กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #41  
เก่า 18-01-2013, 12:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พระอนาคามีท่านก้าวล่วงกามราคะหมดแล้ว แต่ก็ไม่น่าจะไปเสวยกรรมที่สวรรค์ ?
ตอบ : เหมือนกับคนไม่กินอาหารแล้วเข้าไปนั่งในร้านอาหาร ไม่จำเป็นต้องสั่งอาหารก็ได้นี่นา สมัยนี้เขาเข้าไปนั่งทำการบ้านในร้านแม็กโดนัลด์กันเยอะแยะไป

ภูมิเทวดาก็มีพระอนาคามี อากาศเทวดา ๖ ชั้นที่เป็นฉกามาพจร คือผู้ที่เกี่ยวข้องอยู่กับกามก็มีพระอนาคามีตั้งมากมาย บางท่านตั้งใจไปอยู่ที่นั่นเลย หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยถาม ท่านบอกว่าเพื่อนอยู่ที่นี่ ก่อนตายนึกว่าอยากจะไปอยู่กับเพื่อนแค่นั้น เจตจำนงสุดท้ายก่อนอสัญกรรม

พระอรหันต์ท่านลงมาร้านอาหารเยอะแยะไป ท่านมาทำงานแล้วก็กลับ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-01-2013 เมื่อ 19:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 254 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #42  
เก่า 18-01-2013, 12:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : นางไม้จัดอยู่ในกลุ่มเทวดาหรือเปรต ?
ตอบ : รุกขเทวดา

ถาม : ผีปลวกละครับ ?
ตอบ : จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันนั่นแหละ

ถาม : ผีกองกอย ?
ตอบ : จัดอยู่ในกลุ่มของอสุรกาย ทางด้านภาคเหนือก็มีผีเสื้อห้วย ชอบหากินอยู่ตามป่า ตามเขา ตามลำห้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-01-2013 เมื่อ 19:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 248 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #43  
เก่า 18-01-2013, 13:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เสือสมิงเกิดจากอะไร ?
ตอบ : เสือสมิงมี ๒ อย่าง อย่างหนึ่งก็คือวิญญาณคนที่ถูกเสือกินเข้าสิงเสือตัวนั้น อีกประเภทเกิดจากวิชาที่เขาฝึก พวกหัวใจเสือสมิง ฯลฯ แล้วกลายเป็นเสือ แต่วิชาที่ฝึกนี้ถ้ายังไม่ฆ่าคน สามารถแก้คืนได้ ถ้าฆ่าคนแล้วต้องเป็นเสือไปเรื่อย สมัยก่อนทางปักษ์ใต้เขาฝึกกันเยอะ ทางด้านเขมรก็เยอะ ทางปักษ์ใต้เขาจะมีพวกบรรดาตาหลวงต่าง ๆ เขาจะมีฝึกพวกวิชานี้ จนกระทั่งคนเขาเคารพนับถือ พอตายแล้วเขาก็ยกให้เป็นเจ้าที่เป็นเทพารักษ์

มีอยู่รายหนึ่งฝึกแล้วรู้ว่าตัวเองต้องกลายเป็นเสือ ก็ไปปลูกกระต๊อบที่ท้ายสวนยาง ให้ลูกสาวเอาอาหารไปส่ง คราวนี้ครั้งสุดท้ายลูกสาวไปเรียก แกเปิดประตูยื่นมือออกมาเป็นเล็บเสือ ลูกสาวเลยวิ่งหนีไปเลย ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ไปส่งข้าวอีก

ถาม : แล้วพวกนี้เขาไม่รู้ว่าฝึกแล้วจะกลายเป็นแบบนี้ ?
ตอบ : เขารู้

ถาม : รู้แล้วจะฝึกทำไม ?
ตอบ : เขาชอบ แบบเดียวกับพวกรู้ว่าบุหรี่ไม่ดีแล้วไปสูบ ก็เขาชอบวิชาการพวกนั้น พวกนี้มีอะไรเขาศึกษาหมด เหมือนพวกเล่นพระเครื่อง เล่นแสตมป์ เขาชอบของเขา เราเห็นว่าเหลวไหลไร้สาระ แต่เขาชอบเขาก็ทำ

จริง ๆ แล้วท่านทั้งหลายเหล่านี้ใฝ่รู้เสียด้วยซ้ำ รู้อยู่ว่าฝึกแล้วอาจจะเกิดโทษบางอย่างได้ แต่ก็มีความมั่นใจในตัวเอง มั่นใจว่าตัวเองทำได้ ก็น่าจะหักห้ามใจตัวเองไม่ให้ฆ่าคนได้ ทางด้านเหนือของเราเมื่อหลายปีก่อนมีครูบาเสือดำ ฝึกประเภทนี้จนกระทั่งแปลงเป็นเสือดำตัวใหญ่ได้ แต่ช่วงขึ้น ๑๔ - ๑๕ ค่ำ และแรม ๑ ค่ำ จะกลายเป็นเสือ เพราะฉะนั้นช่วง ๑๓ ค่ำท่านจะเข้าไปอยู่ในป่าในถ้ำ พอพ้นวาระนั้นแล้วถึงกลับเข้ามาวัด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-01-2013 เมื่อ 20:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 244 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #44  
เก่า 18-01-2013, 14:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : จะแก้คืนได้ไหมครับ ?
ตอบ : ก็น่าจะมีวิธีนะ แต่ว่าเขาชอบ แล้วเขาจะไปแก้ทำไม ? อย่าลืมว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าไม่มั่นใจตัวเองก็ไม่ฝึก ในเมื่อฝึกแล้วมั่นใจว่าควบคุมตัวเองได้ ยกเว้นกรรมเก่าบางอย่างมาพอดี ทำให้ไปฆ่าคนเข้าก็หมดสิทธิ์แก้คืน

ทางด้านเขมรเขามีเคล็ดในการแก้พวกเสือสมิงจากวิชาพวกนี้ว่า ถ้ายังไม่ได้ฆ่าคนให้ตีด้วยไม้คานก็จะกลับเป็นคน แต่ใครจะกล้าไปตีเสือด้วยไม้คานละ ? คือไปเจอพวกใจถึงที่ไปหาของป่า คราวนี้ตัวเองมีแต่มีดเหน็บ ก็สลัดของทิ้งแล้วเอาไม้คานตี ปรากฏว่าเสือกลายเป็นคน เขาก็เลยได้เคล็ดว่าต้องตีด้วยไม้คาน


ถาม : ถ้าตีด้วยไม้คานเขาจะกลับคืนร่าง ไม่เป็นเสือต่อไปหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าของขึ้นเดี๋ยวก็กลายเป็นเสืออีก ก็คืออย่างน้อยช่วยให้คืนเป็นคนได้บ้าง

ถาม : เป็นเพราะอำนาจสมาธิหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : น่าจะเป็นอภิญญาเสียด้วยซ้ำไป คือเปลี่ยนการจัดเรียงโมเลกุลในร่างคนให้เป็นการจัดเรียงโมเลกุลแบบเสือ เพียงแต่การเปลี่ยนนั้นเปลี่ยนด้วยอำนาจจิต
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-01-2013 เมื่อ 20:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 245 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #45  
เก่า 18-01-2013, 14:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์พูดถึงปฏิทิน AIA ปีนี้ว่า "ท่านอาจารย์จักรพันธ์เอาแบบจากหน้าปกหนังสือประวัติหลวงปู่ปานมา แล้วก็วาดรูปหลวงปู่ตามนั้น แต่รูปหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านมีแบบให้วาด คือท่านอาจารย์จักรพันธ์มากราบหลวงพ่อขอดูตัวจริง แล้วก็ถ่ายรูปไป เอาภาพตัวจริงในความจำกับรูปถ่ายไปวาด ที่ขำก็คือแม่ของท่านอาจารย์จักรพันธ์มาเห็น “พระองค์นี้ยังอยู่อีกหรือ ?” ท่านอาจารย์จักรพันธ์บอกว่า "อยู่ครับ..ลูกศิษย์เยอะด้วย" แม่ท่านบอกว่า “พระหนุ่ม รูปหล่อ ปากหวานอย่างนี้ ส่วนใหญ่ไม่รอด โดนสาวเอาไปกินหมด ท่านอยู่มาได้อย่างไรก็ไม่รู้ ?”

ท่านอาจารย์จักรพันธ์เพิ่งไปซ่อมรูปหลวงปู่หลวงพ่อที่วัดท่าซุงเมื่อไม่นานมานี้ ไปซ่อมสี เคลือบน้ำยาทับ แล้วก็ใส่กรอบใหม่ให้ เพราะว่ารูปหลวงปู่หลวงพ่อเขาติดไฟล้อมไว้ คราวนี้เปิดไฟทุกวัน ๆ ก็เท่ากับโดนแดดทุกวัน สีก็ซีดหมดสภาพ ยังดีว่าจิตรกรเก่ง ซ่อมแล้วออกมาเหมือนใหม่เลย

ในช่วงแรกท่านอาจารย์จักรพันธ์ยังไม่เคยวาดรูปพระสงฆ์ ก็วาดรูปหลวงปู่ปานเป็นรูปแรก แล้วก็รูปหลวงพ่อฤๅษี จะสังเกตว่ารูปที่วาดรุ่นแรกจะไม่มีลายเซ็น แต่คนเขาดูจะรู้ว่านี่ฝีมือท่านอาจารย์จักรพันธ์ พอมาวาดรูปหลวงปู่หลวงพ่อองค์อื่นหลังจากนั้นก็จะมีลายเซ็น มีวันที่ให้รู้ว่าวาดเสร็จเมื่อไร"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-01-2013 เมื่อ 18:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 247 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #46  
เก่า 18-01-2013, 14:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ทำไมใช้คำว่า "อภิญญาสมาบัติ" ?
ตอบ : อภิญญาก็คือความรู้ที่ยิ่งกว่า สมาบัติก็คือการเข้าถึง การเข้าถึงความรู้ที่ยิ่งกว่าปกติ

ถาม : อย่างบางท่านได้สมาบัติ คือทำปฐมฌานให้คล่องแล้วตั้งกำหนดเวลา ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นเขาเรียกว่า ปฐมสมาบัติ แต่อภิญญาต้องแสดงฤทธิ์ได้ ถ้าไม่มีสมาบัติเป็นพื้นฐาน อภิญญาก็ไม่เกิด ก็คืออภิญญาทุกอย่างต้องมีพื้นฐานมาจากฌาน โดยเฉพาะต้องเป็นฌาน ๔ ด้วย เขาก็เลยใช้คำว่าอภิญญาสมาบัติ

ถาม : ต้องถึงวสีหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องถึงวสีก็ได้ แต่ช้าหน่อย อธิษฐาน ๓ - ๔ รอบก็ได้ แต่ขอให้ทำได้ก็แล้วกัน ถ้าถึงวสีนี่เป็นประเภทกันกิเลสทัน เพราะว่าทันทีที่รู้ตัวกิเลสจะกำเริบแล้ว ก็เข้าอภิญญาสมาบัติ กดกิเลสให้เงียบสนิทไว้

ถาม : ฌานสี่ต้องภาวนาทั้งวันหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าคนทำได้ต่อให้นั่งคุยกันเขาก็ทรงฌานสี่ได้ นั่งภาวนาทั้งวันนั่นเด็กหัดใหม่ คือทำอะไรอยู่ก็ตาม กิเลสไม่สามารถจะเกิดได้เหมือนกับทรงฌาน ๔ เพราะฉะนั้น..เขาถึงได้เรียกว่าฌานใช้งาน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-01-2013 เมื่อ 20:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 243 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #47  
เก่า 18-01-2013, 14:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : คำว่ารูปขันธ์ คือ ?
ตอบ : ร่างกายของเรานี่แหละ ทุกอย่าง คน สัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของ สามารถจับได้ต้องได้เป็นรูปธรรม บางคนก็เรียกว่ารูป แต่คำว่ารูปขันธ์คือกองรวมแห่งรูป

ถาม : ทำไมเขาเรียกว่า "ขันธ์" ?
ตอบ : เกิดจากการรวมตัวของดิน น้ำ ไฟ ลม ขันธะแปลว่ารวม , รวมหมู่ เมื่อดิน น้ำ ลม ไฟ ประชุมรวมหมู่ขึ้นมาเป็นวัตถุธาตุชิ้นนั้น ๆ จึงเรียกว่ารูปขันธ์ มัวแต่ไปวิเคราะห์รากศัพท์อยู่ ก็ไม่ต้องทำมาหากินกันพอดี ให้ฟังรู้เรื่องก็พอ

ถาม : แปลว่าสัตว์ที่เกิดต้องมีการปรุงแต่ง ?
ตอบ : ต้องมี..ถ้าไม่มีไม่มาเกิดหรอก โดยเฉพาะการปรุงแต่งของอวิชชา ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรม หรือกุศลกรรม

ถาม : การเกิดตามสภาพภูมิประเทศต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องกรรมไหมครับ ?
ตอบ : นั่นเขาเรียกว่า อุตุนิยาม เกิดจากผลกรรมที่ทำมา แล้วขณะเดียวกันก็เกิดจากเจตจำนงของตนก็ได้ เกิดจากงานที่ตั้งใจไว้ว่าจะทำก็ได้ จัดว่าอยู่ในเจตจำนงเหมือนกัน จึงต้องไปลงตรงนั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-01-2013 เมื่อ 20:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 229 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #48  
เก่า 18-01-2013, 21:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เดิมผมติดนิสัยนั่งหลังค่อม อย่างหลวงปู่ทวดในรูป ?
ตอบ : ไอ้นี่โทษหลวงปู่..! หลวงปู่เป็นพระแก่อายุ ๙๐ กว่าปี ท่านไม่มีกำลังก็นั่งหลังค่อมเป็นธรรมดาของคนแก่ ตัวเองอายุเพิ่งจะ ๒๐ ปี นั่งไม่ดีเองแล้วไปโทษหลวงปู่...

ถาม : ผมเพิ่งจะฝึกนั่งหลังตรง ก็ยังฝืน ๆ อยู่ ถ้านั่งจนชินแล้ว จะเลิกพะวงเรื่องหลังใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้านั่งจนเคยชินแล้วก็จะไม่นึกถึง

ถาม : แล้วต้องทำนานแค่ไหน ?
ตอบ : อยู่ที่เราว่าเราฝึกหัดอย่างไร อย่างอาตมานั่งเมื่อไรก็ต้องเคยชินแบบนี้ นึกถึงหลวงปู่พูล วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม ท่านอายุ ๙๐ กว่าปียังนั่งตัวตรงเป๊ะ นั่นคือฝึกมาถูกต้องตามแบบฝึกเลย ท่านเป็นอมตะเถราจารย์ของนครปฐม ดังช้าที่สุด..มาดังตอนอายุ ๙๐ ปี แต่ดังแล้วไม่ยอมดับกับใคร เมื่อท่านมรณภาพเขาไล่ตั้งแต่วันมรณภาพ อายุมรณภาพ เวลามรณภาพ ทุกอย่างออกเป็นหวยหมด ลูกศิษย์รวยกันไม่รู้เรื่อง

ถาม : เห็นพระวัดท่าขนุนนั่งคุกเข่าท่าเทพบุตรได้นานเหลือเกิน ไม่ทราบว่ามีวิธีให้นั่งได้นาน ๆ อย่างไร ?
ตอบ : ทำบ่อย ๆ เท่านั้นเอง พระเขาบังคับอยู่แล้ว การทำวัตรเช้าเย็น เริ่มตั้งแต่โยโสฯ ไป ถ้ายังขอขมาไม่เสร็จก็ต้องนั่งคุกเข่าอยู่ท่านั้นแหละ ในเมื่อวิธีการสวดเขาบังคับอยู่ในตัว ก็เท่ากับฝึกอยู่ทุกวัน ทุกอย่างอยู่ที่การฝึก สำคัญที่จะเพียรพยายามจริงหรือเปล่า ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 19-01-2013 เมื่อ 21:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 244 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #49  
เก่า 18-01-2013, 21:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าเป็นผู้ชายมีนม ยังบวชได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร ก็มีกันทุกคนด้วย แม้กระทั่งอาตมาก็มี ไม่มีแล้วจะบวชได้อย่างไรเพราะไม่ครบ ๓๒ เว้นแต่ว่าถ้ามีเยอะไปหน่อยก็ต้องระวังผู้หญิงเขาอิจฉา..!

ถาม : แล้วถ้าผู้ชายนิสัยผู้หญิง ?
ตอบ : บวชได้...เขาไม่ได้ห้าม ขอให้คำนำหน้าเป็นนายก็ใช้ได้ แต่อย่าไปเดินบิดสะโพกให้คนอื่นเขาดู

ถาม : ถ้าบวชที่ท่าขนุน ท่านจะกำหนดพระอุปัชฌาย์ให้เองใช่ไหมครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ว่าจะบวชเมื่อไร ถ้าบวชช่วงเข้าพรรษาพระอุปัชฌาย์ก็มักจะเป็นเจ้าคณะจังหวัด ถ้าบวชวาระอื่น ๆ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเจ้าคณะตำบลแถว ๆ นั้น

ถาม : ถ้าบวชเป็นการส่วนตัว เสียเท่าไรครับ ?
ตอบ : เตรียมไว้ประมาณ ๒๐,๐๐๐ บาท สำหรับพระอุปัชฌาย์ อาจารย์คู่สวด อะไรทำนองนั้น แต่บวช ๑๐ คนก็ประมาณ ๒๐,๐๐๐ บาท เพราะมีแค่ผ้าไตรกับบาตรที่เพิ่มเข้ามา อาตมาจึงนิยมจัดอุปสมบทหมู่ เพราะว่าบวชหมู่ได้กำไร พระอุปัชฌาย์อาจารย์ก็ชุดเดิมไม่ต้องจ่ายเพิ่ม ถ้าอยากดังบวชเองคนเดียวก็เอาเลย จ่ายกันหูตูบ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-01-2013 เมื่อ 03:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 247 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #50  
เก่า 18-01-2013, 22:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ชาติที่จะตรัสรู้บุญบารมีทุกอย่างจะมารวมตัวกันใช่ไหมครับ แล้วอกุศลกรรมในอดีตที่ระหว่างท่านบำเพ็ญบารมีจะมารวมเหมือนกันไหมครับ ?
ตอบ : คำถามนี้ตอบไม่ได้ เพราะบอกว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ อาตมาเกิดไม่ทันตั้งเยอะ..!

ถ้าจะดูอย่างพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันก็ไปอ่านในพุทธวงศ์ จะได้รู้ว่าที่พระองค์ท่านโดนไปแต่ละอย่างนั้น เกิดจากการที่พระองค์ท่านทำอะไรไว้บ้าง ไปอ่านพระไตรปิฎกดู อยู่ในอรรถกถาพุทธวงศ์ ขุททกนิกายตอนท้าย ๆ ของสุตตันตปิฎก เอาฉบับของมหามกุฏฯ ก็ได้ จะมีจริยาปิฎกกับพุทธวงศ์ จะได้รู้ว่ามหาโพธิสัตว์ก่อนที่จะมาอนุเคราะห์สงเคราะห์คนได้นั้น ท่านต้องเจอมาสาหัสขนาดไหน

เป็นที่น่าอัศจรรย์คือท่านไม่ท้อเลย โดนเท่าไรไม่มีหยุด สิ่งนี้น่าจะเป็นเพราะท่านมีหลักธรรมประจำใจ เพราะว่าแม้จะเป็นพระโพธิสัตว์ก็ตาม แต่เป้าหมายของท่านก็คือทำดีเพื่อส่วนรวม และพยายามสอนคนอื่นให้ดีด้วย แสดงว่าพระองค์ท่านต้องมีหลักธรรมเป็นปกติที่ยึดถืออยู่ในใจอยู่แล้ว โดยเฉพาะแต่ละชาติ เกิดมาแล้วต้องสร้างบารมีอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่แล้ว ก็เลยกลายเป็นหลักธรรมที่พระองค์ท่านนำไปสั่งสอนคนหมู่มากได้ ในเมื่อมีหลักธรรมอยู่ในใจ
ท่านมั่่นใจในความดีของท่าน โดนเท่าไรจึงไม่ถอย ฉะนั้น..เราเองจะทำอะไรต้องมั่นใจในความดีเหมือนกัน

มั่นใจในความดีกับถือดี คนละเรื่องเลยนะ ดีเหมือนกัน..แต่ถือดีคือเอาดีไว้อวด มั่นใจในความดีคือสิ่งที่เราทำถูกต้องแล้ว เราก็ตั้งหน้าตั้งตาทำ โบราณเขามีเชื่อดีอีกอย่าง เชื่อดี ก็คือเชื่อความดี เชื่อความรู้ เชื่อคุณครูบาอาจารย์ เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เชื่อพระรัตนตรัย ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ปกป้องคุ้มครองเราได้ ฉะนั้น..คนที่เชื่อดีก็ไม่ค่อยกลัวอะไรเพราะมีดี อย่างพวกเรายึดถือวัตถุมงคลก็เป็นการเชื่อดีอย่างหนึ่ง เคารพครูบาอาจารย์ยึดท่านเป็นสรณะในชีวิตก็เป็นการเชื่อดีอีกอย่างหนึ่ง อย่างที่สำคัญที่สุดก็คือปฏิบัติธรรมให้เกิดผล ก็เชื่อดีอีกอย่างหนึ่ง

ชักจะว่าไปได้เรื่อย ๆ เหมือนกับท่านอาจารย์พลตรีเฉลิมชัย เสียงใหญ่ เฉพาะคำว่า "พอ" คำเดียว ท่านกว้านมาซะเยอะเลย

พอมี...พอได้...พอเป็น
พอเย็น..พออยู่..พอไหว
พอพ้น...พอตน...พอใจ
พอใหญ่..พอยอ..พอแล้ว
..จบ..
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-01-2013 เมื่อ 03:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 243 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #51  
เก่า 20-01-2013, 12:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พระที่เข้านิโรธกรรม..?
ตอบ : ส่วนใหญ่ถ้าตามแนวของหลวงปู่ครูบาศรีวิชัย อย่างน้อย ๆ ก็เข้า ๗ วัน ถ้าเป็นนิโรธสมาบัติจริง ๆ ต่ำสุด ๗ วัน สูงสุดไม่เกิน ๔๙ วัน แต่ส่วนใหญ่พระพุทธเจ้าทรงกำหนดเอาไว้ปานกลาง ก็คืออย่าให้เกิน ๑๕ วัน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวร่างกายขาดอาหารมาก จะฟื้นตัวช้า

โยคีที่อินเดียมีเยอะแยะที่อยู่ด้วยธรรมปีติ อยู่กันทั้งปีทั้งชาติ บางรายก็อยู่มาหลาย ๑๐ ปี บางรายปีหนึ่งออกมาจากถ้ำมาหาลูกศิษย์ครั้งหนึ่ง เขาเอาข้าวของมาถวายสักการะเต็มหน้าถ้ำไปหมด ท่านก็ไปเดินมอง หยิบขนมปังกรอบสักชิ้นมาใส่ปากแล้วก็ไป อีกปีค่อยออกมาใหม่ กรณีนี้ไม่ใช่นิโรธสมาบัติ แต่อยู่ด้วยกำลังของฌานสมาบัติ อยู่ด้วยธรรมปีติ ร่างกายเขาดึงเอาดินน้ำลมไฟรอบข้างเข้าไปเสริมเอง ไม่ต้องเสียเวลากิน


ถาม : แล้วมีองค์ใดบ้างที่เข้านิโรธสมาบัติ ?
ตอบ : องค์ที่เข้านิโรธสมาบัติท้ายสุดที่พวกเราไปเห่อคือ หลวงปู่ชุ่ม วัดวังมุย พระที่เข้านิโรธสมาบัติมีระเบียบอยู่ว่า จะต้องบอกเพื่อนพระให้ทราบเอาไว้ ให้คณะสงฆ์รู้ว่าท่านทำอะไร จะได้ไม่เรียกใช้งาน ฉะนั้น..จะไปเข้าเงียบ ๆ คนเดียวไม่ได้ อย่างน้อย ๆ ต้องบอกใครสักคน

ถาม : สมัยหลวงปู่ปานมีใครบ้างไหมคะ ?
ตอบ : สมัยหลวงปู่ปานมีหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา สมัยของเราก็มีหลวงพ่อเกษม วัดสุสานไตรลักษณ์ ส่วนอาตมาถนัดพิโรธสมาบัติ เป็นที่เลื่องลือมาก เผลอเมื่อไรโดน..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2013 เมื่อ 13:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 250 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #52  
เก่า 20-01-2013, 12:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานตอนไปงานศพท่านเจ้าคุณพระราชปริยัติโมลี อาตมาเอารายงานการปฏิบัติงานของสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดกาญจนบุรีแห่งที่ ๒๓ (วัดท่าขนุน) ไปถวายท่านเจ้าคุณพระราชวรเวที รองเจ้าคณะภาค ๑๔ ด้วย

งานสุดท้ายก็คือสวดมนต์ข้ามปี พอท่านเปิดดูรูปแล้วว่า "คนไปเยอะนี่..เฉพาะแถวนั้นหรือ ?" จึงกราบเรียนท่านว่า เป็นคนพื้นที่และคนกรุงเทพฯ ประมาณอย่างละครึ่ง ท่านว่าอยู่ไกลขนาดนั้นไม่นึกว่าคนจะเยอะ คือในเขตภาค ๑๔ นั้น วัดที่เป็นสำนักปฏิบัติธรรมต้องส่งรายงานทั้งหมด ไม่รู้ว่าเขตภาคอื่นเขาจะส่งกันหรือเปล่า เพราะว่ารองภาคฯ ท่านได้รับแต่งตั้งจากเจ้าคณะภาค ให้รับผิดชอบงานด้านการปฏิบัติธรรมโดยตรง

เอาไว้งานฉลองบ้านวิริยบารมี อาตมาจะนิมนต์ท่านมา ท่านเป็นพระปฏิบัติที่ต้องบอกว่าได้ระดับทีเดียว ถ้าให้ท่านบรรยายธรรมนี่ นั่งลงเมื่อไรก็ ๓ - ๔ ชั่วโมง ท่านว่าของท่านว่าไปได้เรื่อย ๆ

ระดับรองเจ้าคณะภาคสนใจเรื่องการปฏิบัติเป็นเรื่องที่น่าปลื้มใจมาก ทางภาค ๑๖ ท่านเจ้าคุณพระเทพสิทธิมุนี วัดดุสิดาราม นี่ก็สุดยอดนักปฏิบัติเหมือนกัน ท่านแม่นบาลีมาก โดยเฉพาะพระไตรปิฎก พอยกพระไตรปิฎกขึ้นมา ท่านจะบอกเล่ม บอกข้อ บอกหน้าได้เลย แอบจดไปเปิดดู ตรงทุกที อาตมาว่าตัวเองหัวคอมพิวเตอร์แล้วนะ ปรากฏว่าของท่าน Ram เยอะกว่า..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2013 เมื่อ 13:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 243 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #53  
เก่า 20-01-2013, 12:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนหลวงปู่ธรรมชัยนำผ้าไตรกฐินไปถวายหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านเอาเทินศีรษะไป ก็คือเอาศีรษะเป็นพาน ตอนท่านเทินไปถวายน่ารักเชียว เรียกว่าน้อมถวายด้วยเศียรเกล้าจริง ๆ เพราะว่าต้องยื่นไปทั้งหัว ลองนึกถึงหลวงปู่อายุ ๗๐ ปีแล้ว เอาของใส่หัวไปถวายหลวงพ่อ นึกถึงทีไรก็ปลื้มใจทุกที"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2013 เมื่อ 13:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 251 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #54  
เก่า 20-01-2013, 12:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนวาดรูปมักจะเผลอวาดหน้าของตัวเองลงไปโดยไม่รู้ตัว คือความเป็นตัวกูของกูที่ฝังลึกอยู่ในใจ ถ้าไม่ใช่บุคคลที่เรียกว่ามีสติสมบูรณ์จริง ๆ อย่างไรก็จะต้องเผลอติดหน้าตัวเองลงไป ทั้ง ๆ ที่ไม่ต้องดูหน้าตัวเองเป็นแบบ วาดไปเถอะ...จะหลุดหน้าตัวเองออกมาเอง

ผู้หญิงกับผู้ชายที่รักกันชอบกัน..แต่งงานกัน ที่เขาบอกว่าคนที่เป็นเนื้อคู่มักจะหน้าตาคล้าย ๆ กัน..ไม่ใช่หรอก นั่นคือการหลงตัวเอง เห็นหน้าตัวเองแล้วชอบไม่รู้ตัว คือเห็นคนที่คล้ายตัวเอง ไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังแสดงออกด้วยการหลงตัวเองอยู่

เห็นแล้วรักแล้วชอบ มั่นใจว่าเป็นเนื้อคู่..ที่ไหนได้ ที่แท้เห็นหน้าตัวเองแล้วชอบ ฉะนั้น..เดี๋ยวหนูไปเจอคนหน้าเหมือนเมื่อไรก็ชอบเอง ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้น"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2013 เมื่อ 13:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 244 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #55  
เก่า 20-01-2013, 20:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มีโยมมาถวายสังฆทานอุทิศให้แม่ โดยนำรูปแม่มาด้วย พระอาจารย์กล่าวว่า "โยมเอารูปแม่ตอนสาวพริ้งมาเลย แต่ตอนที่แม่มาโมทนานี่แก่งั่ก แม่ตายตอนอายุ ๗๑ ปี แสดงว่าตอนที่มานี่คงจะ ๗๑ ปี เล่นเอาอาตมาต้องเหลือบมองดูรูป ๒ ที ว่าใช่หรือเปล่า ส่วนใหญ่เขาจะแสดงภาพช่วงสุดท้ายให้ เพราะลูกหลานเขาจะคุ้นเคย แต่ลูกหลานดันเอาภาพอีกสมัยหนึ่งมา

เมื่อหลายปีก่อน ตอนอยู่บ้านอนุสาวรีย์ มีโยม ๒ คนเป็นเพื่อนกัน คนหนึ่งมาทำบุญให้พ่อ อีกคนหนึ่งมาทำบุญให้ผัว อาตมาก็ถามว่า "เฮ้ย...ลูกอายุเท่านี้ ทำไมพ่อแกแก่ขนาดนี้วะ ?" อีกคนร้อง "ว้าย..นั่นผัวหนูค่ะ" สรุปว่าได้ผัวแก่..แกยอมสารภาพเอง..!

โลกอื่นดีอยู่อย่างหนึ่งคือเขาไม่หลอกกัน แต่บางทีก็ทำให้เราเข้าใจผิดหลงทางได้ง่าย ๆ ถ้าถามอะไรเขาก็บอกตรง ๆ ไม่โกหก เป็นเรื่องที่น่าสลดใจว่ามีแต่โลกมนุษย์เราเท่านั้นที่โกหก

ส่วนใหญ่คนที่ตายไป ถ้าเราทำบุญแล้วนึกถึงท่าน ถ้ามาได้อยู่ในที่ไม่ลำบาก เขาก็มักจะมาโมทนา ที่ว่าไม่ลำบากอย่างแรกคือเป็นสัมภเวสี สัมภเวสียังไม่ได้เวลาไปรับความดีความชั่ว เพราะอายุความเป็นมนุษย์ยังไม่หมด ถ้าลูกหลานรู้จักทำบุญให้ก็สบาย มีความสุขคล้าย ๆ กับเทวดานางฟ้า รอเวลาหมดอายุจากมนุษย์ซึ่งก็นิดเดียวของที่นั่น สมมติว่าเหลือเวลามนุษย์อีก ๕๐ ปี ก็วันเดียวของที่นั่น แต่ถ้าอดข้าววันหนึ่งก็ลำบากนะ ถ้าลูกหลานไม่ทำบุญให้ก็ลำบาก

อีกประเภทคืออสุรกาย แต่ว่ามีอสุรกายจำพวกหนึ่งคือนิรยอสุรกาย โมทนาไม่ได้ เพราะว่าอยู่ในโลกันตนรก...

พวกที่ได้แน่ ๆ คือปรทัตตูปชีวีเปรต พวกนี้จ้องคอยโอกาสเลย เห็นญาติทำบุญเป็นวิ่งใส่ ถ้าญาติลืมอุทิศส่วนกุศล หรือไม่ทำบุญเสียที ก็ร้องไห้คร่ำครวญ บางทีก็ดังถึงหูคนทั่วไปด้วย..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2013 เมื่อ 02:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 230 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #56  
เก่า 20-01-2013, 21:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ที่ต้องจ่ายแน่ ๆ ก็คือค่าเทคอนกรีตหน้าสมเด็จองค์ปฐม อาตมาสั่งเขาเทหนาเท่ากับถนนมาตรฐานเลย กะว่าให้สิบแปดล้อขึ้นไปขย่มได้ ๗ พันกว่าตารางเมตร คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ ๖ ล้านบาท ถ้าใครที่ปฏิบัติธรรมแล้วบูชาพระชัยวัฒน์ชุดกรรมการไป ก็แปลว่าเป็นเจ้าภาพเทคอนกรีตรอบสมเด็จองค์ปฐมไปเต็ม ๆ เลย

สมัยที่หลวงพ่อท่านเทคอนกรีตหน้าวิหาร ๑๐๐ เมตร ลูกศิษย์ถามถึงอานิสงส์ หลวงพ่อก็ไม่ทราบ ต้องกราบทูลถามพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านตรัสว่า "ชีวิตจะได้ไม่เสื่อมไม่ทรุด" ก็มีคอนกรีตหนาปานนั้นคอยรองรับอยู่แล้ว

ทิดกวางเขาเรียกว่า "งานสัมภเวสี" ก็คือ พวกงานจรที่มาโดยไม่ได้คิดถึง เขาบอกบรรดาเพื่อน ๆ ทิดทั้งหลายว่า "เฮ้ย ๆ หลวงพ่อมีงานสัมภเวสีอีกแล้ว ถ้าเอ็งไม่ได้ไปวัดอาทิตย์หนึ่ง เดี๋ยวก็จำวัดไม่ได้อีกหรอก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2013 เมื่อ 02:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 236 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #57  
เก่า 20-01-2013, 21:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ต่อไปตัวเองกำลังกิน ๆ อยู่ ก็คงมีคนแย่งจานข้าวไปซึ่ง ๆ หน้า หลวงปู่ครูบาพรหมจักร วัดพระพุทธบาทตากผ้า ท่านไปธุดงค์แล้ววาระกรรมเข้ามา กว่าท่านจะเดินทะลุป่าไปถึงหมู่บ้านก็เลยเที่ยงไปแล้ว ท่านก็เลยอดข้าว วันที่ ๑ ผ่านไปก็ไม่เป็นไร เดินทางต่อ ไปค้างคืนกลางป่า วันที่ ๒ เดินไปไม่ไกล เจอหมู่บ้านก็คิดว่าตัวเองฉันมื้อเดียว เดี๋ยวไปอีกหมู่บ้านหนึ่งแล้วค่อยบิณฑบาต ปรากฏว่าเดินยันค่ำก็ยังไม่เจอหมู่บ้าน

วันที่ ๓ เดินไปหน่อยเจอหมู่บ้าน คราวนี้บิณฑบาตตั้งแต่เช้าเลย ปรากฏว่าบิณฑบาตเสร็จ ปูผ้าลง เพิ่งเปิบข้าวเข้าปากคำเดียว มีช้างตกมันหลุดวิ่งมา ท่านก็ต้องลุกเผ่นออกจากทาง เพื่อให้ช้างวิ่งผ่านไป คราวนี้พระธุดงค์ท่านถือการฉันอาสนะเดียว ในเมื่อฉันไปคำหนึ่งแล้วลุกขึ้นก็แปลว่าอด ๓ วันได้ฉัน ๑ คำ วันที่ ๔ กว่าไปถึงบ้านโยมก็เพลกว่า ๆ โยมเห็นพระอดมาก็สงสาร ลุกขึ้นหุงข้าวต้มแกงเป็นการใหญ่ ปรากฏว่าหลวงปู่เป็นลม..! ฟื้นขึ้นมาเลยเที่ยงก็เลยอดต่อไป โอ้โห...กรรมอะไรจะดุเดือดปานนั้น สรุปว่ากว่าจะได้ฉัน โน่น..วันที่ ๖ เวลาวาระกรรมเข้าได้นี่เขาใส่ไม่เลี้ยงเลย

หลวงปู่ครูบาธรรมชัยไปภาวนาในป่าช้า ช้างตกมันหลุดปลอกมาเหมือนกัน ไปวน ๆ อยู่แถว ๆ หลวงปู่ ชาวบ้านก็ไม่กล้าเอาอาหารเข้าไปถวาย ช้างวนอยู่แถวนั้น ๗ วัน ใครมาโดนไล่กระจายหมด พอวันที่ ๘ ช้างก็ไป ชาวบ้านถึงเอาอาหารมาถวายหลวงปู่ได้ ท่านอดมา ๗ วันเต็ม ๆ

ชาวบ้านถามว่า "หลวงปู่ทำกรรมอะไรไว้ครับ ?" ท่านบอกชาติก่อนเคยไปตกปลอกมันเอาไว้ คือช้างตัวนั้นในอดีตก็เป็นช้าง หลวงปู่เห็นว่าตกมันก็เอาโซ่ล่ามไว้ ให้อดอาหารอยู่ ๗ วันจนกระทั่งหายตกมัน ปรากฏว่ามาชาตินั้นท่านบวชพระแล้ว ไอ้นั่นยังเป็นช้างอยู่ ถึงเวลาก็มาเอาคืน ๗ วันเหมือนกัน

เรื่องของวาระกรรม ถ้าไม่เนื่องกันมาก็ไม่เจออย่างนี้ ท้ายสุดก็ต้องเจอจนได้ หลวงปู่ครูบาพรหมจักรนั้นท่านสาหัสจริง ๆ กว่าจะได้ฉันที ๕ - ๖ วัน แล้วมีการมาล่อให้อยากด้วยนะ ให้ฉันได้ไปคำหนึ่ง คนอดข้าวมา ๓ วันได้ไปคำหนึ่งแล้วอดต่ออีก ๒ วันนี่สาหัสเลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2013 เมื่อ 02:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 233 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #58  
เก่า 20-01-2013, 21:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ไปนึกถึงพระธรรมบทที่พระเถระรูปหนึ่งในชีวิตได้ฉันอิ่มครั้งเดียว แม่ของท่านเป็นขอทาน ทันทีที่จุติเข้าท้องแม่ คณะขอทานไม่มีใครขอได้เลย อดไปตาม ๆ กัน หัวหน้าขอทานเขาฉลาด เขาจึงแบ่งคนเป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มไหนที่แม่ท่านไปด้วยอดตลอด เขาก็แบ่งครึ่งไปเรื่อย ๆ จนท้ายสุดแม่ของท่านขอทานใครไม่ได้เลย หัวหน้าขอทานจึงให้อยู่เฉย ๆ แล้วคนอื่นเอามาเลี้ยง

พอคลอดออกมาแม่ก็พยายามเลี้ยงดู โตพอหากินเองได้ แม่ก็เอาถ้วยแตกใส่มือ ให้ไปหากินเอง เพราะถ้าอยู่ด้วยกันต่อไปจะทำให้หมู่คณะเขาเดือดร้อนมาก ท่านก็ไปรออยู่แถวบ้านเศรษฐี รอเวลาเขาเอาเศษอาหารมาทิ้ง แต่ก็เป็นเรื่องแปลก ถ้าเขาทิ้งเป็นชิ้นใหญ่ ๆ จะมองไม่เห็น ถ้าเขาล้างถ้วยล้างชามแล้วสาดไว้เป็นเม็ดข้าวจะเห็น แล้วก็เก็บกินได้ไม่เกิน ๗ เม็ด..!

พอเก็บกินไปถึงเม็ดที่ ๗ ก็จะมีหมามาไล่ มีคนมาไล่ทุกครั้ง ท่านอยู่ด้วยแรงกรรรมจริง ๆ กรรมที่เคยทำให้พระปัจเจกพุทธเจ้าอด อยู่ด้วยแรงกรรมจริง ๆ กินแค่นั้นแต่อยู่ได้ จนกระทั่งไปพบพระสารีบุตร พระสารีบุตรก็เมตตาบวชให้เพราะสงสาร ปรากฏว่าบิณฑบาตมาไม่มีใครใส่บาตรเลย

พอถึงเวลาบิณฑบาตท่านเดินตามหลัง เขาใส่บาตรจากข้างหน้า มาถึงท่านอาหารก็หมด พระอุปัชฌาย์ก็ให้เดินหน้า ชาวบ้านก็นึกได้ว่าวันก่อนใส่จากข้างหน้ามาไม่ถึงพระข้างหลัง อาหารหมดก่อน วันนี้ก็เลยใส่จากข้างหลังมา แต่ไม่ถึงข้างหน้าก็หมดอีก พอพระอุปัชฌาย์ให้ท่านยืนอยู่ตรงกลาง ชาวบ้านเห็นว่าวันก่อนใส่หัวไม่ถึงท้าย ใส่ท้ายไม่ถึงหัว วันนี้เลยใส่หัวท้ายพร้อมกัน มาถึงตรงกลางอาหารหมดอีก..!

กรรมของท่านสาหัสจริง ๆ จนกระทั่งพระสารีบุตรท่านสงสาร ไปบิณฑบาตมาถวายเอง พอวางบาตรลง ท่านก็มองไม่เห็นอาหาร เห็นเป็นบาตรเปล่า ๆ พระสารีบุตรเห็นว่าแรงกรรมหนักขนาดนั้น จึงเอามือจับบาตรไว้ให้ท่านล้วงอาหาร พอพระสารีบุตรจับบาตรท่านถึงได้เห็นอาหาร ตกลงในชีวิตได้กินอิ่มครั้งนั้นแหละ พอกินอิ่มร่างกายสบายขึ้นมา ก็เลยพิจารณาว่า ตั้งแต่เราเกิดมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งมาบวชแล้ว ก็มีแต่ความทุกข์ความยากมาตลอด ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีความทุกข์เช่นนี้จะไม่มีสำหรับเราอีกแล้ว

ตัดใจได้วันนั้นก็ไปพระนิพพานวันนั้น ถ้าเป็นคนทั่ว ๆ ไปก็คิดว่าท่านกินอิ่มจนท้องแตกตาย แต่ความจริงในชีวิตได้กินอิ่มครั้งนั้นครั้งเดียวจริง ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2013 เมื่อ 02:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 230 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #59  
เก่า 20-01-2013, 21:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เป็นเรื่องที่ทำให้เราเห็นว่า เรื่องกรรมต่าง ๆ ที่ส่งผลนั้นน่ากลัวมาก ถึงวาระเขาส่งผลของเขาเต็มที่ ถ้าเราทำไว้มาก ถึงเวลาผลกรรมส่งมาก็หนักหนาสาหัส แล้วแรงกรรมบันดาลก็สุดยอดจริง ๆ ไม่ได้กินมาเนิ่นนานปานนั้น ก็ยังอุตส่าห์อยู่มา ๒๐ กว่าปี กินข้าววันละ ๗ เม็ดท่านก็อยู่ได้ เป็นเราไหวไหม ?

รู้สึกว่าท่านจะแกล้งพระปัจเจกพระพุทธเจ้าไม่ให้ฉันอาหาร เอาของสกปรกใส่ปนลงไปยังไม่พอ เวลาเขาใส่บาตรแล้วบอกให้ท่านเอาไปถวายพระคุณเจ้ายังที่อยู่ ก็แอบกินเอง กินเหลือก็เททิ้ง แรงกรรมก็เลยสาหัส นั่นตกนรกมาแล้วนะ เศษกรรมยังล่อเสียอ่วมอรทัยไปเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2013 เมื่อ 02:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 230 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #60  
เก่า 23-01-2013, 08:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,658 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนดูข่าว เมิ่งเพ่ยเจี๋ย สาวจีนอายุ ๒๐ ปี เรียนมหาวิทยาลัย ดูแล หลิวฟางอิง แม่บุญธรรมที่เป็นอัมพาตมา ๑๐ กว่าปีแล้ว แม่แท้ ๆ ยกเมิ่งเพ่ยเจี๋ยให้เป็นลูกบุญธรรมของหลิวฟางอิงตั้งแต่อายุไม่กี่ขวบ แล้วแม่แท้ ๆ ก็ตาย พอไปอยู่กับแม่บุญธรรมได้ ๓ ปี หลิวฟางอิงก็เป็นอัมพาต พ่อบุญธรรมก็ทิ้งหลิวฟางอิงและลูกเลี้ยงไป เมิ่งเพ่ยเจี๋ยจึงต้องคอยดูแลแม่บุญธรรมมาตลอด เรียนหนังสือไปดูแลไป ตอนเช้าอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ป้อนข้าวให้เสร็จสรรพเรียบร้อย แล้วก็วิ่งไปโรงเรียน พักเที่ยงก็วิ่งกลับมาเปลี่ยนผ้าอ้อม ป้อนข้าวเสร็จก็วิ่งไปเรียนหนังสือต่อ

พอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ปรากฏว่ามหาวิทยาลัยห่างจากที่พัก ๑๐๐ กว่ากิโลเมตร ก็ต้องใช้วิธีแบกแม่บุญธรรมไปเช่าบ้านอยู่ใกล้ ๆ แล้วก็คอยดูแลอยู่ จนกระทั่งเพื่อน ๆ รู้ เลยเอาเรื่องไปลงอินเตอร์เน็ต เขาโหวตให้ว่าเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุด คำว่าสวยคือน้ำใจดี มีการส่งเป็นฟอร์เวิร์ดเมล์ต่อ ๆ กันมา

หลิวฟางอิงบอกว่า ฉันมีโอกาสดูแลเขาอยู่ ๓ ปี แต่เขาดูแลฉันมา ๑๐ กว่าปีแล้ว วัน ๆ เมิ่งเพ่ยเจี๋ยช่วยแม่ออกกำลัง จับแม่ลุกนั่ง หวังว่าแม่จะหาย จนตัวเองผอมกะหร่องเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 25-01-2013 เมื่อ 18:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 215 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:47



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว