กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 11-12-2017, 09:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๐

ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ จากวันนี้ที่มีบุคคลซึ่งตั้งใจปฏิบัติ สามารถทรงกสิณ ๑๐ ได้แล้วมาถามปัญหา ทำให้นึกย้อนไปถึงสมัยที่อาตมายังปฏิบัติใหม่ ๆ ก็จะมีปัญหาหนึ่งซึ่งทุกคนต้องพบเหมือนกันก็คือ กำลังใจไม่ทรงตัว ภาวนาไปแล้วสงบได้เพียงเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ฟุ้งซ่าน ซึ่งในส่วนนี้หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านได้เมตตาสอนพระคาถาต่าง ๆ ให้

อาตมาเองช่วงนั้นเป็นวัยรุ่น อายุยังไม่ถึง ๒๐ ปี จิตใจก็ย่อมฟุ้งซ่านส่งส่ายไปง่าย หลวงพ่อท่านจึงสอนพระคาถาให้ทีละบท บอกให้ไปภาวนาพร้อมกับรักษาศีล โดยให้ภาวนาครั้งละอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง เมื่อเกิดผลแล้วไปรายงาน ท่านก็ให้คำชมเชยแล้วก็มอบพระคาถาบทใหม่ ซึ่งมีอานุภาพแบบใหม่ ๆ มาให้อีก

เมื่อทำไป ๆ ระยะหนึ่ง พระคาถาต่าง ๆ ก็เริ่มมีมากบทขึ้น จนกระทั่งที่ใช้อยู่หลัก ๆ ก็เป็นสิบบทแล้ว จึงได้แบ่งเวลาภาวนาพระคาถาเหล่านั้น อย่างเช่น ภาวนาอย่างละ ๓๐ จบ เมื่อครบแล้วจึงเลื่อนไปพระคาถาอื่น แต่นี่คือหลังจากที่ทำได้ผลแล้วทุกบท ถ้ายังทำไม่ได้ผล ก็ให้ปักใจอยู่กับบทเดิมนั้น แล้วก็ภาวนาให้เกิดผลเสียก่อน

เมื่อมีพระคาถาหลายบทต้องแบ่งเวลาในการภาวนา ทำให้สภาพจิตทรงตัวได้ในระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น เมื่อต้องแบ่งเวลาให้ทุกบท หลวงพ่อท่านบอกว่า อะไรที่เราทำได้แล้ว ก่อนที่จะเริ่มบทใหม่ ต้องทวนของเก่าให้คล่องตัวก่อน อาตมาจึงไม่กล้าทิ้ง ถึงเวลาก็ภาวนาของเก่าก่อน ๑๐ จบ ๒๐ จบ ๓๐ จบ ๑๐๘ จบ แล้วแต่จำนวนสั้นยาวของพระคาถา จนกำลังใจทรงตัวแล้วก็เปลี่ยนเป็นบทต่อไป ทำให้สามารถทรงสมาธิได้นานเป็นชั่วโมง ๆ โดยที่ไม่รู้สึกฟุ้งซ่านรำคาญเหมือนกับก่อนหน้านี้

ในส่วนนี้จึงขอแนะนำแก่ญาติโยมทั้งหลายว่า ให้หาพระคาถาบทใดบทหนึ่งที่เรารักเราชอบ หรือมีพระคาถาหลายบทก็นำมากำหนดภาวนา อาจจะกำหนดไว้ว่าบทละ ๕ นาที บทละ ๑๐ นาที หรือบทละ ๑๐๘ จบอย่างที่อาตมาทำก็ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-12-2017 เมื่อ 10:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 47 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 12-12-2017, 09:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เท่าที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านสอนเอาไว้ และที่อาตมาศึกษาเพิ่มเติม ปัจจุบันนี้ที่ใช้หลัก ๆ คือ อิติปิ โสฯ ๓ ห้อง ก็คือ อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ อย่างน้อยก็จะภาวนา ๑๐ จบ ซึ่งถ้าเราภาวนาเรื่อย ๆ สบาย ๆ ดูลมหายใจเข้าออกให้เป็นธรรมชาติ ไม่ไปบังคับลมหายใจเข้าออก ๑๐ จบนี้ใช้ระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควร

และก็มีพระคาถาชินบัญชรซึ่งเป็นบทยาว ก็จะภาวนาราว ๆ ๕ จบ ๗ จบแต่ละวัน หรือคาถาหลักที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อให้ใช้ในตอนธุดงค์ เอาไว้ทำลายอำนาจไสยศาสตร์ ซึ่งก็คือคาถาบารมี ๓๐ ทัศ ต่อด้วย นะโมพุทธายะ ยังมีพระคาถาที่ท่านให้เสกข้าวกินเพื่อป้องกันยาพิษ ยาสั่ง หรือป้องกันการทำคุณไสย ซึ่งจะมีพระอภิธรรม ๗ บท ตั้งแต่กุสะลา ธัมมา จนกระทั่งจบ เหตุปัจจะโย ค่อนข้างจะยาว คาถาบทนี้ท่านบอกว่าถ้าเสกข้าวกินเป็นประจำทุกวัน ตายแล้วร่างกายจะไม่เน่า ขณะเดียวกันก็สามารถทำลายอำนาจไสยศาสตร์ต่าง ๆ ได้ด้วย

ส่วนอีกบทหนึ่งนั้นจริง ๆ แล้วเป็นสองบทควบกัน แต่ท่านให้ใช้รวมเป็นบทเดียวในการเสกอาหารเป็นยา และทำลายอำนาจไสยศาสตร์ต่าง ๆ ก็คือ คาถาของท้าวเวสสุวรรณกับสมเด็จพระพุทธกัสสป ได้แก่ พุทธังมัดจิต ธัมมังมัดใจ ศัตรูทั้งหลายวินาศสันติ ต่อด้วย พุทธังมัดจิต ธัมมังมัดใจ โรคภัยทั้งหลายวินาศสันติ

และก็ยังมีคาถามหาสะท้อนหรือที่เราเรียกว่า คาถาเมสัมมุกขา เป็นต้น หรือคาถาพระมงกุฎพระพุทธเจ้าที่ขึ้นด้วย อิติปิ โส วิเสเสอิ ซึ่งเป็นการใช้ในลักษณะของทิพจักขุญาณ คือบุคคลที่ภาวนาทำจนขึ้นแล้ว สามารถที่จะอ่านหนังสือได้โดยที่ไม่ต้องเปิดดูเล่มได้

หรือคาถาเมตตาที่ใช้ภาวนาเพื่อทำให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเมตตาเรา หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ศึกษามาจากหลวงปู่แช่ม วัดฉลอง จังหวัดภูเก็ต ก็คือ พระอะระหัง สุคะโต ภะคะวา นะ เมตตาจิต เป็นต้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-12-2017 เมื่อ 11:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 12-12-2017, 09:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ท่านชอบใจบทใดบทหนึ่ง ก็ให้ยึดบทนั้นขึ้นมาภาวนา ทำจนเห็นผลจริง ๆ แล้วค่อยขยับไปใช้บทอื่น คำว่า "เห็นผลจริง ๆ" นั้น บางอย่างก็เห็นผลช้า อย่างเช่น สมัยอาตมาเป็นเด็กวัยรุ่นอายุ ๑๕ - ๑๖ ปี อยากได้สมเด็จวัดระฆังไว้บูชา เนื่องจากเห็นรุ่นพี่เขานั่งส่องพระกันทุกวัน

พระสมเด็จวัดระฆังเป็นพระในฝันของนักเล่นพระทุกคน ที่จะต้องหามาบูชาให้ได้ ได้ยินท่านผู้รู้บอกว่า ถ้าภาวนาพระคาถาชินบัญชรไว้ทุกวันด้วยความเคารพเลื่อมใสจริง ๆ สามารถอธิษฐานขอสมเด็จวัดระฆังจากหลวงพ่อโต ซึ่งเป็นผู้สร้างพระสมเด็จวัดระฆังได้ อาตมาก็ตั้งใจทำ แต่วางกำลังใจผิด ก็คือไปทำด้วยความอยากได้ ภาวนาไปปีหนึ่งก็แล้ว สองปีก็แล้ว สามปีก็แล้ว สมเด็จวัดระฆังที่ปรารถนามาไม่ถึงเสียที

จนกระทั่งลืมไปแล้วว่าจุดประสงค์ในการภาวนาของเรา ก็คือต้องการพระสมเด็จวัดระฆัง แต่ภาวนาจนชินแล้ว เมื่อถึงเวลาก็กำหนดภาวนาพระคาถาชินบัญชรเป็นปกติ ไปจนถึงปีที่ ๑๑ จึงได้พระสมเด็จวัดระฆังมาจากป่าไม้จังหวัดอ่างทอง คือ คุณมนตรี เชียงอารีย์ ๑ องค์ ทันทีที่ได้มาก็โดนโยมขอต่อไปเลย

แต่หลังจากที่รู้แล้วว่า ถ้าเราทำจริง ไม่หวังผล ตั้งใจไว้ว่าเราต้องการอะไร แล้วลืมความตั้งใจนั้นเสีย จากนั้นมีหน้าที่ตั้งหน้าตั้งตาภาวนาอย่างเดียว ก็จะสามารถได้สิ่งที่ตนเองต้องการได้

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ญาติโยมสามารถนำไปปรับใช้กับการภาวนาของเรา ถ้าสภาพจิตเกิดการเบื่อหน่ายไม่อยากภาวนา ก็หาพระคาถาบทใหม่ ๆ มาทดลองภาวนาดู ถ้าทำได้คล่องตัวหลาย ๆ บท ระยะเวลาในการภาวนาก็จะยาวขึ้นไปเอง

ลำดับต่อไปก็ให้ท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันศุกร์ที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๐

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยเถรี)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 16-12-2017 เมื่อ 18:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:58



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว