กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์

Notices

เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ เก็บข้อธรรมจากบ้านอนุสาวรีย์มาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #161  
เก่า 29-01-2011, 08:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,069
ได้รับอนุโมทนา 4,399,746 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พระอุปคุต มีอานุภาพทางด้านไหนครับ ?
ตอบ : เน้นในเรื่องลาภ และป้องกันอันตรายด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-01-2011 เมื่อ 12:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 152 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #162  
เก่า 29-01-2011, 08:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,069
ได้รับอนุโมทนา 4,399,746 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงปู่ปานท่านให้พรไว้ว่า พระของท่านไม่ว่าจะเก่าจะใหม่ จะจริงจะปลอม ถ้านึกถึงท่านจะมีอานุภาพเท่ากันหมด ท่านให้พรขนาดนี้เลยนะ เพราะฉะนั้น..ใครสร้างวัตถุมงคล ถ้ากลัวว่าจะไม่ขลัง ให้สร้างพระของหลวงปู่ปาน

ส่วนตอนที่ยกเสาเอกบ้านวิริยบารมี อาตมาสละพระรอดลำพูน (เนื้อดำ)ไป ๑ องค์ กับเสือหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ยอีก ๑ องค์ เสือเอาไว้เฝ้าบ้าน ส่วนพระรอดจะได้ช่วยในการปฏิบัติ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-01-2011 เมื่อ 12:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #163  
เก่า 29-01-2011, 09:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,069
ได้รับอนุโมทนา 4,399,746 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าเรื่องอภิญญาให้ฟังว่า "สมัยที่อาตมาฝึกซ้อมการเล่นอภิญญา ตอนนั้นพักอยู่ที่ตึกกองทุน ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับตึกศาลาหลวงพ่อสี่พระองค์ อาตมาก็สนุกสนานอยู่คนเดียว โดยไม่รู้ว่าป้าศุ (คุณศุภาพร ปุษยนาวิน) เขาแอบดูอยู่ บางวันก็เดินทะลุข้างฝาไปเลย ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าไปได้อย่างไร ข้างฝาน่าจะทะลุเป็นรูปตัวเราไปแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ ไม่มีร่องรอยอะไรเลย ไปก็ไปได้ กลับมาก็กลับได้ กว่าจะเข้าใจก็ต้องคลำอยู่เป็นปี

สภาพจิตที่ละเอียด วัตถุทุกอย่างจะเป็นของหยาบหมด เพราะฉะนั้น..ที่คุณเห็นเป็นกำแพงทึบ ๆ ความจริงแล้วไม่ได้ทึบหรอก รอยต่อระหว่างอณูของวัตถุนั้นใหญ่มหึมา ชนิดที่เราเห็นว่าช้างลอดได้เลย

โยมศุภาพรเขาแอบดูเราก็ไม่รู้ มีอยู่วันหนึ่ง เขาบอกว่า "หลวงพี่...ระวังนะ ถ้าออกไปครึ่งหนึ่งแล้วสมาธิเคลื่อน อาจจะติดคาอยู่ตรงนั้นเลย..!" โยมเขาแซวเล่น

ต่อมามีโยมอยู่รายหนึ่ง เขาก็ทำได้เหมือนกัน แต่เขาทำได้แบบที่ตัวเองไม่ได้ตั้งใจ คือ เขาภาวนาอยู่ แล้วรู้สึกว่าเตียงลอยได้ แล้วก็ลอยไปทั้งเตียงเลย ตัวเขาก็นอนอยู่บนเตียง ก็ลอยผ่านทุ่งนาป่าเขาไปเรื่อย ไปจนกระทั่งหมดอารมณ์แล้วก็กลับ

จำไว้เลย..ถ้าเป็นผรณาปีติ ไม่ต้องกลัวนะ ไปไกลแค่ไหนก็ตามถึงเวลาจะกลับมาที่เดิม ยกเว้นว่าเราตกใจแล้วสมาธิเคลื่อน ก็จะตกลงตรงนั้น ถ้าจะฝึกพวกนี้ ควรพกเงินติดกระเป๋าเอาไว้หน่อย เผื่อไปตกที่ไกล ๆ จะได้มีเงินนั่งรถกลับ..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 29-01-2011 เมื่อ 12:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #164  
เก่า 29-01-2011, 09:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,069
ได้รับอนุโมทนา 4,399,746 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"พอโยมเขาลอยกลับมา เขาก็แปลกใจว่าตัวเองไปจริงหรือเปล่า ? พอจับผ้าห่มดู ก็รู้ว่าไปจริง เพราะผ้าห่มเปียกน้ำค้างหมดเลย นั่นไม่ได้ไปแต่ตัวนะ เอาเตียงไปทั้งหลังเลย แต่ข้างฝาก็ไม่เป็นอะไรเหมือนกัน

แสดงว่า ตอนที่สภาพจิตทรงเป็นอภิญญาสมาบัติ ระหว่างวัตถุธาตุต่าง ๆ ไม่มีอะไรที่จะกั้นได้ เพราะสภาพตอนนั้นไม่ได้มีอะไรเป็นแท่งทึบ ทุกอย่างจับกันขึ้นมาจากอณูขนาดต่าง ๆ ด้วยความที่จิตละเอียดกว่า ช่องว่างระหว่างอณูก็เลยกลายเป็นใหญ่มหึมา ออกไปเมื่อไรก็ได้ กว่าจะเข้าใจตรงนี้ก็คลำอยู่นาน

ครั้งแรกที่ลอย อาตมากำลังหลับตาภาวนาไปเรื่อย ๆ แล้วรู้สึกว่ามีอะไรวับ ๆ อยู่ข้างเอว พอลืมตาดู ตายห่..พัดลมเพดาน..! ก็คือ ตอนที่ภาวนานั้นเปิดพัดลมอยู่ แต่ไม่รู้ว่าลอยขึ้นไป มารู้ตอนที่ลอยไปขึ้นแล้ว พอเห็นพัดลมหมุนอยู่ข้างเอวก็ตกใจ พอตกใจสมาธิหลุดก็หล่นพลั่กลงมา..! ตั้งแต่นั้นมาก็ถือเป็นบทเรียนว่า ก่อนที่จะภาวนาทุกครั้งจะต้องปิดพัดลมก่อน"

ถาม : โยมที่ลอยไปเป็นแค่ปีติหรือครับ ?
ตอบ : ไม่แน่ใจเหมือนกัน ถ้าไม่มีพื้นฐานอภิญญาเก่าคงเอาเตียงไปทั้งหลังไม่ได้ น่าจะเป็นพื้นฐานของอภิญญาเก่ามาผสมด้วย

ลอง ๆ ไปฝึกเรื่องพวกนี้ดู แรก ๆ ทำได้ก็สนุกสนานเฮฮา ไป ๆ มา ๆ ก็น่าเบื่อเพราะไม่ใช่ทางหลุดพ้น เป็นเพียงเครื่องมือช่วยเราเท่านั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-01-2011 เมื่อ 12:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #165  
เก่า 29-01-2011, 09:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,069
ได้รับอนุโมทนา 4,399,746 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : มีมานะทิฏฐิที่เป็นมานะทิฏฐิที่ดีไหมคะ ? หรือขึ้นชื่อว่ามานะทิฏฐิแล้วย่อมไม่ดีทั้งนั้น ?
ตอบ : มี..สำหรับปุถุชนทั่วไป ก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าสำหรับผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ก็ไม่ใช่สิ่งที่ดี อย่างที่เขาเรียกกันว่า ขัตติยมานะ มานะขององค์กษัตริย์ อยู่ต่อหน้าคนอื่นอย่างไรก็ต้องเข้มแข็งไว้ ลับหลังจะหงายแผ่อย่างไรก็ช่าง อันนี้เรียกว่า ขัตติยมานะ

แบบเดียวกับพระมหาอุปราชา ตอนนั้นพระนเรศวรตกอยู่กลางวงล้อมของพระมหาอุปราชา ถ้าจะรุมกินโต๊ะเสีย อย่างไรก็ตายแน่ แต่พอพระนเรศวรออกปากท้ารบ พระมหาอุปราชาก็เกิดขัตติยมานะ กล้าออกมาสู้ทั้ง ๆ ที่แพ้ทางกันมาตลอด นั่นแหละขัตติยมานะ


ถาม : แล้วจะละอย่างไรครับ ?
ตอบ : ต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้น เพราะมานะเป็นสังโยชน์ที่ละเอียดมาก ระดับพระอนาคามียังละไม่ได้เลย บางคนก็เป็นจนกระทั่งกลายเป็นสัญชาตญาณไปเลยก็มี
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-02-2019 เมื่อ 17:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 152 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #166  
เก่า 29-01-2011, 14:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,069
ได้รับอนุโมทนา 4,399,746 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "อานิสงส์การสร้างพระพุทธรูป ต้องดูมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร สมัยที่มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรเป็นมนุษย์อยู่ ไม่เคยสร้างความดีแม้แต่อย่างเดียว แต่กลับสร้างความชั่วแทบทุกอย่าง

ก่อนตายมัฏฐกุณฑลีป่วยหนัก อทินนกปุพพกพราหมณ์ผู้เป็นพ่อซึ่งเป็นพราหมณ์ที่ตระหนี่มาก กลัวว่าญาติมาเยี่ยมลูกชายตนแล้วเห็นสมบัติในบ้าน จะเที่ยวขอสมบัติข้าวของ จึงนำลูกชายไปทิ้งไว้ที่ระเบียงบ้าน เมื่อพระพุทธเจ้าบิณฑบาตเสด็จผ่านมา ทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีให้มัฏฐกุณฑลีเห็น เพื่อเป็นการสงเคราะห์

พอมัฏฐกุณฑลีเห็นพระพุทธเจ้า ก็นึกในใจว่า "ใคร ๆ ก็ว่าพระสมณโคดมมีความสามารถมาก ถ้าท่านได้มารักษาเรา อาการป่วยที่เป็นอยู่ก็คงจะหาย" มัฏฐกุณฑลีคิดแค่นั้นแล้วก็ตาย ด้วยอานิสงส์ที่ใจที่คิดถึงพระพุทธเจ้า จึงไปเกิดอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานทองคำ

ส่วนอทินนกปุพพกพราหมณ์ผู้เป็นพ่อ เอาศพลูกชายตัวเองไปฝัง แล้วร้องไห้คร่ำครวญไปด้วย มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก็นึกว่า "พ่อเรานี่ช่างโง่จริง ๆ ลูกมีชีวิตอยู่ไม่ยอมรักษา มัวแต่เสียดายเงิน พอลูกตายแล้วกลับมานั่งร้องไห้" มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรจึงไปปรากฏตัวอยู่ใกล้ ๆ หลุมศพ แล้วนั่งร้องไห้บ้าง

อทินนกปุพพกพราหมณ์พอเห็นมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ก็คิดว่ามาณพผู้นี้หน้าตาเหมือนลูกชายของเรา จึงเกิดความรัก อยากได้มาเป็นลูก เพื่อทดแทนลูกชายที่เพิ่งตายไป อทินนกปุพพกพราหมณ์จึงถามมาณพว่า "ข้าพเจ้าร้องไห้เพราะบุตรชายเพิ่งเสียชีวิตไป ท่านอายุยังน้อย คงไม่มีบุตรที่เพิ่งเสียชีวิต แล้วมาร้องไห้ทำไม ?"

มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรบอกว่า "ข้าพเจ้าสร้างรถคันหนึ่ง เป็นรถทองคำที่สวยงามมาก แต่ไม่มีล้อที่เหมาะสมกับรถ จึงร้องไห้เสียใจ" อทินนกปุพพกพราหมณ์จึงคิดว่า "ถ้าเรามอบล้อรถอันเป็นที่ถูกใจให้ชายคนนี้ เราอาจจะขอมาเป็นลูกได้"

อทินนกปุพพกพราหมณ์จึงถามว่า "เจ้าต้องการล้อรถแบบไหน ล้อทองคำ ล้อเงิน หรือล้อแก้วมณี เราก็จะจัดหาให้" มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรคิดว่า "ตอนลูกมีชีวิตอยู่ พ่อขี้เหนียวไม่ยอมแม้แต่จะจ่ายเงินเป็นค่ารักษา พอตอนนี้แม้ล้อรถทองคำหรือแก้วมณีก็ยอมให้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-01-2011 เมื่อ 14:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 152 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #167  
เก่า 29-01-2011, 14:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,069
ได้รับอนุโมทนา 4,399,746 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรบอกว่า "ข้าพเจ้าอยากได้พระอาทิตย์กับพระจันทร์มาเป็นล้อรถ" อทินนกปุพพกพราหมณ์โกรธ "แกจะบ้าหรือเปล่า ? ใครที่ไหนจะสามารถเอาพระอาทิตย์กับพระจันทร์มาเป็นล้อรถได้" มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรบอกว่า "ถ้าข้าพเจ้าบ้า ท่านก็บ้ายิ่งกว่า ข้าพเจ้าอยากได้พระอาทิตย์กับพระจันทร์มาเป็นล้อรถ เพราะข้าพเจ้ามองเห็นพระอาทิตย์กับพระจันทร์ แต่ท่านร้องไห้คร่ำครวญอยากจะให้ลูกชายที่ตายกลับฟื้นขึ้นมา ตอนนี้ท่านมองเห็นลูกชายของท่านหรือไม่ ?"

อทินนกปุพพกพราหมณ์จึงได้สติว่า มาณพผู้นี้พูดเป็นภาษิตดี จึงสอบถามว่าเป็นใครมาจากไหน มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรจึงบอกว่า "ข้าพเจ้าคือบุตรชายของท่าน หลังจากสิ้นชีวิตแล้วไปเกิดเป็นเทวดา มีวิมานทองคำ" อทินนกปุพพกพราหมณ์ก็แปลกใจ "ในชีวิตของเจ้าไม่เคยทำความดีอะไรเลย แล้วไปเกิดเป็นเทวดา มีวิมานทองคำได้อย่างไร ?"

มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรบอกว่า "ข้าพเจ้านึกถึงพระนามของพระสมณโคดมก่อนตาย ด้วยอานิสงส์นี้จึงทำให้ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์" อทินนกปุพพกพราหมณ์ยังไม่เชื่อ มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรจึงแนะนำว่า "ถ้าอย่างนั้นขอให้ท่านพ่อนิมนต์พระสมณโคดม พร้อมกับพระภิกษุ ๕๐๐ รูป มาฉันภัตตาหารที่บ้าน แล้วสอบถามเอาเองแล้วกัน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-01-2011 เมื่อ 16:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 145 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #168  
เก่า 29-01-2011, 14:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,069
ได้รับอนุโมทนา 4,399,746 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ด้วยความอยากรู้จริง ๆ อทินนกปุพพกพราหมณ์จอมตระหนี่ จึงยอมลงทุนเลี้ยงภัตตาหารพระพุทธเจ้าพร้อมกับพระภิกษุ ๕๐๐ รูป เมื่อเลี้ยงภัตตาหารเสร็จเรียบร้อย อทินนกปุพพกพราหมณ์จึงเข้าไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า "ข้าแต่พระสมณโคดมผู้เจริญ บุคคลที่ไม่เคยสร้างคุณความดีอะไรมาก่อนเลย เพียงนึกถึงแต่พระนามของพระองค์ เมื่อตายแล้วไปสวรรค์ มีอยู่บ้างหรือไม่ ?"

พระพุทธเจ้าตรัสว่า "พรามหณะ..ดูก่อนพราหมณ์ บุคคลที่ไม่เคยสร้างความดีอื่นใดเลย นอกจากนึกถึงนามของตถาคต เมื่อตายแล้วได้ไปสุคติโลกสวรรค์นั้น ไม่ได้มีแค่ร้อยแค่พัน หากแต่มีเป็นโกฏิ" แล้วท่านก็ตรัสว่า "พราหมณ์ก็ได้เจอลูกชายของท่านเองมาแล้วไม่ใช่หรือ ? "

อทินนกปุพพกพราหมณ์ก็ยอมรับ พระพุทธเจ้าจึงเรียกมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรพร้อมกับวิมานทองคำมาเป็นเครื่องยืนยัน อทินนกปุพพกพราหมณ์เกิดความเลื่อมใส จึงปวารณาตนนับถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต

มีอยู่ประเด็นหนึ่งก็คือ มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรทำชั่วมาตลอดชีวิต แล้วอานิสงส์อะไร ที่ทำให้พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดในวินาทีสุดท้าย ? ตรงจุดนี้ในพระไตรปิฎกไม่ได้กล่าวถึง อรรถกถาก็ไม่ได้กล่าวไว้ แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถามตรงต่อพระ

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ในอดีตมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรเคยสร้างพระพุทธรูปเอาไว้ อานิสงส์ในการสร้างพระพุทธรูปในอดีตตามมาทันในชาตินี้ ในวินาทีสุดท้ายพอดี

ดังนั้น..พวกเราที่ตั้งใจร่วมสร้างสมเด็จองค์ปฐมกับคณะของคุณหมอนพพรหรือท่านอาจารย์สมปอง ถ้าเป็นนิสัยของอาตมาก่อนนี้ก็จะอธิษฐานว่า
"ก่อนตายขอให้พระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ อย่าได้คลาดเคลื่อนไปจากใจของข้าพเจ้าเลย" อธิษฐานเผื่อเหนียวไว้ก่อน เกิดอยู่ ๆ ก่อนตายภาพสาวสวย ๆ โผล่มา คงจะได้เกาะผิดที่ จึงต้องใช้วิธีอธิษฐานขออย่าให้ภาพพระเคลื่อนไปจากใจ ตรงนี้อนุญาตให้ทุกคนเลียนแบบได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-01-2011 เมื่อ 16:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #169  
เก่า 29-01-2011, 23:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,069
ได้รับอนุโมทนา 4,399,746 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ในขณะที่จิตก่อนตาย นึกถึงภาพศพที่เป็นอสุภกรรมฐาน จะไปดีหรือไม่คะ ?
ตอบ : อาจจะได้ไปเกิดเป็นพรหมก็ได้ เพราะถ้านึกได้แสดงว่าสมาธิต้องทรงตัว สมาธิทรงตัวในลักษณะที่นึกถึงอย่างนั้นได้ ก็ต้องเป็นปฐมฌานขึ้นไป

เพราะฉะนั้น..ถ้าการเห็นภาพศพเละ ๆ นั้น เกิดจากสมาธิที่ทรงตัว ตายไปอาจจะได้กำไรมากกว่ากว่าที่คิด ถ้าตอนนั้นใช้ปัญญาต่ออีกนิดหนึ่งว่า เกิดกี่ชาติก็เป็นอย่างนี้ เราอย่าเกิดอีกเลย ไปนิพพานดีกว่า..ก็จบ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-01-2011 เมื่อ 03:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 149 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #170  
เก่า 29-01-2011, 23:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,069
ได้รับอนุโมทนา 4,399,746 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : โยมหยิบของของแม่ไปใส่บาตร โดยไม่ได้ขออนุญาตแม่ก่อน แต่แม่ก็ไม่ว่าอะไร ผิดหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ผิดหรอกจ้ะ หยิบไปเยอะ ๆ ทำเสร็จก็บอกท่านไปด้วย บอกว่า "ทำบุญให้แล้วแล้วจ้ะ" ถ้าแม่ถามว่า "ทำไมทำอย่างนั้น ?" ให้บอกไปว่า "เห็นแม่ไม่มีเวลา ก็เลยช่วยทำแทนให้"

ถาม : ปกติเราส่งเงินเดือนให้แม่ทุกเดือน เราก็เลยทำบุญในนามของแม่ไปด้วย ทำเป็นของแม่ได้เลยไหมคะ ?
ตอบ : ได้จ้ะ แต่ควรที่จะบอกให้แม่โมทนา เพราะคนเป็นหรือคนตายก็ตาม ควรจะบอกให้เขารู้ เพื่อที่จะได้โมทนา

ถาม : นึกว่าทำบุญให้แม่ก่อน แล้วเราค่อยทำบุญตามหลังอีกที
ตอบ : จะทำก่อนทำหลังก็ได้ แต่เมื่อทำเสร็จแล้ว ให้กลับไปบอกแม่ บอกว่าเราได้ทำบุญให้แม่แล้ว ขอให้แม่โมทนาด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นายกระรอก : 06-02-2019 เมื่อ 00:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 145 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #171  
เก่า 29-01-2011, 23:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,069
ได้รับอนุโมทนา 4,399,746 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อย่างไหนจึงจะเรียกว่าละสิ่งของได้ ?
ตอบ : มีก็ใช้ ไม่มีก็ไม่ไปดิ้นรนหามา สูญหายไปก็ไม่เสียอกเสียใจ ได้มาใหม่ก็ไม่ยินดีจนเกินการณ์

ถาม : อย่างที่คนเขาเอามาให้เองละครับ แล้วเราไม่รับ
ตอบ : เขาถือว่าเสียมารยาท รับไว้เถอะ โดยเฉพาะถ้าผู้ใหญ่ให้ของ ให้รับไว้ก่อน ถ้าเราไม่รับ แทนที่ผู้ใหญ่เขาจะเห็นว่าเราไม่โลภ กลับจะไม่ใช่ บางท่านจะเห็นว่าเราอวดดี ถ้าผู้ใหญ่มองเราในแง่ไม่ดี ต่อไปจะเจริญยาก..!

สมัยก่อนอาตมาก็ไม่รับเหมือนกัน เพราะไม่อยากได้จริง ๆ แต่ปรากฏว่าหลวงพ่อวัดท่ามะขาม ตอนนั้นท่านเป็นเจ้าคณะจังหวัดอยู่ ท่านเตือนว่า "ถ้าผู้ใหญ่ให้ของ ให้รีบรับไว้ก่อน ถ้าไม่รับ เดี๋ยวท่านจะมองเราในแง่ไม่ดี กลายเป็นว่าท่านจำฝังใจแล้วต่อไปเราจะลำบาก"

ตั้งแต่ท่านเตือนมา ต่อไปเมื่ออาตมาเจอใครให้ของก็จะรับไว้ก่อนเสมอ ไปเจอบางท่านแทนที่จะให้ท่านให้ก่อน เราก็ขอท่านก่อนเลย รู้อยู่ว่าท่านเต็มใจให้ ก็แกล้งขอ ทำท่าว่าอยากได้เป็นนักหนา ท่านก็ปลื้มใจที่มีสิ่งที่เราอยากได้ เมื่อท่านให้มาแล้ว เราก็แบกขึ้นรถไปแจกที่อื่นต่อ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-01-2011 เมื่อ 03:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 145 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #172  
เก่า 30-01-2011, 00:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,069
ได้รับอนุโมทนา 4,399,746 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของวัตถุมงคล ไม่ว่าจะเป็นวัดไหนก็ตาม มักจะมีอาถรรพ์ก็คือ มีคนจองไว้แล้วแต่ไม่มารับ มักจะมีอยู่รายสองรายที่ไม่มารับหรอก

ตอนนี้อาตมาต้องเก็บพระกริ่งพิชัยสงคราม รุ่น ๑ เอาไว้ ๖ องค์ จากราคา ๑,๐๐๐ บาท ในปี ๒๕๔๔ เดี๋ยวนี้ในเว็บเขาแย่งกันประมูล สู้ราคากันถึง ๔๐,๐๐๐-๕๐,๐๐๐ บาทก็มี คนเขาอยากจะได้ แต่เจ้าของก็ไม่มารับเสียที แล้วจองไว้คนเดียวตั้ง ๖ องค์..!

สู้หญิง (ณญาดา ศราภัยวานิช) ไม่ได้นะ หญิงเขาประกาศชัดว่า ถ้าถึงเวลาแล้วไม่มารับ กลายเป็นของกลางไปเลย ถือว่าท่านตั้งใจสละทรัพย์เพื่อการบุญโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน"

ถาม : ในความเป็นพระทำอย่างนั้นได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระไม่ควร เพราะว่าตอนที่เขาจอง เขาตั้งใจอยากได้ของ เรามีหน้าที่อย่างเดียวก็คือ เก็บเอาไว้จนกว่าเขาจะมารับ

สมัยที่อาตมาทำหน้าที่อยู่ที่ศาลานวราชบพิตร วัดท่าซุง ที่นั่นจะมีตู้เก็บของโดยเฉพาะ เป็นตู้ ๕ ชั้น ข้าวของอัดแน่นเต็มตู้ ญาติโยมมาแต่ละคน เราก็จะบอกว่า "เมื่อคราวที่แล้วลืมข้าวของอะไรหรือเปล่า ? ให้ไปดูในตู้ ถ้าเป็นของโยมก็ช่วยรับคืนไปด้วย" บอกให้ไปดู แต่ของไม่เคยลดลงเลย ครั้งต่อไปก็มากขึ้นไปอีก..เยอะขึ้นอีก กระเป๋าถือบ้าง รองเท้าบ้าง ของใช้ส่วนตัวบ้าง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-01-2011 เมื่อ 03:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 152 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #173  
เก่า 30-01-2011, 00:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,069
ได้รับอนุโมทนา 4,399,746 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ระเบียบของพระโดยตรงถือเป็นศีลเลยนะ พระพุทธเจ้าทรงกำหนดไว้เลยว่า ข้าวของของญาติโยมที่ตกอยู่ในวัด พระต้องเก็บรักษาไว้จนกว่าเจ้าของจะมารับคืน ไปยึดของเขาเองเฉย ๆ จะโดนปาราชิก ขาดความเป็นพระโดยไม่รู้ตัว ปาราชิกนี่ขาดจากความเป็นพระเลย ถึงยังห่มเหลืองอยู่ก็ไม่นับว่าเป็นพระ

ถาม : แล้วถ้ามันนานมาก ?
ตอบ : นั่นนะสิ..นานมากเลย นานจนกระทั่งกระเป๋าบางใบขึ้นรา..! ตอนนี้ที่วัดท่าขนุน มีอยู่รายหนึ่งเขาลืมพระเลี่ยมทองเอาไว้ จนป่านนี้ก็ยังไม่มารับ เป็นพระเลี่ยมทององค์หนึ่ง พระเก่าราคาสูงด้วย แล้วก็มีเหรียญใหม่เอี่ยมอยู่เหรียญหนึ่ง

อีกรายหนึ่งเป็นกระเป๋าสตางค์ มีแต่เงินล้วน ๆ ไม่มีหลักฐานอื่นอะไรเลย ก็ยังเก็บรออยู่จนถึงทุกวันนี้ ของใครถ้ารู้ตัวให้ไปทวงคืนก็แล้วกัน แล้วยังมีพระสำคัญที่ใช้ประจำตัวอีกองค์หนึ่ง เลี่ยมกรอบอย่างดีเลย นี่ทำหล่นไว้ที่หน้าถ้ำตอนงานออกนิโรธกรรมของครูบาเหนือชัย อาตมาเก็บเอาไว้รอเจ้าของอยู่เหมือนกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-01-2011 เมื่อ 03:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 150 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #174  
เก่า 30-01-2011, 00:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,069
ได้รับอนุโมทนา 4,399,746 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ท่านได้ศึกษาศาสตร์พยากรณ์มาบ้างหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : หัดดูอยู่ระยะหนึ่ง เป็นพวกเลข ๗ ตัว พอแม่นมาก ๆ ก็ต้องทิ้ง เพราะคนมากวนไม่เลิก ตอนแรกหลวงพ่อบอกให้ไปลอง ๆ ไว้บ้าง "ของเขาจริงนะ" ก็เลยลองดู ปรากฏว่าแม่นจริง ๆ ที่ว่าแม่นเพราะแรก ๆ เราก็ดูคนรอบข้างเราก่อน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-01-2011 เมื่อ 03:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 148 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #175  
เก่า 30-01-2011, 00:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,069
ได้รับอนุโมทนา 4,399,746 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธรูปปางห้ามสมุทรนั้น ส่วนใหญ่ที่เขาสร้าง เขาถือเคล็ดว่า สิ่งที่ไม่ดีไม่งามต่าง ๆ จะโดนหยุดเอาไว้หมด สิ่งที่ไม่ดีจะมาไม่ถึงตัวเรา"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-01-2011 เมื่อ 03:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 149 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #176  
เก่า 30-01-2011, 00:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,069
ได้รับอนุโมทนา 4,399,746 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "อตีตํ นานวาคเมยฺย ไม่ควรที่จะครุ่นคิดถึงอดีต นปฺปฏิกงฺเข อนาคตํ ไม่ควรจะฟุ้งซ่านไปถึงอนาคต ปจฺจุปฺปนฺนญฺจ โย ธมฺมํ ตตฺถ ตตฺถ วิปสฺสติ ต้องอยู่กับปัจจุบันเท่านั้นจึงจะรู้แจ้ง มีบอกไว้อยู่ในภัทเทกรัตตสูตร"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-01-2011 เมื่อ 03:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 149 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #177  
เก่า 30-01-2011, 14:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,069
ได้รับอนุโมทนา 4,399,746 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ไปเรียนมโนมยิทธิ แล้วเขาให้นึกภาพพระจุฬามณี แต่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ?
ตอบ : ให้เรากำหนดความรู้สึกทันทีเดี๋ยวนั้นเลยว่า ตรงหน้าเราคือพระจุฬามณี แล้วความรู้สึกนั้นว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร ให้อธิบายไปตามความรู้สึกนั้น ถ้าเราเห็นมาก่อนบางทีก็เป็นอุปาทาน คือไปยึดเอาของเก่ามาตอบ ไม่เคยเห็นมาก่อนนั่นแหละ..จึงจะถูก

"ต้องเชื่อความรู้สึกแรก" พวกเรามักจะลืมคำสอนนี้ไป ความรู้สึกแรกเป็นอย่างไร ให้ตอบไปตามนั้นก่อน แรก ๆ ก็จะไม่เห็นภาพ แต่พอได้รับการยืนยันจากครูฝึกแล้ว ความมั่นคงของกำลังใจมีมากขึ้นเรื่อย ๆ สภาพจิตจะนิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ พอนิ่งไปถึงระยะหนึ่งภาพก็จะปรากฏขึ้นเอง พอมาถึงตอนนี้ก็จะเริ่มเสียอีก เสียตรงที่ว่า พอภาพปรากฏแล้วเราอยากจะเห็นให้ชัด เราก็จะไปเพ่ง

มโนมยิทธิเราต้องส่งจิตไปให้ถึงตรงจุดนั้น เราจึงจะเห็นสิ่งนั้นได้ ทันทีที่เราไปใช้สายตาเพ่ง เราต้องนึกถึงตา คือ นึกถึงร่างกายซึ่งเป็นการดึงจิตกลับมาสู่ร่างกาย ภาพนั้นก็จะหายไป กลายเป็นว่า ทันทีที่เราเห็นภาพ พอเพ่งจะให้ชัด ภาพก็หาย พอทำใจสบาย ๆ ภาพก็ปรากฏอีก พอเพ่งอีกก็หายอีก

บางคนจะติดอยู่ขั้นตอนนี้เป็นปี ๆ เลย จนกว่าจะทำใจได้ว่า ก่อนหน้านี้ถึงเห็นหรือไม่เห็น เราก็รู้ได้ถูกต้องแล้ว เราจะเห็นหรือไม่เห็นก็ช่างเถอะ ถ้าทำใจอย่างนี้ได้ ภาพจะปรากฏอยู่ได้นาน แรก ๆ ต้องบ้าตามไปก่อน เขาไปทางไหนเราไปด้วย รู้สึกอย่างไรตอบไปตามนั้น กลับไปซ้อมใหม่..เอาให้เก่งให้ได้...
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-01-2011 เมื่อ 16:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 134 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #178  
เก่า 30-01-2011, 14:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,069
ได้รับอนุโมทนา 4,399,746 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ตอนที่ฝึกมโนมยิทธิใหม่ ๆ ภาพที่เห็นไม่มีความสว่าง แต่เป็นสีทึบ ๆ ไม่สว่าง เป็นเพราะว่าวิปัสสนาของเราไม่เพียงพอใช่ไหม ?
ตอบ : มีอยู่สองอย่างด้วยกันคือ ถ้าสภาพจิตยังหยาบอยู่ก็จะเห็นอย่างนั้น หรือไม่ก็ใจเราชอบอย่างนั้น ก็จะเห็นอย่างนั้น ความเคยชินของจิตยังไปยึดของเก่าอยู่ ในเมื่อไปยึดของเก่าอยู่ก็ยังเห็นเหมือนเดิม

ถาม : ถ้าเราใช้การอธิษฐานให้ภาพสีทึบนั้น เปลี่ยนเป็นประกายพรึกจะได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ให้ทดลองอธิษฐานตรงนั้นเลย ถ้ากำลังจิตสะอาดพอก็จะสว่างขึ้น หรือไม่ก็ให้พิจารณาวิปัสสนาญาณตอนนั้นเลย ให้เห็นชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ถ้าสภาพจิตยอมรับอย่างแท้จริง ก็จะสว่างแจ่มใสขึ้นเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-01-2011 เมื่อ 16:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 141 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #179  
เก่า 30-01-2011, 22:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,069
ได้รับอนุโมทนา 4,399,746 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อย่างการพิจารณาธาตุสี่ ถ้าเราไม่เคยฟังธรรมจากพระพุทธเจ้ามาก่อน ไม่ได้มโนมยิทธิมาก่อน เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรามีจิต เราคือจิต ?
ตอบ : อย่างเวลาโดนตีแล้วเราก็เจ็บ โดยธรรมชาติต้องคิดว่าเป็นเราอยู่แล้ว..ใช่ไหม ? ในเมื่อปัญญาเราไม่ถึง เราก็จะยึดว่าร่างกายนี้เป็นเราตั้งแต่แรกแล้ว เพิ่งจะเกิดมา แค่กินไม่ได้อย่างใจ ก็ขัดใจแหกปากร้องไห้จ้าแล้ว ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้เรื่องอื่นอะไรเลย

ถาม : ทำไมเราไม่คิดว่า จิตเกิดจากการที่มีพวกสารเคมีมารวมตัวกัน พอเราตายไป สารเคมีที่เป็นจิตก็ตายไปด้วย ?
ตอบ : เพราะว่าปัญญาที่รู้แจ้งหรือวิปัสสนาที่จะเห็นอย่างชัดแจ้งไม่มี ยังโดนอวิชชาหรือความมืดมิดบดบังอยู่ เราจึงจำเป็นต้องอาศัยแสงแห่งพระธรรมที่พระพุทธเจ้าสาดส่องมาให้ ขับไล่อวิชชาให้ถอยไป จะได้เห็นความเป็นจริง คิดอย่างที่คุณว่ามาก็ได้ แต่ไม่ตรงกับความเป็นจริง จึงไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง

ความจริงแล้ว เรายึดตั้งแต่ก่อนที่จะมาเกิดอีก เพราะถ้าไม่ยึดเราก็ไม่ต้องมาเกิด ลองไปไล่ปฏิจจสมุปบาทดู อวิชชาปัจจะยา สังขารา เพราะว่าอวิชชา คือ ความไม่รู้หรือรู้ไม่หมด จึงทำให้เกิดการปรุงแต่ง สังขาระปัจจะยา วิญญาณัง เมื่อเกิดการปรุงแต่ง ก็เกิดประสาทรับความรู้สึกขึ้นมา

วิญญาณะปัจจะยา นามะรูปัง ในเมื่อมีประสาทรับความรู้สึก เราจะลอยอยู่เฉย ๆ ก็ไม่ได้ จึงต้องมีนามรูปเป็นเครื่องอาศัย นามะรูปะปัจจะยา สะฬายะตะนัง ในเมื่อมีนามรูปก็ต้องประกอบด้วยอายตนะ ก็คือ เครื่องสำหรับรับรู้รับสัมผัส ภายใน ๖ ภายนอก ๖ ภายใน ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ภายนอก ก็คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์

สะฬายะตะนะปัจจะยา ผัสโส ในเมื่อมีอายตนะก็ต้องมีสัมผัส ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายได้สัมผัส ใจครุ่นคิด ผัสสะปัจจะยา เวทะนา ในเมื่อรับสัมผัสเข้ามา ก็จะเกิดความชอบใจ ไม่ชอบใจ หรือ เฉย ๆ ความสุขความทุกข์ก็เกิดขึ้น หรือความไม่สุขไม่ทุกข์ก็เกิดขึ้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-01-2011 เมื่อ 05:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 124 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #180  
เก่า 30-01-2011, 23:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,443
ได้ให้อนุโมทนา: 151,069
ได้รับอนุโมทนา 4,399,746 ครั้ง ใน 34,032 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เวทะนาปัจจะยา ตัณหา ในเมื่อเกิดความรู้สึกชอบใจขึ้นมาก็คือกามตัณหา เลือกแต่ที่ตัวเองชอบก็เป็นภวตัณหา ผลักไสในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบก็เป็นวิภวตัณหา

ตัณหาปัจจะยา อุปาทานัง ในเมื่อมีความอยากทั้งดีและไม่ดี คำว่าอยากดี ก็คืออยากตามสภาพ อยากไม่ดี ก็คือไม่อยากเป็นไปตามนั้น ซึ่งก็คือความอยากนั่นเอง ทำให้เกิดอุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่น ยึดแล้วเกิดอะไร ? อุปาทานะปัจจะยา ภะโว ก็เกิดภพคือที่เกิด พอยึดรากก็งอกลงไปแล้ว จึงต้องมีที่ให้เกิด

ภะวะปัจจะยา ชาติ ในเมื่อมีที่เกิด ก็ต้องเกิด ชาติปัจจะยา ชะรามะระณังโสกะปริเทวะทุกขโทมนัสสุปายาสา เกิดมาก็แก่ ทุกข์โศกร่ำไร เศร้าโศกเสียใจ ปรารถนาไม่สมหวัง กระทบกระทั่งไม่ชอบใจ เป็นต้น

ถ้าเราไล่ตามปฏิจจสมุปบาท เราจะเห็นชัดเจนเลยว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเรามา เพราะความไม่รู้ของเรานั่นแหละ ทุกอย่างจึงได้เป็นอย่างในปัจจุบัน ขณะนี้เราก็ยังรู้บ้าง ไม่รู้บ้าง และไม่รู้เสียมากกว่า เราก็จะไปสงสัยว่า ทำไมพระพุทธเจ้าไม่สอนแล้วเราไม่รู้จักคิดเอง ? ก็เพราะว่าความมืดบอดของดวงปัญญายังมีมากอยู่ อวิชชายังบดบังอยู่ เราเสียท่ามาตั้งแต่ก่อนเกิดแล้ว จะไปคิดอะไรได้ทัน..!

ถาม : ถ้าตอนนี้เราเห็นว่า เกิดความอยากและไม่อยากเกิดขึ้น จำเป็นที่จะต้องสาวกลับขึ้นไปขนาดนั้นเลยหรือครับ ?
ตอบ : จะสาวกลับไปก็ได้ หรือไม่ก็พิจารณาให้เห็นว่าเป็นทุกข์เป็นโทษอย่างไร แล้วเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด จิตก็จะถอนออกมาเหมือนกัน ถ้าเราไม่ได้มาสายพุทธภูมิโดยตรง ไม่ต้องไปไล่รายละเอียดขนาดนั้นก็ได้

แค่คบร่างกายนี้ชาติเดียว ต่อไปไม่เอาอีกแล้วก็พอ นาน ๆ อาตมาถึงจะพูดของยากเสียที ปกติขี้เกียจอธิบาย
ปฏิจจสมุปบาท เพราะคนอธิบายเองก็ยังเข้าใจไม่ชัดเลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 09-02-2011 เมื่อ 20:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 120 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:08



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว