่นที่ไปอยู่บางทีก็กันดารมาก ทั้งปีไม่มีกิจนิมนต์เลย มีอยู่รายหนึ่งส่งไปอยู่ ๓ ปี ได้รับกิจนิมนต์มา ๑ ครั้ง โยมเขาถวายมา ๑๐๐ บาท ก็แปลว่า ๓ ปีมีเงินอยู่ ๑๐๐ บาท แทบจะไม่พอค่ารถกลับวัดภายในวันเดียว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
สมาชิก 106 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #36  
เก่า 28-11-2009, 19:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,118 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเรื่องของการพุทธาภิเษก จริง ๆ แล้วถ้าญาติโยมอาราธนาบารมีพระด้วยความเคารพก็สามารถทำเองได้ เพียงแต่ว่าเราจะขาดความมั่นใจ

อาตมาเองสมัยก่อนนั้นก็ขาดความมั่นใจ แต่หลวงพ่อท่านสอนวิธีการทดสอบบารมีพระ ๓ - ๔ วิธีด้วยกัน โดยให้กราบขอขมาพระก่อน แล้วตั้งใจอาราธนาท่านว่า ในการพุทธาภิเษกวัตถุมงคลนั้น อานุภาพจะไปในด้านใด แรก ๆ ทำไป ก็เป็นไปตามที่หลวงพ่อว่าจริง ๆ แต่พอนานเข้า เริ่มจับจุดได้ว่า กำลังใจอยู่ในช่วงไหน คราวนี้ไม่ต้องมีวัตถุมงคลก็ใช้ได้

แรก ๆ ก็สามารถจะทดสอบได้เฉพาะวัตถุมงคลที่ผ่านพิธีมาเท่านั้น แต่พอนานเข้า ๆ ด้วยความที่เคารพพระเป็นปกติ พอเห็นรูปพระกำลังใจก็เต็มเลย คราวนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถจะพิสูจน์อะไรได้ แม้กระทั่งรูปพระเก่า ๆ ที่เขาตัดจากกระดาษหนังสือพิมพ์มา ก็มีพุทธานุภาพอย่างเต็มเปี่ยม จึงได้เข้าใจว่าจริง ๆ แล้วพุทธานุภาพนั้นมีอยู่ในทุกอณูของอากาศ สำคัญอยู่ตรงกำลังใจของเราเปิดรับหรือไม่เท่านั้น ถ้ากำลังใจของโยมเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย ว่ามีอยู่แล้วในทุกหนทุกแห่งของโลกนี้ หยิบอะไรขึ้นมาก็ขลังจ้ะ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-11-2009 เมื่อ 14:00
สมาชิก 113 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #37  
เก่า 28-11-2009, 19:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,118 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

กฐินทานนั้นสำคัญที่สุดก็อยู่ตรงผ้าไตร ส่วนอื่น ๆ เป็นได้แค่บริวารกฐิน

บุคคลที่ถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนา ถ้าเกิดชาติใหม่มีโอกาสได้พบพระพุทธศาสนา ถ้าท่านเป็นชาย ได้รับประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะมีจีวรสำเร็จด้วยฤทธิ์ลอยมาสวมตัวให้ ถ้าท่านเกิดเป็นผู้หญิงจะมีเครื่องประดับชื่อมหาลดาปสาธน์

เครื่องประดับมหาลดาปสาธน์นี้ มีลักษณะเป็นรูปนกยูงรำแพน โดยมีช่วงต่อออกมาเป็นเสื้อคลุม เสื้อคลุมนี้ร้อยขึ้นมาจากแก้วมณี ๑๑ ทะนาน แก้วไพฑูรย์ ๒๒ ทะนาน แก้วประพาฬ ๒๒ ทะนาน เป็นต้น สิ่งที่ใช้ร้อยแก้วนั้นก็คือด้ายเงินและด้ายทอง จึงทำให้ชุดนี้มีน้ำหนักมหาศาล ถ้าหากว่าไม่ได้ประกอบด้วยบุญหรือว่าไม่ได้เกิดมาเป็นเจ้าของจริง ๆ จะไม่สามารถยกขึ้นได้ เครื่องประดับชิ้นนี้ในสมัยพุทธกาลมีผู้หญิงอยู่ ๓ คน ด้วยกันที่มี คนแรกคือ นางวิสาขามหาอุบาสิกา คนที่สองคือ นางมัลลิกาเทวี ภรรยาของพันธุลเสนา คนที่สามคือ ภรรยาของโจรที่ชื่อว่า เทวนานิยะ เครื่องประดับชิ้นนี้มีราคา ๙ โกฏิของสมัยนั้น

๑ โกฏิ ถ้าว่าตามหลักของภาษาบาลี คือ ๑๐ ล้าน ก็แปลว่า ราคาต่ำสุดก็คือ ๙๐ ล้านของสมัยนั้น สมัยนี้ ๙,๐๐๐ ล้านไม่ทราบว่าจะซื้อได้หรือไม่ เพราะว่าแก้วมณีก็คือเพชร ร้อยขึ้นมาจากเพชร ๑๑ ทะนาน แล้วยังมีแก้วประพาฬแก้วไพฑูรย์อีกอย่างละ ๒๒ ทะนาน

การทำบุญในพระพุทธศาสนาจะเห็นได้ว่าทำแล้วไม่สูญเปล่า ทำแล้วต้องได้ผลแน่นอน เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-11-2009 เมื่อ 02:54
สมาชิก 108 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #38  
เก่า 28-11-2009, 20:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,118 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ทานที่จะทำแล้วได้ผลเร็วนั้น ท่านบอกว่า
เจตนาบริสุทธิ์ คือ ตั้งใจให้เพื่อเป็นการสละออก ตัดละความโลภจริง ๆ
วัตถุทานบริสุทธิ์ คือ ข้าวของนั้นได้มาถูกต้องตามศีลตามธรรม ไม่ได้ลักขโมย หยิบฉวย ช่วงชิง หรือหลอกลวงใครมา
ผู้ให้บริสุทธิ์ คือ ตัวคนให้นั้นมีศีลครบถ้วนสมบูรณ์บริบูรณ์
ผู้รับบริสุทธิ์ ก็คือ ผู้รับนั้นบริบูรณ์ สมบูรณ์ด้วยศีลเช่นกัน

ถ้าบริสุทธิ์ด้วย ๔ ส่วนนี้ ท่านว่าจะมีอานิสงส์มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะถ้าได้ถวายเป็นสังฆทานในพระพุทธศาสนา ในทักขิณาวิภังคสูตร พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ยาวมาก ขอกล่าวเพียงย่อ ๆ ว่า
ถ้าถวายทานกับพระอรหันต์ ๑๐๐ ครั้ง ไม่เท่ากับถวายพระปัจเจกพุทธเจ้า ๑ ครั้ง
การถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง ไม่เท่ากับถวายทานแก่พระพุทธเจ้า ๑ ครั้ง
การถวายทานแก่พระพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง ไม่เท่ากับถวายสังฆทาน ๑ ครั้ง

ท่านทั้งหลายอาจจะคิดว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่เลิศที่สุดแล้วในโลก แล้วทำไมการถวายทานกับพระพุทธเจ้าจึงยังมีอานิสงส์สู้สังฆทานไม่ได้ ? ก็เพราะการถวายทานแก่พระพุทธเจ้านั้นยังเป็นปาฏิบุคลิกทาน คือ ทานที่เจาะจงในตัวบุคคลอยู่ ส่วนสังฆทานนั้นไม่เจาะจงในตัวบุคคล พระพุทธองค์ตรัสว่าสงฆ์ทั่วทั้งสังฆมณฑลย่อมมีส่วนในสังฆทานนั้น เมื่อเป็นดังนั้น บรรดาพระหนุ่มเณรน้อยก็ล้วนแล้วแต่มีส่วนที่จะบริโภคใช้สอยในสังฆทาน ไม่เช่นนั้นท่านทั้งหลายก็จะเลือกทำแต่เฉพาะท่านที่เคารพศรัทธา

อย่างสมัยนี้ก็คงจ้องทำบุญแต่หลวงตาบัว ทำบุญแต่หลวงพ่อคูณ ถ้าอย่างนั้นเครื่องบริโภคต่าง ๆ จะลงไปอยู่แค่จุดสองจุดเท่านั้น ส่วนอื่นนั้นก็จะขาดแคลน และอาจจะทำให้เกิดความยากลำบากในการดำรงชีวิตของพระภิกษุสามเณร และท้ายสุดเมื่อทนความลำบากไม่ได้ก็จะสึกหาลาเพศไปหมด ศาสนาก็จะตั้งอยู่ไม่ได้ แต่ถ้าถวายเป็นสังฆทานนั้น พระหนุ่มเณรน้อยล้วนแต่มีส่วนที่จะบริโภคใช้สอยได้ เมื่อมีส่วนบริโภคใช้สอยในสังฆทาน ทำให้สามารถดำรงขันธ์อยู่ได้โดยไม่ลำบากนัก มีกำลังในการศึกษาเล่าเรียนทั้งปริยัติและปฏิบัติ เมื่อได้ผลแล้วก็นำมาสั่งสอนญาติโยมต่อไป ก็ทำให้ศาสนานั้นเจริญรุ่งเรืองกว้างไกลออกไป จนกระทั่งครบห้าพันปีตามพุทธทำนาย

ก็แปลว่า สังฆทานเป็นทานเพื่อต่ออายุพระพุทธศาสนา จึงได้มีอานิสงส์มหาศาล มากกว่าถวายพระพุทธเจ้าเองเสียอีก และสังฆทานนั้นยังมีข้อพิเศษอยู่ก็คือว่า แม้ว่าผู้รับจะไม่บริสุทธิ์ก็ตาม แต่ถ้าเราตั้งใจถวายเป็นสังฆทาน อานิสงส์ที่จะได้ก็เหมือนกับถวายแก่หมู่สงฆ์ที่มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานนั่นเอง ในส่วนนี้ท่านทั้งหลายต้องไปดูในปฐมสมโพธิกถา ส่วนของอันตรธานปริวรรต จะเป็นปริวรรตที่ ๒๙
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 29-11-2009 เมื่อ 15:39
สมาชิก 101 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #39  
เก่า 29-11-2009, 10:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,118 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในส่วนของอันตรธานปริวรรตนั้น มีส่วนหนึ่งที่เรียกว่า ลิงคอันตรธาน การเสื่อมสูญไปของเพศภิกษุ ท่านบอกว่า ท้ายของศาสนานั้นเพศของภิกษุจะเสื่อมสูญไป จะแต่งกายเหมือนกับฆราวาสทั่วไป เพียงแต่มีผ้าเหลืองพันข้อมือ หรือมีผ้าเหลืองน้อยห้อยหูเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นนักบวชเท่านั้น

ญาติโยมคิดว่าจะเป็นไปได้ขนาดนี้เชียวหรือ? ก็ขอบอกว่าในปัจจุบันนี้มีแล้ว ในส่วนที่มีนั้นต้องดูประเทศญี่ปุ่นเป็นตัวอย่าง ประเทศญี่ปุ่นนั้น ปัจจุบันพระของญี่ปุ่นแต่งตัวเหมือนชาวบ้านทุกอย่าง มีแถบเหลือง ๆ ติดอยู่ที่คอเสื้อเป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นพระเท่านั้น ท่านบอกว่า ช่วงท้ายศาสนา แม้ว่าเพศพระจะเหลือน้อยก็ตาม ศีลพระจะเหลืออยู่แค่ ๔ ข้อ คือสามารถทรงปาราชิก ๔ ข้ออยู่ได้โดยไม่ล่วง นอกนั้นขาดหมด ท่านบอกว่าถวายพระที่เหลือเพศและศีลแม้เพียงนั้นก็ตาม ถ้าตั้งใจถวายเป็นสังฆทานก็มีอานิสงส์เท่ากับถวายต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมกับหมู่สงฆ์ทั้งหมด เราจะเห็นได้ว่าสังฆทานนั้นเป็นอานิสงส์ที่พิเศษจริง ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
สมาชิก 104 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #40  
เก่า 29-11-2009, 15:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,118 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เหตุที่กฐินเป็นสังฆทานจำกัดเขตนี่เอง กฐินจึงมีอานิสงส์เป็นพิเศษ สมัยพระเดชพระคุณหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้กล่าวไว้ว่า แม้กระทั่งสายพระเนตรแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังมองไม่เห็นที่สิ้นสุดแห่งอานิสงส์กฐินนั้น ผู้ที่ตั้งใจเป็นเจ้าภาพกฐินจะปรารถนาในพระโพธิญาณก็ได้ ก็แปลว่าแม้แต่สิ่งที่ยากที่สุดก็ยังสำเร็จ เรื่องอื่นที่จะไม่สำเร็จนั้นไม่มี

ท่านบอกว่า ผู้ที่ตั้งใจถวายกองกฐินนั้นจะเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ จะเกิดเป็นพระมหากษัตริย์ จะเกิดเป็นเศรษฐีอย่างไม่มี ๆ ก็อย่างละ ๕๐๐ ชาติ และยังไม่ทันสิ้นสุดอานิสงส์กฐิน ส่วนใหญ่ก็จะเข้าสู่พระนิพพานเสียก่อน

ตัวอย่างก็องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ในสมัยที่เป็นมหาทุคตะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นทาสในบ้านของเศรษฐีเขา เจ้านายตั้งใจทำบุญกฐินก็ใช้ให้ท่านจัดกองกฐินขึ้นมา มหาทุคตะก็กล่าวว่า "สามิ ข้าแต่นาย ข้าพเจ้าจะขอมีส่วนร่วมในกองกฐินนี้ได้บ้างหรือไม่?" เศรษฐีท่านก็บอกว่า "ได้ แล้วเจ้ามีอะไรที่จะมาเข้าร่วมในกองกฐินเล่า ?" มหาทุคตะในชาตินั้นจนมาก มีผ้านุ่งเก่า ๆ เพียงผืนเดียว ผ้าห่มก็ไม่มี

สมัยก่อนนั้น การแต่งตัวที่ถูกต้องวัฒนธรรมก็จะมีผ้านุ่ง ๑ ผืน ผ้าห่ม ๑ ผืน มหาทุคตะมีแต่ผ้านุ่งเก่า ๆ เท่านั้น จึงไปยังร้านขายผ้า ก่อนที่จะไปก็หาใบไม้มานุ่งแทนผ้า บอกกับเจ้าของร้านผ้าว่า "ขายผ้าเก่าผืนนี้" เจ้าของร้านขายผ้าก็บอกว่า "ผ้าของท่านเก่ามาก ตีราคาไม่ถูก" คำว่าตีราคาไม่ถูกไม่ได้แปลว่าแพงมาก แต่แปลว่า...ถูกจนให้ราคาไม่ได้ มหาทุคตะก็บอกว่า "แล้วแต่ท่านจะให้สิ่งใดก็แล้วกัน แต่ขอให้เป็นของใหม่ จะได้เอาไปเข้ากองกฐินร่วมกับเจ้านายของเราได้" เจ้าของร้านก็ตัดใจให้เข็มไป ๑ เล่ม และด้ายไป ๑ กลุ่ม มหาทุคตะก็นำเข็ม ๑ เล่ม และด้าย ๑ กลุ่มนั้น ไปเข้าร่วมกับกองกฐิน แล้วอธิษฐานปรารถนาพระโพธิญาณ ด้วยอานิสงส์ในครั้งนั้นเป็นส่วนส่งผลให้มหาทุคตะในชาติสุดท้ายนั้นบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเรา

ดังนั้น..ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า บุญกฐินนั้นมีอานิสงส์พิเศษที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ ท่านทั้งหลายที่ได้ทำบุญกฐินแล้ว จึงเป็นโอกาสอันดีที่ท่านได้สร้างบุญใหญ่ในพระพุทธศาสนา เมื่อถึงเวลาแล้วท่านทั้งหลายอย่าได้ลืมอุทิศส่วนกุศลที่พึงได้ในครั้งนี้ ให้แก่ญาติพี่น้องทั้งหลายของเราที่ล่วงลับไปแล้ว ให้แก่เทพเจ้าที่ปกปักรักษาตัวเรา เทพเจ้าทั่วสากลพิภพและพระยายมราช ให้ท่านโมทนาและเป็นพยานในการสร้างบุญครั้งนี้ของเรา โดยเฉพาะอุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งขณะนี้ยังประทับอยู่โรงพยาบาลศิริราชเพื่อรักษาพระองค์อยู่ ขอให้พระองค์หายจากอาการประชวร มีพระพลานามัยแข็งแรงโดยเร็ว สามารถเสด็จออกจากโรงพยาบาลเพื่อประกอบพระราชภารกิจต่อไปได้โดยสะดวก และขอให้พระองค์ท่านทรงพระเจริญยั่งยืนนาน เป็นมิ่งขวัญ เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรแก่พวกเราต่อไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-11-2009 เมื่อ 17:24
สมาชิก 101 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 13:32



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว