กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 21-05-2017, 08:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,955 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๖๐

ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ สำหรับวันนี้เรื่องที่อยากจะพูดก็คือ ในการปฏิบัติธรรมของพวกเรานั้น ทำอย่างไรเราถึงจะมอบกายถวายชีวิตให้กับการปฏิบัติธรรมจริง ๆ จัง ๆ ได้ ?

หลายท่านพอเริ่มจะปฏิบัติธรรม เริ่มรักษาศีล เริ่มเจริญภาวนา ก็มักจะโดนคนรอบข้างว่าในลักษณะติเตียนบ้าง กระทบกระเทียบเปรียบเปรยบ้าง ด่าตรง ๆ บ้าง เราก็ไปให้ความสำคัญกับคำพูดเหล่านั้น แล้วก็ละทิ้งการปฏิบัติของเราไป ทั้ง ๆ ที่เวลาตาย คนที่ตกนรกคือเรา คนที่เกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานก็คือเรา แต่เรากลับไปให้ความสำคัญกับคำพูดของคนอื่น จนกระทั่งละทิ้งการปฏิบัติใน ทาน ศีล ภาวนา ของเราไป

ในส่วนของพรหมวิหาร ๔ นั้น มี เมตตา กรุณา เมตตาคือความรัก กรุณาคือความสงสาร ให้เราใช้กับตัวของเราเองก่อน ถ้าเรารัก เราสงสารตัวเอง กลัวตัวเองจะตกนรก เรารักเราสงสารตัวเอง กลัวตัวเองจะเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เราจึงต้องตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา

เมื่อเป็นเช่นนั้น เราเองเหมือนกับเป็นผู้รู้ว่า มีภัยใหญ่รอเราอยู่ข้างหน้า ในเมื่อโทษภัยใหญ่หลวงรออยู่ข้างหน้า ถ้าเราไม่สามารถที่จะก้าวข้ามไปได้ ก็จะต้องตกสู่อบายภูมิ ทนทุกข์ทรมานอีกนานแสนนาน กว่าจะได้เกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์ กว่าจะได้พบพระพุทธศาสนา กว่าจะได้มีโอกาสฟังธรรมแล้วน้อมนำมาปฏิบัติ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-05-2017 เมื่อ 16:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 22-05-2017, 08:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,955 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ต้องบอกว่าเป็นที่ตัวเราเอง ถ้าคนอื่นเขาว่ากล่าว โทษย่อมเกิดกับเขา เราเองก็อาจจะหลีกเลี่ยงเสีย อย่างเช่นว่า ถึงเวลาก็ไปแอบปฏิบัติสมาธิภาวนาของเรา

การรักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ ก็ไม่จำเป็นต้องไปบอกกล่าวคุยอวดกับใคร ถ้าออกงานสังคมทำไมถึงไม่กินเหล้า ? เมื่อมีคนถามเราอาจจะบอกได้ว่า สุขภาพไม่ดีแล้ว หมอห้ามเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือแพ้แอลกอฮอล์ กินลงไปแล้วหายใจไม่ออก...จะตายเอา อะไรของเราก็ว่าไป หรือว่าเรารักษาศีล ๘ ถึงเวลาเพื่อนชวนกินข้าวเย็น จะไปบอกตรง ๆ ว่ารักษาศีล ๘ เดี๋ยวเพื่อนรับไม่ได้ เราก็บอกว่าอ้วนแล้ว กำลังลดความอ้วนอยู่

ถามว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นการโกหกหรือไม่ ? เป็น...แต่อานิสงส์มีมากกว่า เพราะว่าถ้าเป็นเรื่องโกหก เรารู้ว่าเป็นเรื่องโกหก เราตั้งใจหลอกลวงเขา เราว่ากล่าวออกไปสามารถหลอกลวงได้สำเร็จ ก็จะเกิดโทษร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม แต่ในลักษณะนี้ของเรา เราไม่ได้เจตนาจะโกหกหลอกลวงเขา แต่เป็นการรักษากำลังใจไม่ให้เขาต้องมาเดือดร้อน เป็นทุกข์เป็นโทษด้วยการกระทำความดีของเรา ก็กล่าวเลี่ยงไปอีกเรื่องหนึ่ง ผ่อนหนักให้เป็นเบา ในส่วนที่เป็นบุญเป็นกุศลย่อมมีมากกว่า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-05-2017 เมื่อ 12:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 22-05-2017, 08:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,955 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าหากว่าเรารู้เลี่ยง รู้ผ่อนหนักรู้ผ่อนเบา การปฏิบัติของเราจะก้าวหน้าไปเรื่อย เมื่อถึงเวลาพร้อมด้วยศีล พร้อมด้วยสมาธิ พร้อมด้วยปัญญา ตัวเราจะเกิดแรงดึงดูดมหาศาล ดึงให้คนรอบข้างอยากจะทำความดีตามมา เมื่อถึงเวลานั้นถ้าเขาสนใจไถ่ถาม เราจึงอาศัยโอกาสนั้นบอกกล่าวถึงความดีความงามว่า ศีล สมาธิ ปัญญา นั้นดีเช่นไร

ดังนั้น...ในการปฏิบัติธรรมของเรา อย่าเอาคำพูดของคนชั่วเป็นประมาณ เพราะว่าคำพูดของคนชั่วมีแต่จะพาให้เราตกต่ำ สิ่งที่เอาเป็นประมาณคือคำพูดของกัลยาณมิตร ที่ช่วยหนุนเสริมในการกระทำความดีของเรา เป็นต้น

ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันเสาร์ที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๖๐

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้า)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นายกระรอก : 24-06-2020 เมื่อ 02:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:55



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว