กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 15-03-2010, 12:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,379 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๓

นั่งในท่าที่สบายของทุกคน ผ่อนคลายให้ได้มากที่สุด เพียงแต่ว่าตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดไว้เฉพาะหน้า คือให้ความรู้สึกของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา หายใจเข้าพร้อมกับคำภาวนาที่เราถนัด หายใจออกพร้อมกับคำภาวนาที่เราถนัด เพื่อสร้างความมั่นคงให้เกิดขึ้นแก่จิตของเราก่อน

สำหรับวันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ เป็นวันแรกของการปฏิบัติกรรมฐานในเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งช่วงนี้เหตุการณ์บ้านเมืองทั้งหลายก็ไม่ค่อยจะปกตินัก

มีญาติโยมสอบถามถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในบ้านในเมือง การสอบถามนั้น อยากจะบอกว่าจริง ๆ แล้ว ก็คือ กลัวว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นกับตนเอง หรือกับคนที่ตัวเองรัก ความที่กลัวจะเกิดเรื่องนั้น ขอให้เข้าใจว่าเป็นความกลัวตาย เพราะว่าถ้าอันตรายรุนแรงมากก็อาจจะถึงตาย ตัวเราหรือคนที่เรารักได้ตายไป เป็นต้น จึงกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ความกลัวทุกประเภท มีพื้นฐานมาจากการกลัวตายทั้งหมด

เหตุที่เรากลัวตายเพราะเรายังไม่รู้ว่าความตายที่แท้จริงนั้นคืออะไร ถ้าเรารู้จักความตายอย่างถ่องแท้ ความกลัวก็จะหมดไป

ความตายนั้น ที่จริงแล้วเป็นการเปลี่ยนรูปเปลี่ยนขันธ์ไปตามบุญตามบาปที่เราสร้างมาเท่านั้น พูดง่าย ๆ ก็คือว่า การตายนั้น ตายแต่ร่างกาย แต่ใจนั้นไม่ได้ตายไปด้วย เมื่อถึงเวลาแล้ว บุญบาปที่เราทำอยู่ ก็ส่งให้ใจนั้นเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิไป ไปยึดถือรูปอื่นขันธ์อื่น ตามกำลังบุญกำลังบาปของตน

ถ้าสร้างบาปไว้มาก ก็เป็นสัตว์นรกบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสุรกายบ้าง เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง ถ้าหากทำความดีไว้บ้าง ก็ได้เกิดเป็นมนุษย์ ถ้าหากดีกว่านั้นก็ได้เกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า ดีปานกลางก็เกิดเป็นพรหม ถ้าดีถึงที่สุดก็หลุดพ้นไปสู่พระนิพพาน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายนั้นเป็นของเที่ยง คือ ชีวิตของเรานั้นจะตายเมื่อไรก็ไม่แน่ แต่ความตายนั้นต้องมาถึงแน่นอน พระองค์ตรัสไว้อีกว่า สัตว์โลกทั้งหลายเกิดมาเท่าไร ตายหมดเท่านั้น เพียงแต่ว่าระยะในการเกิดนั้นใช้ระยะเวลาประมาณสิบเดือน แต่เวลาจะตายนั้นใช้ระยะเวลาหลายสิบปี เราจึงคิดว่ามีการเกิดมากกว่าการตาย แต่ความจริงแล้วมีเท่ากัน เกิดมาในที่สุดก็ต้องตายกันทุกคน

ถ้าหากเรามีความเข้าใจอย่างชัดเจนว่า ความตายไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เป็นธรรมดาของทุกคนที่จะต้องพบเห็น ความตายเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนสภาพของร่างกายที่เรายึดถือนี้เท่านั้น ถ้าเรารู้ความจริงเช่นนี้ ความกลัวตายก็จะค่อย ๆ หมดไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-03-2010 เมื่อ 20:46
สมาชิก 62 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 15-03-2010, 14:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,379 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเรื่องของความตายนั้น เป็นเครื่องช่วยไม่ให้พวกเราประมาท เมื่อรู้ว่าความตายจะมาถึง ด้วยความที่เกรงว่าอาจจะต้องตกอยู่ภพภูมิที่ไม่ดี เราก็จะได้เร่งทำความดีให้มากเข้าไว้ ความดีทั้งหลายที่ต้องทำ ก็ไม่ได้พ้นจากศีล จากสมาธิ จากปัญญาเลย

ดังนั้น..ถ้าหากว่ามีความกลัวตายเกิดขึ้น ถ้าเราเข้าใจในความเป็นจริงแล้ว เราก็จะเห็นว่าความตายไม่ได้น่ากลัว แต่ความเกิดจึงเป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะว่าเมื่อเกิดมาแล้ว ก็ต้องเผชิญอยู่กับความทุกข์อยู่ตลอดเวลา ตราบใดที่ยังเวียนตายเวียนเกิดอยู่ ก็จะมีแต่ความทุกข์เป็นปกติ

ดังนั้น..การเกิดจึงเป็นเรื่องที่น่ากลัวกว่าความตาย ในเมื่อเรายังกลัวความตายอยู่ ก็ต้องเร่งสั่งสมความดีของเรา ความดีเบื้องต้นคือศีล จำเป็นที่จะต้องระมัดระวังรักษา ให้ทุกสิกขาบทบริสุทธิ์บริบูรณ์ ความดีเบื้องกลางคือสมาธิ ต้องทำกำลังใจให้มั่นคง มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งในหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเครื่องยึดเกาะ อย่างเช่นลมหายใจเข้าออกก็ดี คำภาวนาตามกองกรรมฐานก็ดี ภาพพระของเราก็ดี เป็นต้น

ความดีของการเจริญภาวนาก็คือ มีปัญญา รู้จักแยกแยะ ให้เห็นสภาพความเป็นจริงร่างกายของเรา ไม่ว่าจะเป็นคน เป็นสัตว์ก็ตาม ก็มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความเปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุด ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ก็มีแต่ความทุกข์ ท้ายสุดก็ไม่มีอะไรเหลือเป็นเรา เป็นของเราได้

ถ้าหากว่าเราระลึกถึงความตายเป็นปกติ มีความไม่ประมาท ตั้งใจปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา การก้าวถึงความเป็นพระอริยเจ้าก็ไม่ใช่ของยาก เนื่องจากพระอริยเจ้าระดับต้นได้แก่พระโสดาบัน ระลึกถึงความตาย โดยรู้ตัวอยู่เสมอว่าชีวิตนี้ต้องตาย เมื่อรู้ตัวอยู่เสมอว่าต้องตายก็เร่งทำความดีของตนเอาไว้

ดังนั้น..การที่เรารู้ตัวว่าจะต้องตายก็ดี การพิจารณามรณานุสติ คือ ระลึกถึงความตายก็ดี ถือว่าเป็นกำลังใจเบื้องต้นที่จะยึดเกาะความดีได้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพราะส่วนใหญ่แล้วเกรงว่าจะตายลงสู่ทุคติ เราจะเห็นว่าจริง ๆ ความตายของเป็นดี เพียงแต่เราจะรู้จักนำของดีนั้นมาใช้หรือเปล่าเท่านั้นเอง

ความตายนั้นที่จริงแล้วอยู่กับเราทุกลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออกถ้าไม่หายใจเข้าก็ตายแล้ว เมื่อเป็นดังนี้ก็จะเห็นว่าความตายใกล้ชิดกับเราเป็นอย่างยิ่ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-03-2010 เมื่อ 20:47
สมาชิก 55 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 16-03-2010, 00:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,379 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

บุคคลที่เกิดก่อนเรา ในรุ่นของปู่ย่า ตาทวด และพ่อแม่ ลุงป้า น้าอา ตายไปมากแล้ว บุคคลที่เกิดไล่เลี่ยกับเรา จะเป็นรุ่นพี่ รุ่นเพื่อน รุ่นน้องก็ดี ก็มีตายให้เห็นแล้ว และท้ายสุดบุคคลที่เกิดหลังเรา ไม่ว่าจะเป็นลูก เป็นหลาน เป็นเหลนก็ตาม ก็มีบ้างที่ได้ตายไปแล้ว จึงกล่าวได้ว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง

เมื่อเราเห็นว่าความตายเป็นของเที่ยง ถ้ายังประมาทมัวเมาอยู่ ตายแล้วตกสู่ทุคติ ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะว่าเสียทีที่เกิดมา ดังนั้น...ขอให้ทุกท่านทบทวนในเรื่องของความตายไว้เสมอ กำหนดจิตรู้อยู่เสมอว่าจะต้องตาย อารมณ์ราคะเกิดขึ้นให้รู้เอาไว้ว่า เราจะต้องตายแน่นอน อารมณ์โทสะเกิดขึ้น ให้รู้ไว้ว่าเราจะต้องตายแน่นอน อารมณ์โมหะเกิดขึ้น ก็ให้รู้ว่าเราจะต้องตายแน่นอน ถ้ามีความรู้ตัวอยู่อย่างนี้ ราคะ โทสะ โมหะ ก็ทำอันตรายเราได้ยาก


เพราะในเมื่อเรารู้ว่าจะต้องตาย ก็เร่งขวนขวายความดีเอาไว้ ถ้าหากเรารักษาศีลก็ระงับซึ่งโทสะ ถ้าหากว่าเราเจริญภาวนาก็ระงับซึ่งโมหะ ถ้าเราเจริญในจาคานุสติหรือปฏิบัติในทานบารมีก็ระงับในซึ่งโลภะ เป็นต้น

ดังนั้น..สำหรับวันนี้แล้ว ขอให้ทุกคนทราบไว้ว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองนั้น ไม่ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ตาม เรามีความตายเป็นปกติอยู่แล้ว ในเมื่อความตายจะมาถึงเป็นปกติ การสั่งสมบุญความดีก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องเร่งทำให้มากไว้

ถ้าหากว่าเรามั่นคงในทาน ศีล ภาวนา เชื่อมั่นว่าความดีนั้นคุ้มครองรักษาเราได้ เชื่อมั่นว่าคุณพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สามารถคุ้มครองรักษาเราได้ เชื่อมั่นในอานุภาพของพรหมของเทวดา ของครูบาอาจารย์ว่าคุ้มครองเราได้ ความกลัวตายก็ลดน้อยถอยลง และในที่สุดก็จะเห็นความเป็นปกติ ว่าการเกิดมามีร่างกายนี้ต้องตายแน่นอน

ถ้าหากว่าตายแล้วเราควรจะเลือกที่หมายที่ไหน ก็ขอให้เลือกเป้าหมายที่สูงที่สุด ที่ไกลที่สุดคือพระนิพพานเอาไว้ เมื่อรู้ตัวว่าจะตาย ก็ให้ตั้งใจเอาไว้ว่าไปนิพพานแห่งเดียว เมื่อความรู้สึกว่าร่างกายนี้ต้องตายเป็นปกติ ลมหายใจเข้าออกของเรานั้น มีอยู่เป็นปกติ ก็เอาจิตของเราเกาะพระนิพพานเอาไว้ ตั้งใจว่าถ้าตายตอนนี้เราก็ขอไปอยู่ที่พระนิพพานแห่งเดียวเท่านั้น

ให้ทุกคนกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกและคำภาวนาตามอัธยาศัย หรือกำหนดกสิณภาพพระอย่างใดอย่างหนึ่งตามอัธยาศัย ถ้าหากว่าลมหายใจเข้าออกมีอยู่ ก็กำหนดลมไป ถ้าไม่มีลมหายใจเข้าออก ก็กำหนดรู้ลมไว้ว่าไม่มี ถ้ามีคำภาวนาอยู่ ก็กำหนดคำภาวนาไปด้วย ถ้าไม่มีคำภาวนา ก็กำหนดรู้ไว้ว่าไม่มีคำภาวนา ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้รับสัญญาณว่าหมดเวลา



พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันศุกร์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๓
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-03-2010 เมื่อ 03:12
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:59



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว