กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะ เรื่องราวในอดีต และสรรพวิชา > กระทู้ธรรม > ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 08-09-2011, 09:34
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default จงยึดพระธรรมเป็นที่พึ่ง

จงยึดพระธรรมเป็นที่พึ่ง
อย่ายึดสิ่งอื่นซึ่งไม่เที่ยงเป็นที่พึ่ง

สมเด็จองค์ปฐม ทรงมีพระเมตตาตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ มีความสำคัญดังนี้

๑. “คนเราถ้าหากจักเข้าใจ หาความก้าวหน้าในทางปฏิบัติให้หาเครื่องหมายวัดอารมณ์ ๒ ได้ทุกวัน-ทุกเวลา-ทุกขณะจิต เช่น ครูภายนอก หรือธรรมภายนอก คือ รูป-รส-กลิ่น-เสียง-สัมผัส-ธรรมารมณ์ และครูภายในหรือธรรมภายใน คือ ตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ ก็ใช้เป็นเครื่องวัดอารมณ์ได้ตลอดเวลา พึงนำมาพิจารณาและวัดให้เกิดประโยชน์ในการปฏิบัติได้มากมาย ฟังแล้วอย่าฟังเปล่า นำมาปฏิบัติให้เกิดผลด้วย”

๒. “การที่หลวงพี่ลืมเปิดเทปของท่านฤๅษีมาตามสาย จัดเป็นธรรมภายนอก (ครูภายนอก) ในน้อมเข้ามาเป็นธรรมภายใน (ครูภายใน) ได้ว่า ทุกสิ่งในโลกล้วนอนิจจัง อันเป็นธรรมที่จัดว่าเที่ยงก็ถูก จักว่าไม่เที่ยงเป็นปกติธรรมดาก็ถูก ไม่ควรยึดเอามาเป็นอารมณ์ ทำให้เกิดอารมณ์ ๒ พระไตรลักษณ์ท่านแสดงธรรมของท่านอยู่เป็นปกติ ทุกวัน ทุกเวลา ทุกขณะจิต อยู่ที่เราจักเห็นท่านหรือเปล่า”

๓. “โลกไม่เที่ยงอยู่อย่างนี้เป็นปกติ คนเราจิตก็ยังไม่เที่ยง ก็ไม่เที่ยงอยู่อย่างนี้เป็นปกติ ถ้าหากจักไปยึดถือให้เที่ยง ทุกข์ก็เกิดขึ้นมาอย่างแน่นอน สู้ปล่อยวางทำอารมณ์จิตให้ยอมรับธรรมดาอยู่อย่างนั้น ยังจักสบายกว่า”

๔. “อยู่ในโลกอย่าเอาอะไรเป็นบรรทัดฐาน เอาแค่จิตยึดพระธรรมคำสั่งสอนเป็นบรรทัดฐานก็เป็นพอแล้ว เรื่องอื่นภายนอกยึดให้เที่ยงย่อมเป็นไปไม่ได้”

๕. “การปฏิบัติธรรมมุ่งเอาความพ้นทุกข์เป็นใหญ่ ถ้าหากทำแล้วยิ่งทุกข์ สิ่งนั้นย่อมไม่ใช่การปฏิบัติธรรม ให้ดูด้วยว่าการปฏิบัติที่ผ่านมา หรือกำลังปฏิบัติอยู่ หรือจักปฏิบัติไปข้างหน้า ผิดหลักธรรมคำสั่งสอนของตถาคตเจ้าบ้างหรือเปล่า อย่าสักแต่ว่าก้มหน้าก้มตาทำจนไม่รู้ว่าอันใดผิด อันใดถูกพระธรรมวินัย”

๖. “ถ้าหากปฏิบัติถูกหลักธรรม คำว่าทุกข์ของจิตย่อมทุเลาเบาบาง และจากทุกข์ไปได้ในที่สุด ให้ตรวจสอบจิต ตรวจสอบวาจา ตรวจสอบกาย ด้วยอุบายเปรียบเทียบกับหลักธรรมคำสั่งสอนโดยอเนกปริยาย ความผิดพลาดของการปฏิบัติจักไม่มีหรือมีได้น้อย”
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 60 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 09-09-2011, 09:08
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๗. “ดูตัวอย่างการหาตัวดีของหลวงปู่ไวย ท่านหลงหาไปตั้ง ๕ ปี แล้วตีย้อนกลับมาหาพระธรรมวินัย ทำให้กลับจิตได้ทัน จึงเข้าสู่มรรคผลตรงทาง” (จุดนี้ผมขออนุญาตอธิบายเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่ยังตามไม่ทันว่า การหาตัวดีของหลวงปู่ไวยนั้น เป็นทิฐิหรือความเห็นที่ตรงข้ามกับพระพุทธเจ้า เพราะพระองค์ให้หาแต่ความเลว ความไม่ดีที่จิตของเราซึ่งยึดเอาไว้ให้พบ แล้วรีบแก้ไขโดยเร็ว โดยให้หลักว่าให้ระวังความชั่วที่ยังไม่เกิด อย่าให้เกิดขึ้น ให้พยายามละความชั่วที่ยังมีอยู่ให้หมดไป เพราะตราบใดที่สังโยชน์ ๑๐ ข้อ ยังไม่หมดไปจากจิตแล้ว จิตเราจะหลงคิดว่าเราดีได้อย่างไร ทรงให้คอยจับผิดตนเอง แก้ไขตนเองอยู่เสมอ หมายความว่าให้หาเลว ไม่ใช่ให้หาดี แล้วรีบแก้ไขที่ตนเองโดยใช้อริยสัจเป็นหลักสำคัญในการแก้ปัญหา บาลีว่า อัตตนา โจทยัตตานัง)

๘. “ให้ดูลีลาของพระอริยเจ้า ท่านไม่ทิ้งการถอยหน้า-ถอยหลัง หรืออนุโลมปฏิโลมในสัจจานุโลมิกญาณเป็นปกติ พวกเจ้าต้องทำตามนี้ให้ได้เป็นปกติ จักทำให้ไม่ผิดพลาดในการเข้าหามรรคผลนิพพาน ทุกท่านถอยหน้า-ถอยหลังอยู่เป็นปกติ”

๙. “จงอย่าก้าวไปแต่ข้างหน้า ลืมดูข้างหลัง จักทำให้ผิดพลาดได้ แต่ถ้าหากถอยหน้า-ถอยหลัง ย้อนไปย้อนมาทบทวนดูมรรคผลที่ผ่านมา จิตจักมีกำลังเข้มแข็ง มีกำลังใจในการปฏิบัติมาก ให้ลองทบทวนกันดู

๑๐. “ทำงานพระพุทธศาสนาต้องวางกาย วางใจเป็นกลางด้วย พยายามรักษาอารมณ์ของจิต อย่าให้ไปติดอยู่กับอคติ ๔ มากจนเกินไป ทุกอย่างให้ลงตัวธรรมดาเข้าไว้ จิตจักได้เป็นสุข

๑๑. “งานภายนอก งานภายในแยกแยะให้ถูก แล้วงานทั้ง ๒ ประการ ทำให้อยู่ในอารมณ์ที่เป็นกุศล อย่าทำด้วยความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ เพราะพวกเจ้าไม่ต้องการความทุกข์ ทำทุกอย่างเพื่อจักพ้นทุกข์

๑๒. “อย่าสนใจอารมณ์ใจของบุคคลอื่น ให้สนใจอารมณ์ของใจตนเองเป็นสำคัญ การเจริญพระกรรมฐานที่ได้ผลนั้น ต้องดูกิเลสที่เกิดกับอารมณ์ของใจตนเองเป็นสำคัญ ไม่ต้องไปดูกิเลสที่เกิดขึ้นกับอารมณ์ใจของบุคคลผู้อื่น”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-09-2011 เมื่อ 14:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 12-09-2011, 08:42
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๑๓. “จิตของตนจักได้เลิกเป็นตำรวจคอยจับผิดในบุคคลผู้อื่น จักได้ทำหน้าที่อยู่อย่างเดียว คือเป็นตำรวจคอยจับผิดจิตตนเองเป็นสำคัญ”

๑๔. “อนึ่ง อย่าไปขวางแนวทางของการปฏิบัติธรรมของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เพราะทิฐิคนนั้นย่อมไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน ไม่เสมอกัน จิตของคนต่างกัน ทัศนะมุมมองก็ไม่เหมือนกัน จุดนี้ต้องคอยระวังไว้ด้วย

๑๕. "อย่าลืมผิด-ถูกของใครไม่มี มีแต่ไปตามกรรมมาตามกรรม ทุกอย่างเป็นธรรมดาไปหมด พิจารณาลงตัวธรรมดาให้ได้ แล้วจักมีจิตยอมรับกฎธรรมดา ความสงบสุขของจิตจักมีได้มาก

๑๖. “รักษาสุขภาพกาย รักษาสุขภาพจิต เป็นกิจของผู้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท ดังนั้น บุคคลผู้มีความคล่องในการกำหนดรู้กองสังขารแห่งกายและจิตอยู่เสมอ ย่อมเป็นสุขมากกว่าทุกข์ และย่อมดีกว่าผู้ไม่รักษาสุขภาพกายและจิต ปล่อยให้ทรุดโทรม แล้วเกิดอาการเบียดเบียนตนเองทั้งกายและจิต ถ้าอย่างนี้เป็นทุกข์มากกว่าเป็นสุข เพราะฉะนั้น พึงรักษากายและจิตให้มีสุขภาพดีด้วย จงอย่าเบียดเบียนตนเองเป็นอันขาดเพราะหากกายกับจิตมีสุขภาพดี การปฏิบัติธรรมก็ย่อมมีผลดี มีผลทรงตัวด้วย

๑๗. “แม่ชีปอทอตายแล้ว จิตก็รู้แล้วว่าไปไหน จงอย่าสนใจ เพราะไม่ใช่มรรคผลนิพพาน สมควรแล้วที่จักปล่อยวางกิเลสหรือกรรมของบุคคลอื่นเสีย แต่ก็พึงเตือนสติเอาไว้ว่า ลาภสักการะย่อมเป็นเครื่องฆ่าคนโง่ ให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุข นั่นแหละเป็นเครื่องมอมเมาจิตใจให้คนหลงอยู่ ต้องไปสู่ทุคติ มีอบายภูมิ ๔ เป็นต้น” ให้เอาจุดนี้แหละมาเป็นประโยชน์ของตน เตือนจิตของตนอย่าไปเมาในลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุขเป็นอันขาด เพราะไปติดอยู่ในสิ่งเหล่านี้ ก็จักถ่วงการบรรลุมรรคผลให้เนิ่นช้าออกไป จงหมั่นตรวจสอบอารมณ์นี้เอาไว้เสมอ ๆ จักได้ไม่มีอะไรพลาด

๑๘. “อย่าไปสนใจในจริยาของผู้อื่น แม้จักเห็นว่าเป็นการที่เขากระทำไม่สมควรก็ตาม ให้ถือเป็นกรรมของเขา อย่าเอามาใส่ใจเรา จุดนี้แหละ ให้พวกเจ้าดูปฏิปทาของท่านพระ..ไว้ให้ดี ท่านทำตามหน้าที่ แต่จิตไม่เกาะ ไม่สนใจในกรรมส่วนตัวของเขา รู้นั้นรู้ได้ เพราะยังมีอายตนะ แต่รู้แล้วอย่าเอาจิตไปเกาะ รู้เอาไว้เป็นทัศนศึกษาสอนจิตเตือนใจของตนเอง อย่าไปประพฤติเยี่ยงเขา ท่านพระ...ท่านสอนให้เห็นว่าลาภสักการะเกิด ทำให้แม่ชีเดินทางผิด ที่ผิดหนักคือรู้แล้วว่าสิ่งนั้นไม่ควร แล้วยังตั้งใจกระทำไป นั่นแหละเป็นโทษของการปรามาสพระรัตนตรัยอย่างยิ่ง คนที่รู้ว่าผิดแล้วยังเจตนาทำผิดนั้น โทษจึงหนักยิ่งกว่าผู้ที่ไม่รู้ว่าไม่ควรแล้วทำผิดเสียอีก”

๑๙. “เรื่องน้ำท่วมเป็นกฎของกรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จำเป็นต้องชดใช้กันไปทั้งประเทศ บางพื้นที่ท่วมมากบ้าง-น้อยบ้าง-ไม่ท่วมบ้าง-ท่วมบ้าง ตามอัธยาศัยของกรรมที่ให้ผล อย่าไปกังวลให้มาก ให้ดูเป็นเรื่องของธรรมดา (น้ำท่วมวันในเดือน ก.ย. และ ต.ค. ๒๕๓๘) ทำจิตให้ยอมรับว่าเป็นกฎธรรมดา ให้เห็นทุกข์จากการขนของหนีน้ำ การมีร่างกายหรือขันธ์ ๕ ก็ต้องเหนื่อยอย่างนี้ การมีทรัพย์สินก็ต้องมีธุระทำให้เหนื่อยอย่างนี้ แล้วให้จับลงที่มรณาและอุปสมานุสติ คือหากกายพังเมื่อไหร่ ก็ขอไปพระนิพพานเมื่อนั้น ทุกข์เหล่านี้ก็จักไม่มีอีก ให้ลงตรงกฎของกรรม มนุษยชาติพึงประสบกรรมนี้มาแล้ว มิใช่แต่ปัจจุบันชาติ ในอดีตก่อน ๆ มนุษย์ก็พบกับกฎของกรรมอย่างนี้มาแล้วนับภพชาติไม่ถ้วน ยกตัวอย่างง่าย ๆ ใกล้ ๆ นี้ก็คือ นครเชียงแสนที่จมถล่มลงใต้กระแสน้ำนั้นประการหนึ่ง หรือจักเอาในพระสูตร พระเจ้ากัมปนาทซึ่งสร้างปราสาททองคำ ๆ นั้นก็จมลงใต้น้ำ ให้พิจารณาไปตามนี้จักได้สบายใจ เพราะจักได้เห็นธรรมดาของกฎของกรรม เรื่องน้ำท่วมจึงไม่ใช่เรื่องแปลก จักไปฝืนกฎของกรรมนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ เมื่อพิจารณาให้ลงกฎของกรรม เห็นธรรมดาแล้วจิตก็จักไม่ดิ้นรน มีความสบายใจ เพราะไม่รู้จักทุกข์ไปเพื่อประโยชน์อันใด ธรรมดาของโลกมันเป็นอย่างนี้

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 12-09-2011 เมื่อ 12:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 12-09-2011, 09:09
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๒๐. “ท่านฤๅษี ท่านไม่มีนโยบายกั้นน้ำ ท่านได้แต่ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามธรรมชาติ และจุดไหนอันพึงมีของจะเสียหาย ท่านก็ให้ขนของนั้น ๆ ขึ้นมา ก่อนน้ำจะท่วมถึง เป็นการกันไว้ดีกว่าแก้ ท่านรู้ดีว่าเป็นกฎของกรรมที่หลีกหนีไม่พ้น มองเห็นเป็นของธรรมดา จิตไม่หวั่นไหวหรือทุกข์ไปกับกฎของธรรมดา การป้องกันไม่ให้น้ำท่วมจริง ๆ จักต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก หากจักทำกันแบบเฉพาะหน้า ก็เหมือนกับการเอาทรัพย์มาละลายแม่น้ำ พวกเจ้าอย่าทำบุญตามใจอยากมากเกินไป จักเบียดเบียนตนเองในภายหลัง ศรัทธาเกินพอดี ก็ทำให้เบียดเบียนตนเองได้ การปฏิบัติธรรมทั้งหมด มุ่งการทำให้หมดทุกข์เป็นสำคัญ จึงจักเป็นการเจริญพระกรรมฐานอย่างแท้จริง

๒๑. “น้ำท่วมวัดครั้งนี้ มีผลทำให้ต้นโพธิ์และต้นไทรใหญ่หลายต้นล้ม เช่น ที่ตึกอำนวยการข้างพระจุฬามณี อีกต้นหนึ่งที่อยู่ระหว่างศาลา ๓ ไร่ และ ๔ ไร่ และอีกต้นพร้อมกับต้นไทรหน้ามณฑปแก้วสมเด็จองค์ปัจจุบัน ทุกต้นล้มแบบถอนรากถอนโคน ทุก ๆ ต้นล้วนมีเทวดาอยู่จำนวนมาก ท่านรองเจ้าอาวาสต้องตั้งศาลให้ทุก ๆ จุดที่ต้นไม้ล้ม เพราะในช่วงนั้นเจ้าอาวาสเข้ากรุงเทพฯ มาที่ซอยสายลมตามปกติตอนต้นเดือน ทรงตรัสว่าทำให้ท่านดี ๆ แล้ววัดจักรุ่งเรืองได้อีกวาระหนึ่งหลังน้ำท่วมแล้ว”


ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๘
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่ www.tangnipparn.com
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:48



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว