กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 22-12-2014, 09:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default โอวาทงานบวชเนกขัมมะลอยกระทง ๖-๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๗

โอวาทช่วงงานบวชเนกขัมมะ ลอยกระทง ๖-๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๗


วันก่อนอาตมาซื้อทองไป ๖ กิโลกรัม ที่ราคาบาทละ ๑๘,๑๐๐ บาท วันต่อมาเหลือบาทละ ๑๗,๘๕๐ บาท ถามว่ารู้ไหมว่าจะลงมาขนาดนี้ ? รู้..แล้วก็รู้ว่าจะลงมากกว่านี้ด้วย แต่จะซื้อราคานี้ คือเรื่องของการซื้อขายจะมีราคาในใจของเราเองอยู่ อาตมาตั้งใจซื้อที่ ๑๘,๓๐๐ บาท ปรากฏว่ากว่าจะโทรสั่งเสร็จเหลือ ๑๘,๑๐๐ บาท ถือว่าได้กำไรบาทละ ๒๐๐ แล้ว

หลายคนเวลาปฏิบัติธรรมอยู่ในลักษณะอย่างนี้ เขาเรียกว่าคิดฟุ้งซ่านในเรื่องที่ไม่ควรคิด อาตมาเคยเปรียบเทียบว่าเราเก็บมะม่วงได้ ๕ ลูก เน่าไป ๒ ลูก ก็มานั่งเสียอกเสียใจ ไม่ได้คิดว่าที่ได้มายังเหลือดีอีกตั้ง ๓ ลูก แล้วของก็เก็บมาฟรี ๆ ไม่ได้มีอะไรเสียสักหน่อย มีแต่ได้ ในเรื่องของการปฏิบัติ เราภาวนาครั้งหนึ่งเท่ากับเราโกยบุญใส่ตัวครั้งหนึ่ง ภาวนา ๒ ครั้งโกยบุญใส่ตัว ๒ ครั้ง ภาวนาครั้งหนึ่งเดินเข้าใกล้พระนิพพานก้าวหนึ่ง ภาวนา ๒ ครั้งเดินใกล้พระนิพพาน ๒ ก้าว แต่คราวนี้ระยะทางที่ไปไกลจนประมาณไม่ได้ เราเดิน ๆ ไปแล้วอาจจะท้อว่าเมื่อไรจะถึงสักที ?

ถ้าหากว่ารู้สึกท้อให้มองกลับหลังไปดู ก่อนหน้านี้เราเป็นอย่างไร ศีล ๕ ก็ไม่มี เดี๋ยวนี้ศีล ๕ ของเราครบถ้วนสมบูรณ์ บางท่านพัฒนาไปถึงกรรมบถ ๑๐ หรือศีล ๘ แล้ว เราจะเห็นความก้าวหน้าของตัวเอง ภาษิตเขาว่า “เห็นคนอื่นขี่ม้าอย่าไปอิจฉา เราขี่ลายังดีกว่าเดินเท้า” ม้าวิ่งเร็วนี่ ลาเดินก๊อก ๆ ไปทีละก้าว ขี้เกียจขึ้นมาก็นอนเฉยเลย แต่ดีกว่าเดินเอง คนเดินเท้ายังมีอีกตั้งเยอะ

คราวนี้เรามาดูว่าการปฏิบัติของเราที่ว่าไม่ก้าวหน้า ความจริงแล้วเราก้าวหน้า เราขี่ลาอยู่ก็อย่าไปมองคนขี่ม้า ยิ่งคนขี่รถสปอร์ตเฟอรารี่ยิ่งไม่ต้องไปมองใหญ่ มองคนที่เดินตีนเปล่าอยู่ข้างหลังเรา หรือไม่ก็มองคนที่ยังนอนตีพุงอยู่ ไม่ยอมลุกเดินเลย แล้วเราจะเห็นว่า เรามีความก้าวหน้ามากกว่าเขา แบบเดียวกับหลวงปู่พระพุทธพจนวราภรณ์ วัดเจดีย์หลวง ก่อนหน้านี้ท่านอยู่วัดป่าดาราภิรมย์ หลวงปู่เจ้าคุณจันทร์ท่านบอกว่า “ยินดีในสิ่งที่ตนได้ พอใจในสิ่งที่ตนมี จะเป็นเศรษฐีในเรือนยาจก ไม่ยินดีในสิ่งที่ตนได้ ไม่พอใจในสิ่งที่ตนมี ก็เป็นแค่วณิพกในเรือนเศรษฐี”

หลวงปู่มหาอำพันท่านก็ว่า “ความไม่พอพาจนเป็นคนเข็ญ” ถ้าไม่รู้จักพอก็จนอยู่นั่นแหละ จะไปให้ใครได้ ? “พอแล้วเป็นเศรษฐีมหาศาล” รู้จักพอมีอะไรก็แบ่งปันคนอื่นเขาได้ ก็เท่ากับเรารวย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-12-2014 เมื่อ 17:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 94 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 22-12-2014, 09:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ลักษณะของการปฏิบัติก็ต้องอยู่ในลักษณะนี้ คือทำได้เท่าไรเอาแค่นั้น อย่าอยากมากจนเกินไป ไม่อย่างนั้นจะเหมือนกับอาตมาเองช่วงปฏิบัติใหม่ ๆ อยากได้ปฐมฌานมากที่สุดในโลก เพราะเห็นแนวทางแล้วว่า ทันทีที่ได้ปฐมฌาน จะเลี้ยวเข้าหาอารมณ์พระอริยเจ้าเลย ตัดเข้าหาอารมณ์พระโสดาบัน เพราะกำลังของปฐมฌานเพียงพอที่จะตัดกิเลสระดับพระโสดาบันได้ ถ้ายึดหัวหาดพระโสดาบันได้ ที่เหลือไม่ว่าจะเป็นพระสกทาคามี พระอนาคามี หรือพระอรหันต์ก็สบายเราแล้ว ไม่มีถอยหลังมีแต่ขึ้นหน้าอย่างเดียว อย่างเก่งก็คาอยู่ข้างบน เราก็ไม่ลงนรกแน่ เลยอยากได้ปฐมฌานมาก

ด้วยความที่อยากจนเกินไป ศึกษาขั้นตอนปฐมฌานจนขึ้นใจ แล้วก็ภาวนาตามดูไปเรื่อย ปฐมฌานจะต้องประกอบไปด้วยองค์ ๕ มีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคตารมณ์ ก็ไปดูว่า ตอนนี้วิตกนะ เรากำลังคิดว่าจะภาวนา ตอนนี้วิจารนะ ลมหายใจเข้าและคำภาวนาไหลเข้าไปถึงตรงนี้ ไหลออกมาถึงตรงนี้ เอ้า..ตอนนี้ปีติ ขนลุกซ่า ๆ มาหน่อยหนึ่งแล้ว ตามดู จี้ติดทุกขั้นตอนเลย คำว่าสุขหน้าตาเป็นอย่างไรไม่เคยเจอ เพราะไม่รู้ว่าการที่ตัวเองอยากมากจนเกินไป กลายเป็นความฟุ้งซ่าน สมาธิไม่รวมตัว ก็ทำไปเถอะ

๑ วัน ๑ อาทิตย์ ๑ เดือน ๒ เดือน ๓ เดือน ๖ เดือน ๑ ปี จน ๓ ปีไม่ได้อะไรสักที อย่างเก่งก็แค่ปีตินิด ๆ หน่อย ๆ เพราะว่าอยากได้มากจนเกินไป สภาพจิตไม่รวมตัวสักที จนกระทั่งวันนั้น “เฮ้อ..เหนื่อยเต็มทีแล้วโว้ย ทำเท่าไรก็ไม่ได้สักที จะได้ไม่ได้ช่างหัวแม่.. เราภาวนาไปก็แล้วกัน” โป๊ะเดียวได้เลย เพราะว่ากำลังใจปล่อยวาง ได้ไม่ได้ก็ช่าง ไม่สนใจจะไปตามดูแล้ว

คราวนี้โยมจะเห็นว่าแม้กระทั่งการปฏิบัติ ถ้าเราเกิดความอยากก็จะไม่ได้ ในเมื่อรู้วิธีแล้วถ้าอาตมาสามารถที่จะย้อนกลับไปเริ่มต้นปฏิบัติ รับประกันได้ว่า ๕ นาทีก็ได้แล้ว กำลังใจจะทรงปฐมฌานเลย แต่สมัยก่อนไม่รู้นี่ งมอยู่ ๓ ปีเต็ม ๆ ความอยากทำให้ฟุ้งซ่าน ความฟุ้งซ่านทำให้จิตห่างจากสมาธิ ฉะนั้น..เรามีหน้าที่ตั้งหน้าตั้งตาทำไป ส่วนผลจะเกิดอย่างไรก็ช่างมัน

โดยเฉพาะงานนี้ดูท่าคนจะน้อยกว่าคราวที่แล้วอีก อย่างที่วิเคราะห์ว่า อันดับแรกคือวันลาหมด ลาจนไม่มีให้ลาแล้ว อันดับที่สอง..เป็นวันทำงาน ๒ วัน ไม่ได้หยุดราชการ อันดับที่สาม..สตางค์หมด ช่วงที่ผ่านมาเป็นช่วงกฐิน ทำบุญเยอะไปหน่อย ในเมื่อเป็นอย่างนี้ก็สบาย พวกเราอยู่คนไม่มาก ในเมื่อไม่กล่นเกลื่อนด้วยหมู่คน ความฟุ้งซ่านมีน้อย ก็จะช่วยให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติได้ดีขึ้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-12-2014 เมื่อ 10:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 87 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 22-12-2014, 09:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระพุทธเจ้าท่านสอนให้หลีกออกจากหมู่ไว้ก่อน สำหรับผู้ปฏิบัติในระยะแรกเริ่ม ก็คือหาที่สงบแล้วก็เร่งการปฏิบัติของเราไป กำลังใจทรงตัวเมื่อไรแล้วค่อยออกมาฟัดกับโลกใหม่ ในปัจจุบันของเรา การที่เราจะหลีกออกจากหมู่ก็เป็นเรื่องยาก เวลาวัดมีงาน พวกเราสละเวลาทำการทำงาน สละเวลาที่ควรจะไปเที่ยวเตร่สนุกสนานมาเพื่อปฏิบัติ ในเมื่อตั้งใจจะเอาดีต้องทำจริง ๆ อย่าไปทำเล่น ๆ ถ้าหากว่าทำเล่น ๆ จะเอาดีได้ยาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-12-2014 เมื่อ 10:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 90 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 22-12-2014, 22:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การปฏิบัติธรรมนั้น ถ้าหากว่ากำลังใจของเราเข้มแข็ง เด็ดขาด ทุกอย่างก็สามารถที่จะไขว่คว้ามาได้โดยง่าย ถ้ากำลังใจไม่เข้มแข็ง ไม่เด็ดขาด ทุกอย่างก็กลายเป็นของยาก ถ้าถามว่าต้องเข้มแข็งเด็ดขาดขนาดไหน ? ก็ต้องแบบเดียวกับที่ลูกศิษย์ไปขอเรียนวิชา อาจารย์ท่านถามว่า "แน่ใจแล้วหรือว่าจะเรียนวิชานี้ ?" ลูกศิษย์บอกว่า “แน่ใจครับ ถึงท่านอาจารย์จะให้ผมกระโดดเหวลงไปตอนนี้ก็จะทำ”

ถ้าหากว่ากำลังใจแบบนั้นก็สามารถที่จะศึกษาวิชาการอะไรต่าง ๆ ได้ง่าย เพราะว่าเป็นกำลังใจที่ตัดเป็นตัดตายแล้ว ไม่มีคำว่าพรุ่งนี้ มีแต่วันนี้วันเดียว เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด เต็มกำลังที่สุด ถ้าเราตายลงไปวันนี้ ก็ให้ทรงความดีเต็มความสามารถของเราที่ทำได้ จะสามารถทรงความดีได้แค่ไหนไม่ว่า แต่ขอทุ่มเต็มที่ ถ้าภาษานักพนันก็คือ “สู้แค่หมดหน้าตัก” มีเท่าไรทุ่มแทงลงไปตาเดียว ถ้าถูกรางวัลก็รวยกันไปข้างหนึ่ง ถ้าไม่ถูกรางวัลก็หมดตัว ต้องมาเริ่มต้นใหม่

ดังนั้น..ในส่วนที่กล่าวมาจะเน้นตรงที่ว่า การรักษากำลังใจของเรานั้น ส่วนใหญ่พวกเราไม่เคยชิน แล้วก็ไม่ได้ฝึกในการปฏิบัติยามที่เคลื่อนไหว เราจึงต้องมาเดินจงกรมกัน การเดินจงกรมมีอานิสงส์อะไรบ้าง ? องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า สมาธิที่ได้จากการเดินจงกรมเสื่อมได้ยาก เพราะร่างกายเคลื่อนไหวอยู่จนได้สมาธิ สมาธิที่เรานั่งอยู่แล้ว เมื่อเดินหรือว่าขยับไปทำอย่างอื่น อาจจะเคลื่อนคลายหายไปหมด แต่สมาธิจากการเดินจงกรมจะคลายตัวได้ยาก แปลว่าทรงตัวได้มั่นคงมากกว่า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-12-2014 เมื่อ 01:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 81 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 22-12-2014, 22:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อันดับที่ ๒ ได้ออกกำลังกาย ทำให้เป็นผู้มีโรคน้อย อันดับที่ ๓ อาหารที่กินลงไปย่อยสลายได้ละเอียดขึ้น ดีขึ้น ร่างกายดึงเอาสารอาหารไปใช้งานได้มากขึ้น สิ่งที่หมักหมมตกค้างอยู่ในร่ายกายมีน้อยลง โรคภัยไข้เจ็บก็น้อยลง อันดับต่อไป ทำให้เป็นผู้อดทนต่อการเดินทางไกล

ถ้าเรายกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ วันหนึ่งสัก ๑๐ ชั่วโมงก็เท่ากับว่าวันหนึ่งเราสามารถเดินทางได้วันละ ๑๐ ชั่วโมงเหมือนกัน ถ้ายกหนอ ย่างหนอได้ครั้งละ ๒ ชั่วโมง ก็เดินทางไกลได้ ๒ ชั่วโมงเช่นกัน เรามาเน้นตรงที่ว่า สมาธิที่ได้จากการเดินจงกรมทำให้เสื่อมได้ยาก แต่สำคัญที่ว่า การบริกรรมกับการเคลื่อนไหวต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ยกหนอ ยก..ก็ยกเท้าขึ้น หนอ..ก็ยกสุดพอดี ย่างหนอ ย่าง..ก็เคลื่อนเท้าไปข้างหน้า หนอ..ก็เคลื่อนสุดพอดี เหยียบหนอ เหยียบ..ก็ลดเท้าลง หนอ..ก็แตะพื้นพอดี ให้ทุกอย่างเป็นปัจจุบันทันกันอย่างนี้

ถ้ากำลังใจเราอยู่กับการเคลื่อนไหวแบบนี้ตลอด ไม่หลุดไปสู่อารมณ์อื่น รัก โลภ โกรธ หลงจะกินใจเราไม่ได้ ในเมื่อ รัก โลภ โกรธ หลง กินใจของเราไม่ได้ แปลว่าความชั่วใหม่ไม่มี เกิดขึ้นไม่ได้ ความชั่วเก่าก็โดนขัดเกลาไปเรื่อย ๆ เหมือนอย่างกับบ้านหลังหนึ่ง โดนกวาดโดนถูไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่สกปรกเพิ่มขึ้น เดี๋ยวก็สะอาดเอี่ยมทั้งหลังไปเอง เมื่อเป็นเช่นนั้น โอกาสที่เราจะขัดเกลากำลังใจของตนให้ผ่องใสก็จะมีมากขึ้น

วิธีการสังเกตว่าการปฏิบัติของเราได้ผลหรือไม่ได้ คือดูว่า กาย วาจา ใจ ของเราดีขึ้นหรือเปล่า ? หลายคนเข้มงวดกับตัวเองเวลาปฏิบัติ แต่พออยู่ที่บ้านมักจะปล่อยไปตามอารมณ์ กระทบอะไรเป็นด่ากระจาย หรือว่าต้องการให้ทุกอย่างเป็นไปได้อย่างกำลังใจของตนเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าอยู่ในลักษณะอย่างนั้นขอให้รู้ว่า กำลังใจของเรายังหาดีไม่ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-12-2014 เมื่อ 01:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 77 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 22-12-2014, 22:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การปฏิบัติต้องมีการพัฒนาทางกาย ทางวาจา ทางใจที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ กระทบกระทั่งกับผู้อื่นน้อยลง ไม่ใช่หาความมันในการนินทาชาวบ้าน ซอกแซกสอดรู้สอดเห็นทุกเรื่อง แล้วรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ รู้เรื่องของเขาหมดทุกเรื่อง แต่หารู้ไม่ว่ากำลังโกยขยะเน่า ๆ มาถมตัวเอง เรื่องอื่นเป็นขยะทั้งนั้น ขยะในใจของตัวเองก็มากพอแล้ว โกยทิ้งแต่ละวันยังไม่มีปัญญาจะโกย แล้วยังไปโกยของคนอื่นมาถมตัวเองเพิ่มขึ้น ถ้าเป็นลักษณะอย่างนั้นก็แปลว่า นอกจากเราจะไม่ก้าวหน้าแล้ว ยังมีโอกาสถอยหลังไปเรื่อย ๆ เพราะกำลังใจถูกท่วมทับไปด้วยกิเลส โอกาสที่จะก้าวขึ้นไปข้างหน้าย่อมไม่มี

ในเมื่อเป็นอย่างนั้นจึงต้องหมั่นสังเกตตนเองไว้ ตั้งแต่แรกเริ่มที่อาตมาพูดมา ถ้าเราไม่เห็นความก้าวหน้าก็ต้องดูไปข้างหลัง แต่ถ้าอยากทำให้ได้ดีกว่านี้ คราวนี้ต้องมองไปข้างหน้า ตอนนี้เราขี่ลาแก่เดินก๊อก ๆ ทีละก้าว ต้องขี่ม้าให้ได้ ขี่ม้าแล้วต้องขี่รถ ถ้าหากรถยี่ห้อนี้เครื่องไม่แรงพอก็เปลี่ยนใหม่ เอารถที่ดีกว่านี้ หรือว่าขี่เครื่องบินไปเลย ถ้าหากว่าจะมองแบบไขว่คว้าหาความดีใส่ตัวมากขึ้น ต้องมองคนที่ปฏิบัติได้มากกว่า แล้วเลียนแบบ กาย วาจา ใจ ของเขาให้ได้ ถ้าหากว่ามองแบบสงสารตัวเองต้องมองย้อนหลังไป แล้วจะเห็นว่าคนที่น่าสงสารกว่าเรายังมีอีกเยอะมาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-12-2014 เมื่อ 01:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 78 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 23-12-2014, 18:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อมองออกไปข้างนอก แล้วโอกาสที่เกิดโทษมีมากกว่า ก็พยายามมองกลับมาที่ตัวเอง ว่าเราพัฒนา กาย วาจา ใจ ของเราขึ้นเท่าไร พระพุทธเจ้าตรัสว่า “บรรพชิต (นักบวช) พึงพิจารณาเนือง ๆ ว่า กาย วาจา ใจ ที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่อีก เราต้องทำ กาย วาจา ใจ ของเราให้ดีกว่านี้” นี่เป็นแค่ ๑ ใน ๑๐ ข้อเท่านั้น

บางข้อบอกว่า "วันคืนล่วงไป ๆ เราทั้งหลายทำอะไรอยู่ ?" หายใจทิ้งไปเฉย ๆ หรือเปล่า ? ได้กำหนดสติรู้ตามไปจนกลายเป็นมหาสติ เกิดมหากุศลแก่ตน หรือว่าหายใจทิ้งไปเฉย ๆ โดยไม่มีสติ นอกจากไม่ได้อะไรขึ้นมาแล้ว บางทียังฟุ้งซ่านไปสู่ รัก โลภ โกรธ หลง อีกต่างหาก ดังนั้น..ในการปฏิบัติของพวกเราครั้งนี้ ก็ขอให้เน้นการดูและแก้ไข กาย วาจา ใจ ของเราเอง เพื่อความก้าวหน้ามากว่านี้

ทำไมถึงต้องดู ? ก็เพราะว่าถ้าเราดูคนอื่นมีแต่จะเกิดโทษ คือถ้าไปอิจฉาเขา เรื่องของธรรมะก็ถอยหลัง เพราะใจของเราเศร้าหมอง ถ้าไปทะยานอยาก อยากได้แบบเขา แล้วควบคุมความอยากไม่อยู่ จิตใจของเราก็เศร้าหมอง ถ้าไปน้อยเนื้อต่ำใจ ว่าทำเท่าไรไม่ได้อย่างเขาเสียที ใจเราก็เศร้าหมองอีก ต้องพยายามควบคุมตนเองเอาไว้ อยากไม่ใช่ความผิด แต่ถ้าอยากแล้วไม่พยายามทำให้ได้อย่างที่ตนเองอยาก โดยเฉพาะในด้านของความอยากดี นั่นถึงจะเป็นความผิด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-12-2014 เมื่อ 03:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 71 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 23-12-2014, 18:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า “งานนี้มือวางผางประทีปยังมือใหม่ ทางเดินหน้าศาลาวางอันเว้นอันยังได้ ไปวางจนถี่ยิบ ส่วนที่ลานธรรมเขามีรอยต่อของแผ่นปูพื้นอยู่ ยังวางผิด เลยมาสะท้อนใจว่า ถ้าเรื่องหยาบ ๆ แค่นี้ยังขาดการสังเกต เรื่องที่ละเอียดกว่านี้จะไปรอดไหม ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-12-2014 เมื่อ 03:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 75 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 23-12-2014, 18:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

นักปฏิบัติเราสิ่งที่ต้องระวังอยู่เสมอคือการทดสอบ การทดสอบจะมีมาทุกเวลา เผลอเมื่อไรเป็นโดน ส่วนใหญ่ของการทดสอบก็คือคนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว อะไรที่เรายิ่งรักมาก ยิ่งทดสอบเราถนัดมาก ยิ่งถ้าหากว่าเป็นคนรอบตัวที่เรารัก ก็จะยิ่งสร้างความสะเทือนใจให้เราได้มาก

อาตมาเองยกตัวอย่างเมื่อครู่นี้ เพราะว่าคุยกันตั้งแต่ก่อนฉันเพลแล้ว ฉันเพลเสร็จจะออกไปเบิกสตางค์ ปรากฏว่าน้องเล็กไปเอ้อระเหยลอยชาย ล้างชามจนเสร็จสรรพเรียบร้อยทุกใบแล้วค่อยมา อาตมาเองไข้จับมาตั้งแต่เช้า ว่าจะรีบไปเบิกสตางค์แล้วกลับมานอน ก็ต้องรอจนน้องเล็กมาถึงได้ออกไป

เอาสมุดธนาคารไป ๔ เล่ม เล่มที่ ๑ เป็นของพระครูน้อยที่ไปอยู่พม่า ให้เขาลงชื่อในใบถอนไว้ เพื่อจะปิดบัญชีแล้วเอามาเข้าเล่มที่ ๒ ของอาตมา ส่วนเล่มที่ ๓ อาตมาถอนเงินมาเพื่อจ่ายค่าแรงคนงานสามล้านบาท ปรากฏว่าต้องไปนั่งลงชื่อในหนังสือรับรองว่าไม่ได้ฟอกเงิน เพราะว่าถอนเกินหนึ่งล้านบาท ลงชื่อในใบเบิก เสร็จสรรพเรียบร้อยก็นั่งรอ สักพักหนึ่งพนักงานก็เอาเงิน ๓,๐๕๘ บาท ๗๕ สตางค์มาส่งให้..! อาตมาก็ว่า "เงินสามพันกว่าบาท..! แล้วกูเอากระสอบมาทำอะไรวะ ? "

ปรากฏว่าสามล้านบาทที่เขียนถอนนั้น เขาจัดแจงยัดเข้าอีกบัญชีไปเรียบร้อยแล้ว อาตมาบอกว่าสามพันกว่านั่นเอาไปเข้าบัญชี ส่วนสามล้านจะถอนมาเพื่อจ่ายค่าแรงคนงาน คราวนี้จะทำอย่างไร ? ถอนตั้งสามล้าน ก็ต้องไปนั่งลงชื่อในหนังสือรับรอง เพื่อป้องกันการฟอกเงินใหม่อีก ไปกรอกเอกสารใหม่อีก ๒ หน้า แล้วก็ไปลงชื่อใบเบิกใหม่ กลับมาก็ไม่มีเวลานอนแล้ว ตั้งแต่ ๑๑.๑๕ น.แทนที่จะได้นอนตีพุง เวลาหมดเกลี้ยงไปแล้ว ไม่ได้พักเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-12-2014 เมื่อ 03:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 76 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 24-12-2014, 18:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

กลับมาปวดท้องฉี่จะเข้าห้องน้ำ คุณลูกจองคาอยู่ในห้องน้ำ..! จนกระทั่งเสียงตามสายจะจบยังไม่ออกมา อาตมาก็แต่งตัวก่อน แต่งตัวเสร็จคุณลูกเผ่นออกมา น้องเล็กมุดเข้าไปอีก เห็นหรือยังว่าเขาลองกำลังใจขนาดไหน ? ถ้าไม่ตั้งสติดี ๆ นี่ได้มีโกรธกันแน่

ในเรื่องของการปฏิบัติ เขาทดสอบเราอยู่ทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาที และสอบแบบโหดร้ายมาก ดังนั้น..ใครโดนเข้าโปรดทราบว่า คุณสมบัติของเราเพียงพอแล้วเขาถึงได้สอบ ถ้าคุณสมบัติไม่เพียงพอเขาไม่สอบให้เสียเวลาหรอก แต่ถ้าเผลอแล้วสอบตก ก็หาความก้าวหน้าในการปฏิบัติไม่ได้ ถ้าหากว่าสอบได้เราจะมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติมาก

ถามว่าเขาสอบแบบโหดร้ายขนาดไหน ? อาตมาก็ไม่รู้ แต่ถ้าเปรียบจากที่ตนเองโดนมา อย่างเช่นว่าวันนี้เป่ายันต์เกราะเพชรจนหมดสภาพเลย ช่วงบ่ายไปพักนอนแผ่หลา พระครูน้อยขับอีแต๋นมาจอดหน้ากุฏิ ติดเครื่องตึง ๆ ๆ เอาไว้ แล้วขยันโคตรเลย ก็คือไปเที่ยวลากถังขยะทั่ววัดมาเทใส่รถอีแต๋นที่หน้ากุฏิของอาตมา ทำไมไม่เอาอีแต๋นไปไว้ที่อื่น ? อาตมามาถามทีหลังว่า “นี่ไม่รู้หรือว่าผมนอนพักอยู่ ?” ท่านบอกว่า “รู้ครับ..ผมก็คิดว่าเสียงดังอย่างนี้อาจารย์น่าจะตื่น แต่ทำไมถึงจอดตรงนั้น ไม่ยอมย้ายไปไหนก็ไม่รู้ ?” ถังขยะมีกี่ใบเที่ยวเดินลากไปเทใส่รถที่จอดอยู่หน้ากุฏิของอาตมา นี่แค่ตัวอย่างครั้งเดียวเท่านั้น เห็นฝีมือการทดสอบเขาไหมว่าโหดแค่ไหน ?

เรื่องพวกนี้เราจะโดนอยู่ตลอดเวลา อารมณ์เสียเป็นอันว่าแพ้เขา..สอบตก ถ้าหากรักษาอารมณ์ได้ก็แค่เสมอตัว โอกาสชนะยังไม่มี เดี๋ยวข้อสอบใหม่จะมาอีก ย้ำใหม่อีกรอบ มารจะทดสอบโดยคนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัวในการทดสอบเรา วันดีคืนดีพอจะนอน หมาทั้งวัดพร้อมใจกันกัดตรงหน้ากุฏิ เคยเจอบ้างไหม ? อาตมาเจอเป็นประจำ เจอจนรู้ท่าแล้ว

สิ่งนี้เกิดจากกรรมเก่าส่วนหนึ่งที่เคยทำมา เพราะว่าในอดีตเป็นทหารมาทุกชาติ วิธีการรบที่จะชนะศัตรูได้ก็คือ บั่นทอนกำลังใจข้าศึกให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ก็ด้วยการก่อกวนเขาไม่ให้หลับไม่ให้นอน พอถึงเวลามารเขาก็ใช้ผลกรรมอันนี้แหละ มาย้อนคืนทดสอบเรา เขาไม่ได้ใช้อย่างอื่นเลย ใช้สิ่งที่เราทำมาเอง ในอดีตเกเรไว้มากเท่าไร ปัจจุบันก็จะโดนมากเท่านั้น

คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว ข้าวของวางอยู่แท้ ๆ ไม่ได้มีอะไรเลย อยู่ตรงนั้นก็เป็นแค่ของ แต่พอเห็นเข้าก็ไปโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “ใครวะ..วางของเกะกะไม่รู้จักเก็บจักงำให้ดี ?” สิ่งของไม่ได้มีชีวิตจิตใจสักหน่อย กลายเป็นเครื่องทดสอบเราไปจนได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-12-2014 เมื่อ 02:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 71 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 24-12-2014, 18:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องพวกนี้จำเป็นต้องสังวรและระวังเอาไว้เสมอ ข้อสอบมาได้ทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาที มาทั้งหลับ มาทั้งตื่น มาทั้งยืน มาทั้งนั่ง หกคะเมนตีลังกาฉันอาหารอยู่มาทั้งนั้น กำลังฉันเพลอยู่โทรศัพท์กริ๊ง “ขอพูดกับหลวงพ่อหน่อยค่ะ” บอกว่าหลวงพ่อกำลังฉันอยู่ เขาบอก “ไม่เป็นไรค่ะ ขอ ๑๐ นาทีเท่านั้น” นั่นไม่เป็นไรของมึง..! พระมีเวลาฉันแค่พักเดียว อยากเจอแบบนี้บ้างไหม ? จะแบ่งให้..!

ฉะนั้น..คนที่เรารักหรือของที่เรารักมากที่สุด จะสร้างความสะเทือนใจให้เราได้มากที่สุด อาตมาน่าจะเคยเล่าไปแล้ว ก็คือรุ่นที่อยู่วัดท่าซุงมาด้วยกัน คือหลวงพี่อาจินต์ ท่านพระครูภาวนาธรรมวิเทศ หลวงพี่ท่านลาออกจากการเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนนายเรืออากาศมาบวช ก็เรียกว่าสละทุกอย่าง มอบกายถวายชีวิตให้แก่พุทธศาสนา ปฏิบัติธรรมจนได้รับความไว้วางใจจากหลวงพ่อวัดท่าซุง ตั้งให้เป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายกรรมฐาน

วันนั้นท่านโมโหเป็นฟืนเป็นไฟมา “ขอระบายหน่อยโว้ย..!” ถามว่ามีอะไรครับ ? ท่านบอกว่า “ผมคิดว่าผมไม่โกรธคนแล้ว แต่วันนี้โกรธน้องชายฉิบหา..เลย ถ้าไม่ได้ระบายจะกลับไปฆ่ามัน..!” อาตมาถามรายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้น ท่านบอกว่าตอนที่มาบวช ข้าวของอะไรน้องเอาไปใช้ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่วันนี้เขาเอากระบี่พระราชทานของพี่ไปจำนำ ศักดิ์ศรีของนายทหารที่ได้รับพระราชทานกระบี่จากในหลวงหายหมดเลย กระบี่ไปอยู่ที่โรงจำนำ ใครเห็นหมายเลขนี้ก็รู้เลย ร.ท.อาจินต์ หีบพร จำนำกระบี่ในหลวงพระราชทาน โกรธสิครับ ท่านบอกว่าวันนั้นถ้าอยู่ต่อหน้าน้องได้ฆ่าทิ้งแน่ ดีว่าเขาโทรมาบอก ขนาดโทรมาบอกยังโมโหจนมือตีนสั่น ขอมาระบายหน่อย

อาตมาก็เลยเป็นกระโถนท้องพระโรงให้พี่ท่านระบายอยู่เป็นชั่วโมง เก็บมานาน ของทุกชิ้นเป็นข้อสอบได้..น่ากลัวไหม ? รอบตัวเรามีแต่เครื่องทดสอบทั้งนั้นเลย เพื่อนรักอยู่ข้างตัวจะหักเหลี่ยมโหดเมื่อไรก็ไม่รู้ ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-12-2014 เมื่อ 03:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 73 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #12  
เก่า 24-12-2014, 18:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เพราะฉะนั้น..พ่อแม่ญาติพี่น้องอะไรของเราทั้งหมด ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องทดสอบทั้งนั้น อาตมาเองโดนแม่ถามแล้วถามอีกตั้งแต่อายุเพิ่งครบ ๒๐ ว่า "เมื่อไรจะบวชให้แม่ ?" ก็ผลัดผ่อนเรื่อยมาจนอายุ ๒๗ ปี ตัดสินใจว่าจะบวชแล้ว แต่ปรากฏว่าก่อนนั้น ๓ ปีโยมแม่โดนรถชน ไม่มีใครดูแล อาตมาก็ต้องดูแลตลอด จนกระทั่งรักษาหายดีกลับมาตามเดิม

ต้องบอกว่าชีวิตนี้เป็นเวรเป็นกรรม สมัยที่ดูแลพ่ออยู่ พี่น้องให้เหตุผลว่า เป็นลูกชายคนโตที่ยังไม่ได้ทำงาน ยังเรียนอยู่ ก็ดูแลพ่อไป ๖ ปีเต็ม ๆ ทั้งกลางวันกลางคืน ง่วงนอนอย่างกับตกนรกทั้งเป็น จนกระทั่งพ่อตาย เรียนจบมัธยมต้นแล้วก็ไปทำงาน คราวนี้แม่ป่วย เอ็งไปดูแลแม่ ถามว่าทำไมต้องเป็นข้าวะ ? “เอ็งเป็นลูกชายคนโตที่ยังไม่ได้แต่งงาน” ตอนโน้นเขาบอกว่า “เอ็งเป็นลูกชายคนโตที่ยังไม่ได้ทำงาน” โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง

ดูแลแม่เสร็จสรรพเห็นว่าปกติดีแล้ว กาลเวลาสมควรแก่ตนเองแล้ว ก็ขอลาแม่ไปบวช จากที่ถามเช้า ถามกลางวัน ถามเย็นว่า "เมื่อไรจะบวชให้แม่ ?" แต่พอไปลาบวชแม่บอกว่า “เอ็งไปบวชแล้วข้าจะอยู่กับใคร ?” เห็นหรือยังว่าเขาทดสอบแบบไหน ? แต่ขอโทษ..ข้อสอบแบบนี้ทำอะไรอาตมาไม่ได้หรอก บอกกับแม่ไปว่า “ลูกแม่มีตั้ง ๑๓ คน ถ้าไม่มีใครดูแลแม่ ก็ทนดูแลตัวเองไปเถอะ ผมไปแล้ว” ถ้าไม่เด็ดขาดนี่เสร็จเลย อยู่ตรงนั้นแหละ ดูแลแม่ต่อไปเถอะ แม่เพิ่งจะตายเมื่อ ๓ - ๔ ปีที่แล้วนี่เอง แล้วจะได้บวชไหมนั่น ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-12-2014 เมื่อ 03:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 72 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #13  
เก่า 25-12-2014, 18:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เขาใช้ในการทดสอบเราได้เสมอ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเราต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง เพื่อนด้วยกันแท้ ๆ รักกันปานจะกลืน ถึงเวลาปฏิบัติธรรมก็นั่งอยู่ใกล้ ๆ กัน เราภาวนา ๆ อยู่ดี ๆ เสียงโทรศัพท์ของเพื่อนดังขึ้น ก็ไปโกรธเพื่อนเป็นฟืนเป็นไฟ เพื่อนยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย ลืมปิดเสียงก็ต้องดังเป็นเรื่องปกติ แต่วันนี้โกรธเพื่อนว่าทำไมเพื่อนไม่รู้จักปิดเสียง ?

เขาทดสอบเราอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะเหมือนกับพระในวัดนี้ อาตมายัดเยียดงานให้ดูแลจนเกินกำลังตัวเอง ก็จะสึกแล้ว สึกไปเลยไม่ว่ากัน วันนี้คิดตกแล้ว บอกว่าเป็นเพราะผมแบ่งเวลาไม่เป็นครับ เออ..ถ้าเอ็งเจองานขนาดข้าดูสิ..จะตายไหม ?

นี่คือข้อสอบ และขอให้ภูมิใจที่เจอข้อสอบ ถ้าลูกศิษย์ร่ำเรียนมาไม่เพียงพอครูจะสอบไปทำไม ? ในเมื่อครูออกข้อสอบมาก็แปลว่า ๕๐/๕๐ ระหว่างสอบได้กับสอบตก โอกาสมีตั้งครึ่ง ในเมื่อโอกาสมีตั้งครึ่งก็ออกมาได้เลยครับคุณครู อาตมาเป็นเด็กสู้ครูมาตั้งแต่เล็ก ๆ บอกกับคุณครูว่า “ในหนังสือเล่มนี้ ครูจะออกข้อสอบตรงไหนก็ได้ครับ ถ้าหากว่าผมทำไม่ได้ ครูจะลงโทษอย่างไรก็ได้ แต่ถ้าผมทำได้คะแนนเต็ม ผมขอรางวัลด้วย..!” มีลูกศิษย์ที่ไหนกล้าพูดกับครูอย่างนี้บ้าง ? ปรากฏว่าคุณครูออกข้อสอบมา ๒๐ ข้อ อาตมาได้ ๑๙ คะแนนครึ่ง ครูบอกว่าลายมือไม่ดีจึงตัดไปครึ่งคะแนน ในเมื่อเธอทำไม่ได้เต็ม ก็แปลว่าไม่ได้รางวัล แต่ครูเห็นใจขอปัดให้เป็น ๒๐ คะแนนไปก็แล้วกัน รางวัลไม่มีให้..!

ถ้าท่านไม่แน่จริงก็ไม่มาเป็นครูของอาตมาหรอก ลูกศิษย์นอกคอกก็ต้องเจอครูแบบนี้แหละ ขอให้รู้ว่าถ้าสอบ แปลว่าคุณสมบัติของเราเพียงพอต่อการสอบแล้ว อย่าไปกลัว ตั้งสติให้ดี ๆ ไว้ ข้อสอบหลัก ๆ มีอยู่ ๔ ข้อเท่านั้น ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ มีแค่นี้แหละ ๔ ข้อเท่านั้นแต่เขาออกมาแต่ละแง่มุมไม่เคยซ้ำของเดิม ๔ หัวข้อใหญ่แยกข้อย่อยได้เป็นล้าน ออกไป ๒๐-๓๐ ปี ยังไม่ได้ซ้ำแบบเดิมเลย

อาตมาลงปักษ์ใต้เจอลุงสมเจตน์บ้านอยู่ปัตตานี อายุ ๘๐ กว่าแล้ว บอกว่า “โห..อาจารย์ พอตัดใจจะไปพระนิพพานนี่ ไม่นึกเลยว่าเขาจะเล่นเราได้ขนาดนี้ ผมอายุ ๘๐ แล้วนะครับ อยู่ ๆ ก็คึกอยากมีเมียขึ้นมาเฉยเลย” เห็นหรือยังว่าเขาลองแบบไหน ? จะเสียผู้เสียคนเอาตอนแก่นี่แหละ ก็ยังดีที่ตั้งสติเอาไว้ได้ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ๔ ข้อเท่านั้น แง่ใดแง่หนึ่งจะต้องมาแน่นอน ระมัดระวัง ทำข้อสอบกันเอาเอง ตูเปิดเผยมากจะโดนซ้ำอีกหรือเปล่าไม่รู้ โทษฐานที่ไปใบ้ข้อสอบให้..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-12-2014 เมื่อ 03:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 65 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #14  
เก่า 25-12-2014, 18:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระวัดเราปัจจุบันนี้แบ่งเป็นพระนักเรียนกับพระนักปฏิบัติ แต่ว่าไม่ได้แบ่งชัดเจน เพราะว่าพวกเราบังคับปฏิบัติกันเป็นปกติอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าในส่วนที่ทำ อยากจะให้พวกเราทุ่มเทให้เต็มที่ไปเลย ให้เห็นผลสักอย่าง ในเรื่องของการปฏิบัติ ถ้าเห็นผลสักอย่างหนึ่ง อย่างอื่นก็จะเหมือน ๆ กัน ใช้กำลังใจเท่ากัน

ถ้าสมมติว่าคุณห้ามปากตัวเอง ไม่ฉันน้ำปานะตรงหน้านี้ได้ ก็ใช้กำลังเท่ากับที่คุณรักษาศีล ถ้าหากว่าห้ามปากไม่อยู่ อย่างไรกูจะต้องกินให้ได้ แปลว่าเรามีโอกาสที่จะศีลขาดอยู่มาก ถ้าห้ามปากไม่ได้ก็คือบังคับกาย บังคับวาจาตัวเองไม่ได้ ฉันไปเถอะครับผมไม่ได้ว่าอะไรหรอก ...(หัวเราะ)... เพียงแต่บอกให้รู้ไว้ว่า กำลังในการที่จะสู้กับกิเลสนั้นเป็นอย่างนี้

ถ้าหากว่ามัวแต่รอผมมาจ้ำจี้จ้ำไชให้ ผมว่าชาติหน้าบ่าย ๆ ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จอะไรหรอก ต้องทุ่มเททำด้วยตัวเองครับ สมัยที่เริ่มปฏิบัติใหม่ ๆ ผมมีตำรา ๑ เล่ม ก็คือคู่มือปฏิบัติกรรมฐาน ออกครั้งแรกเลยของหลวงพ่อวัดท่าซุง ผมอ่านไปปฏิบัติไปอยู่ ๓ ปีเต็ม ๆ จนหนังสือเปื่อยทั้งเล่ม ไม่ได้มีครูบาอาจารย์เลย อ่านตำราแล้วทำเอา แล้วก็เล่นของยากด้วย เล่นกสิณก่อน ผมจำได้ชีวิตฆราวาส ๑๑ ปีที่ปฏิบัติตามสายหลวงพ่อวัดท่าซุง เป็นพระอีก ๗ ปีที่ท่านมีชีวิตอยู่ รวมแล้ว ๑๘ ปี ผมเคยถามปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติกับท่านแค่ ๔ ครั้งเอง

เหตุที่เป็นอย่างนั้นเพราะว่า ถ้าเราทำจริง ๆ จะได้คำตอบอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว ที่ไม่ได้คำตอบแปลว่ายังทำไม่จริง ส่วนที่ผมถามจะเป็นขั้นตอนของการเปลี่ยนอารมณ์ที่ผมไม่มั่นใจ ผมถามเพื่อความแน่ชัด หลวงพ่อวัดท่าซุงงานท่านมาก มีลูกศิษย์ทั้งในและต่างประเทศ ไม่มีเวลาที่จะอยู่ดูแลพระ ท่านจะบอกว่า “เทปมี หนังสือมี ไปฟังเอา ไปอ่านเอาแล้วก็ทำ ติดขัดตรงไหนค่อยมาถามผม” ท่านให้โอกาสแค่นี้แหละ แต่ผมยังไม่เคยเจอพระในวัดเข้าไปถามปัญหาการปฏิบัติกับท่านเลย..ยกเว้นผมคนเดียว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-12-2014 เมื่อ 03:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 66 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #15  
เก่า 25-12-2014, 18:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ที่ไม่เจอเข้าไปถามอาจจะเป็นเพราะพี่เขาเก่งกว่า ท่านทำแล้วไม่เกิดปัญหาเหมือนผม หรือไม่ก็งมเท่าไรก็ไม่เจอสักที เลยไม่กล้าเข้าไปถาม เพราะกลัวโดน..! พวกคุณไปเลือกคำตอบเอาก็แล้วกันว่าเป็นแบบไหน

คราวนี้ในส่วนที่ว่าครูบาอาจารย์อยู่ก็เหมือนกับไม่อยู่ เวลาที่ท่านจะมาจ้ำจี้จ้ำไชสั่งสอนไม่มี ถ้าคุณไม่ยืนด้วยตัวเอง ตายแน่..! จนกระทั่งผมเคยชินกับการที่จะต้องไขว่คว้าหาอะไรด้วยตัวเอง ก็เลยไม่ค่อยจะมาปากเปียกปากแฉะกับพวกคุณ ยกเว้นตอนงานปฏิบัติธรรมก็จะมานำให้หน่อยหนึ่ง นอกนั้นให้ไปหากินเอาเอง เขาเรียกว่าเลี้ยงแบบลูกเสือลูกจระเข้ คุณเอาลูกเสือลูกจระเข้ไปโยนทิ้งไว้ที่ไหน ก็หากินเองได้ โตเองได้ ถ้าเราไปอ้าปากรอเหมือนลูกนกก็ไม่รอดหรอก กิเลสเอาไปรับประทานหมด อาตมาไม่ได้ว่าใครนะ นี่พูดให้พระฟัง ไปตรงกับโยมคนไหนก็ตัวใครตัวมัน..!

โปรดอย่าทำตัวเป็นไฟไหม้ฟาง มีกำลังใจเป็นพัก ๆ เท่านั้น ต้องเป็นไฟสุมขอน ไหม้อย่างสม่ำเสมออยู่ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน ส่วนใหญ่พวกเราก็ไฟไหม้ฟาง..ใช่ไหม ? ถึงเวลาฮือขึ้นมาหน่อยแล้วก็เงียบ นั่นมีประโยชน์อยู่อย่างเดียวคือตอนที่อบไก่ ห้ามสุมฟางเกิน ๓ นาทีนะครับ..ไหม้..อดกิน ถ้าจะอบไก่วิธีนั้นผมแนะนำให้เอามะเขือเทศล้างสะอาด ยัดใส่พุงไก่ไปสัก ๗-๘ ลูกด้วย อร่อยฉิบหา..เลย ออกนอกลู่นอกทางอีกแล้ว พวกไม่เคยทำไก่อบฟางกินเอง ไม่เคยขโมยเป็ดชาวบ้านมาทำลาบ..!

เรื่องของการปฏิบัติเราจะไปรอครูบาอาจารย์ไม่ได้ เพราะกิเลสกินเราอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าพอเห็นหน้าครูบาอาจารย์แล้วกิเลสจะถอยเสียเมื่อไร ต่อหน้าต่อตาครูบาอาจารย์ก็โดน เพียงแต่ว่าบางทีเจอครูบาอาจารย์แล้วกิเลสไม่ได้กลัวหรอก พวกเราดันกลัวไปเอง..ก็เลยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อยหนึ่ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-12-2014 เมื่อ 03:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 63 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #16  
เก่า 28-12-2014, 12:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ผมอยากให้พวกคุณพิจารณาอะไรบางอย่าง พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อัตตนา โจทยัตตานัง จงกล่าวโทษโจทย์ตนเองอยู่เสมอ” พระองค์ท่านไม่ให้โทษใคร หากแต่ให้กล่าวโทษโจทย์ตนเองอยู่เสมอ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกผมว่า “อย่าสนใจจริยาคนอื่น” หลวงปู่บุดดาท่านบอกผมว่า “กายเดียวจิตเดียวก็นิโรธ หลายกายหลายจิตมันยุ่ง” หลวงปู่มหาอำพันท่านบอกว่า “อย่ายุ่งกับเรื่องของคนอื่น ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด” คุณเห็นหรือเปล่าว่า ๔-๕ อย่างที่ว่ามาเป็นเรื่องเดียวกันหมด ? เรื่องเดียวกันไหม ? มีใครว่าคนละเรื่องบ้าง ? เป็นเรื่องเดียวกันทั้งหมด

แต่คราวนี้ว่าบริบท ก็คือสถานการณ์ที่ท่านพูด หรือว่าสิ่งที่ท่านพบเห็นมา เป็นประสบการณ์ส่วนตัวในการปฏิบัติของท่านซึ่งไม่เหมือนกัน คำพูดที่ท่านใช้กล่าวออกมาก็เลยไม่เหมือนกัน แต่ความหมายทั้งหมดก็คืออย่างเดียวกัน เป็นการยืนยันว่าเรื่องของธรรมะเป็นสากล ใครทำก็มีสิทธิ์ได้ทั้งนั้น แล้วก็จะได้ตามวาสนาบารมี ตามแง่มุมที่ตนเองทำมา พระพุทธเจ้าถึงได้มีอัครสาวก อัครสาวิกา มีมหาสาวก มีมหาสาวิกา มีปกติสาวกเยอะแยะไปหมด เพราะแต่ละท่านสร้างมาไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน

แต่ว่าเรื่องของการชำระจิตให้ผ่องใสจากกิเลสนั้นเท่ากัน สามารถเข้าถึงที่สุดแห่งธรรมเหมือนกัน ท่านใช้คำว่า ขีณา ชาติ วุสิตัง พรัหมะจะริยัง กะตัง กะระณียัง นาปะรัง อิตถัตตายาติ ปะชานาตีติ บอกว่า “รู้ตัวว่าหมดสิ้นซึ่งกิเลสแล้ว ชาติคือการเกิดสิ้นสุดลงแล้ว การปฏิบัติเพื่อพรหมจรรย์นี้จบแล้ว” ถ้าทุกคนตั้งใจทำ มีสิทธิ์เหมือนกันในการที่จะบรรลุมรรคผล

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า ตราบใดที่ธรรมะยังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ พระธรรมวินัยยังประกอบไปด้วยมรรค ๘ อยู่ ตราบนั้นสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ยังมีอยู่ในพระธรรมวินัยนั้น ก็แปลว่าพระโสดาบันก็ดี พระสกทาคามีก็ดี พระอนาคามีก็ดี พระอรหันต์ก็ดี ยังมีอยู่ครบถ้วน เพียงแต่เรารู้จักท่านหรือไม่เท่านั้น แล้วในเมื่อมีอยู่ครบถ้วน เราเองก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นอย่างนั้นด้วย โยมทุกคนก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นอย่างนั้นด้วย แต่ถ้าหากว่าไม่มีความเด็ดขาดจริงจังในการปฏิบัติ ก็เท่ากับว่าเราตั้งท่าสละสิทธิ์แล้ว..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-12-2014 เมื่อ 18:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 48 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #17  
เก่า 28-12-2014, 12:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สมมติว่ามีคนเอาหวยรางวัลที่ ๑ มาให้เราทีเดียว ๑๒ คู่รวด มีใครปฏิเสธบ้างไหม ? ผมก็ไม่ปฏิเสธนะ เพราะอย่างน้อยผมไม่ต้องเสียเวลาไปรับสังฆทานอีก ๒ เดือน เพราะฉะนั้น..โปรดอย่าสละสิทธิ์ และอย่าปฏิเสธในสิ่งที่ดีที่สุดที่จะพึงมีพึงเกิดแก่ตัวเอง ตั้งหน้าตั้งตาทำให้เต็มที่ เต็มสติกำลังของเรา ถึงเวลาจะได้ไม่เสียทีที่เกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้ชื่อว่าเกิดมาทันธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังมีสิทธิ์ที่จะบรรลุมรรคผลตามวาสนาบารมีของแต่ละคน ไม่ใช่รอ..วันนี้อาจารย์ไม่อยู่ นั่งเฉา ไม่มีอารมณ์ปฏิบัติ อยากให้อาจารย์กลับมาด่าถึงจะอยากปฏิบัติ แล้วถ้าอย่างนั้นอีกกี่ชาติจึงจะได้ เกิดอาจารย์ตายห่..ไปก่อนแล้วจะได้อะไรกัน ?

ในส่วนของพระนิสิต คุณจะศึกษาเล่าเรียนอะไรก็ตาม อย่าลืมว่าพื้นฐานของสมาธิเป็นเรื่องสำคัญที่สุด หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศบอกผมตั้งแต่ครั้งแรกที่เรียนบาลีว่า “ท่านเล็ก..อย่าทิ้งสมาธิเป็นอันขาดเลยนะ ยิ่งประโยคสูงยิ่งยาก ถ้าไม่มีสมาธิช่วยจะท้อ..แล้วไปไม่รอด” ส่วนท่านใดก็ตามที่เน้นในเรื่องของการปฏิบัติ พยายามทำให้เห็นผล ถ้ายังไม่เห็นผลมี ๒ อย่าง อย่างแรกคือทำไม่พอ อย่างที่ ๒ คือทำผิดวิธี

ผมว่าคำสอนของหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านชัดเจนดีแล้ว ฉะนั้น..โอกาสที่เราจะทำผิดวิธีนั้นยาก ก็เหลืออย่างเดียวก็คือทำไม่พอ ถ้าถามว่าเท่าไรถึงจะพอ ถ้าเอาอย่างหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า “แม้แต่วินาทีเดียวท่านก็ไม่ยอมให้ใจว่างจากกรรมฐาน” ไหวไหม ? สิ้นชีวิตกันหมดแน่นอน เอาตามกำลังของเรา ถ้าหากเครียดก็ไปหางานอย่างอื่นทำ แต่อย่าทิ้งกรรมฐาน ผมเองสมัยบวชใหม่ ๆ มีความสุขมากเลยกับการถูศาลานวราชบพิตร เพราะไม่ว่าไม้ถูจะขึ้นหน้า ถอยหลัง จะไปซ้ายไปขวา แรงเบายาวสั้นอย่างไรจะรู้หมด นั่นก็คืออิริยาบถและสัมปชัญญะในสติปัฏฐาน ๔

แต่หลังจากที่ผมขยันอยู่ได้ ๒ เดือน มีความสุขอยู่คนเดียว ก็มีคนมาแย่งงาน เขาคงรำคาญว่าพระรูปนี้ขยันอะไรนักหนาวะ เลิกทำวัตรก็ถูแต่ศาลาอย่างเดียว เลยโดนเขาแย่งทำ คนที่แย่งทำได้อานิสงส์อยู่อย่างเดียวคือช่วยทำความสะอาดวัด แต่อานิสงส์กรรมฐานไม่ได้เลย เพราะเขาไม่รู้ว่าผมทำอะไร รู้อย่างเดียวว่าพระทำเลยมาช่วย น่าเสียดายมาก ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-12-2014 เมื่อ 02:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #18  
เก่า 29-12-2014, 10:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ใครที่เป็นคอกำลังภายในไปอ่านนักสู้คะนองศึก เซียวไซเล้าเป็นเจ้าสำนัก เซียวตังก้วงเป็นคนรับใช้ ทั้ง ๆ ที่ ๒ คนนี้เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน แต่ตอนที่ประลองฝีมือเพื่อหาเจ้าสำนัก เซียวตังก้วงแพ้ครึ่งกระบวนท่า ต้องลดตัวลงไปเป็นคนรับใช้คอยกวาดพื้น ระยะเวลาผ่านไป ๒๐ ปี หนึ่งในศัตรูที่ร้ายกาจที่สุด เรียกว่ามารมนุษย์สุนัขป่า เป็น ๑ ใน ๑๙ มารมนุษย์ บุกรุกมาถึงสำนัก โค่นท่านเจ้าสำนักลง แล้วกำลังจะหนีออกจากสำนักไป ปรากฏว่าไปเจอตาแก่กวาดพื้นขวางทางอยู่ ประมือกัน ๑ กระบวนท่า เจ้าตัวร้ายตายคาที่..!

อย่าลืมนะครับว่าท่านเจ้าสำนักเคยเป็นผู้ชนะ แต่ ๒๐ ปีให้หลังท่านเจ้าสำนักมัวแต่รับแขกอยู่ โอกาสฝึกซ้อมไม่มีเลย แล้วทำไมศิษย์พี่ที่เคยแพ้มาลงมือกระบวนท่าเดียวศัตรูตายเลย ? เขาบอกว่าเขากวาดพื้นอยู่ ๒๐ ปี ก็คือฝึกกระบี่อยู่ ๒๐ ปี จะแรง จะเบา จะยาว จะสั้น เขารู้อยู่ตลอดเวลา เท่ากับว่าเขาซักซ้อมอยู่ทุกวัน วันหนึ่งเป็น ๑๐ ชั่วโมง เห็นหรือยังว่าต่างกันตรงไหน ?

แพ้กิเลสเราไม่ได้แพ้ตลอด ต้องมีเวลาชนะบ้าง ใหม่ ๆ ก็แพ้ราบทุกกระบวนท่า..แต่ต้องสู้ ถ้าเราตื๊อสู้ไปก็จะเริ่มมีชนะบ้าง คราวนี้ได้โปรด..อย่าโง่นะครับ ชนะได้อย่างไรให้จำวิธีการไว้ด้วย แล้วก็ใช้ใหม่ กระบวนท่าเดิมที่ก๊วยเจ๋งใช้นั่นแหละ ก๊วยเจ๋งเรียนอะไรมา ? ๑๘ ฝ่ามือพิชิตมังกร เรียนได้ ๒ ท่า ดันไปเจอศัตรูประเภทสุดยอดฝีมือในยุทธจักรเข้า ก็ใช้อยู่ ๒ ท่านั้นแหละ คู่ค่อสู้ทำอะไรก๊วยเจ๋งไม่ได้ แม้ว่าตนมีอยู่แค่ ๒ ท่า แต่ก็ใช้หมุนวนไปเรื่อย

ถ้าเรารู้วิธีแล้ว ต่อไปโอกาสที่จะชนะก็เริ่มมีมากขึ้น พอถึงเวลาตอนที่แพ้ชนะก้ำกึ่งกันนี่ผมรับประกันครับ จะเป็นหนังเป็นละครอะไรก็ไม่อยากจะดูหรอก ลุ้นสุดชีวิตเลยว่าคะแนนนี้ใครจะได้ จะดูว่ากิเลสจะเก่งกว่าหรือเราจะเก่งกว่า เบียดกันมาชนิดหายใจรดต้นคอเลย คอยดูว่าคะแนนนี้ใครจะได้ ไม่ได้สนใจใครเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-12-2014 เมื่อ 13:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #19  
เก่า 29-12-2014, 10:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลวงตาบัวท่านบอกว่า ท่านเดินจงกรมอยู่ ๆ ชนต้นไม้โครมเลย เพราะสภาพจิตหักล้างกับกิเลสอยู่ข้างใน ไม่ได้สนใจที่จะดูข้างนอก พอชนโครมเข้าไปคลำ ๆ ดู อ้าว..สุดทางจงกรม กลับหลังเดินใหม่ เดินไปข้างในก็ฟันกับกิเลสต่อไป เดี๋ยวก็อีกโครมหนึ่ง ชนต้นไม้อีกแล้ว ยังดีว่าตอนนั้นสมาธิคุ้มได้ ไม่อย่างนั้นกว่าจะเลิกก็คงหัวหูปูดหมด

ฉะนั้น..ในส่วนนี้ผมยืนยันกับพวกท่านทุกคนว่า ถ้าหากว่าตั้งใจเอาดี พระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้ายังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ เรามีสิทธิ์ที่จะได้มรรคได้ผลกันทุกคน พิจารณาดูตัวเราเองว่าเราทำผิดวิธี หรือยังทำไม่พอ ผมมั่นใจว่าถ้าทำตามที่ผมบอก หรือทำตามที่ฟังจากหลวงพ่อวัดท่าซุง..ไม่ผิดหรอก ก็เหลืออย่างเดียวคือเรายังทำไม่พอ

และโปรดอย่าใจร้อน ค่อย ๆ สั่งสมความดีของเราไป เก็บเล็กเก็บน้อยไปเรื่อย ภาวนาวันนี้กำหนดลมหายใจได้แค่ ๓ คู่โดยไม่ฟุ้งซ่านก็ได้มา ๓ คู่ ได้ ๕ คู่โดยไม่ฟุ้งซ่านก็ได้ ๕ คู่ ไม่ได้ขาดทุน ได้ทุกวัน แต่ถ้าวันไหนได้เยอะ ๑ ชั่วโมงใจทรงเปรี๊ยะเลย ก็ได้มาอีก ๑ ชั่วโมง ไม่ใช่ว่ารุ่งขึ้นจะต้อง ๑ ชั่วโมงด้วย ได้บาทเอาบาท ได้สลึงเอาสลึง จะได้ห้าพันได้หมื่นก็เอา แต่ว่าต้องทำไว้ทุกวัน แรก ๆ เรายังไม่เห็นผลเพราะต้นทุนน้อย โอ่งหรือถังใบใหญ่ กว่าน้ำจะหยดเต็มก้นโอ่งได้ก็นานเหลือเกิน แต่พอเริ่มเห็นหน้าเห็นหลังแล้ว ขึ้นมานิ้วหนึ่งแล้ว ขึ้นมาคืบหนึ่งแล้ว ขึ้นมาครึ่งโอ่งแล้ว คราวนี้เราจะรู้ว่าต้นทุนเรามีมาก เพียงแต่ว่าได้สำรวจต้นทุนของตัวเองหรือเปล่าเท่านั้นเอง ?

ขอให้ค่อย ๆ สั่งสมความดีไปตามระยะเวลา การปฏิบัติของเราสามปีห้าปีไม่มีอะไรก้าวหน้าขึ้นเลย ขอให้รู้ว่าเรากำลังจะก้าวหน้า แต่อยู่ในช่วงของการสั่งสมกำลัง ต้องย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีกในจุดเดิม ถ้ากำลังพอเมื่อไรก็จะก้าวล่วงจุดนั้นไปได้ ไม่อย่างนั้นก็ติดอยู่นั่นแหละ อย่าเบื่อเสียก่อนนะ ขอให้รู้ว่าเราอาจจะเจอกำแพงหนาหน่อย ตั้งหน้าตั้งตาเจาะไปเรื่อย เดี๋ยวก็ทะลุเอง อย่าได้เปลี่ยนที่ อย่าได้เปลี่ยนวิธีเป็นอันขาด เพราะถ้าเปลี่ยนเมื่อไรแปลว่าเราต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่

ฉะนั้น..ในเมื่อพวกเราบวชเข้ามาแล้ว ถือว่าใจหินพอที่จะแลกกับกิเลส เพราะว่าขึ้นสูงไม่ได้ก็ต้องลงต่ำ ของพระเราอาศัยชาวบ้านกิน จัดเป็นปูชนียบุคคล โอกาสที่จะไปกลาง ๆ ไม่มีหรอก ไม่สูงสุดก็ต่ำสุดไปเลย เพราะฉะนั้น..ต้องทุ่มเทครับ “เกิดเป็นชายหมายมาดว่าชาติเชื้อ ถึงปะเสือก็จะสู้ดูสักหน” ลองดูว่าเสือตายหรือเราตาย ของญาติโยมด้วยนะ..ไม่ใช่แต่ของพระ

ทุกสิ่งที่ว่าไปให้ถือเป็นคำสั่งแล้วทำตาม อย่าฟังเป็นคำสอน ถ้าฟังเป็นคำสอนจะกลายเป็นลมผ่านหูไปเฉย ๆ ฟังเสียงตามสาย นั่นคือคำสั่งของหลวงพ่อวัดท่าซุง กำลังบอกให้เราทำตามนั้น ถ้าเช่นนั้นจะมีโอกาสเจริญ แต่ถ้าฟังแล้ว “เออ..ท่านกำลังสอนกรรมฐานอยู่” ไม่ค่อยได้สนใจเท่าไรหรอก วันนี้เวลาหมดแล้ว เอาแค่นี้แหละ ฟังมากไปก็เหมือนกับกินมาก ท้องอืดเปล่า ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-12-2014 เมื่อ 13:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #20  
เก่า 30-12-2014, 12:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

(ไม่ชัด) แปลว่าให้ขยันมากกว่านี้ แต่ว่าความขยันต้องขยันให้ถูกทาง ถ้าขยันผิดทางก็อย่างที่ว่าแหละ ทำงานทุกวันแต่ผลงานไม่มี เคยบอกหลายครั้งแล้ว การปฏิบัติธรรมเหมือนกับเราว่ายทวนน้ำ เมื่อเลิกปฏิบัติอย่าทิ้งทีเดียว แต่ให้รักษาอารมณ์ปฏิบัติเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเราจะลอยตามน้ำ คือลอยตามกระแสกิเลสทางโลกไป แล้วถึงเวลาก็ตะเกียกตะกายว่ายคืนมาใหม่ กลายเป็นทำงานทุกวันแต่ผลงานไม่ได้เพิ่มขึ้น ถึงได้บอกว่าต้องขยันให้ถูกทาง

คราวนี้ในเรื่องของความขยันของเรานั้น ให้เน้นในส่วนของลมหายใจเข้าออก เอาแค่ว่าถ้าสามารถทรงปฐมฌานได้ ก็จะเป็นอย่างที่อาตมาตั้งความปรารถนาไว้แต่แรกว่า อย่างน้อยเราจะได้ตัดกิเลสเป็นพระโสดาบันกับเขาได้ การทรงปฐมฌานนั้นทำไมถึงสามารถตัดกิเลสเป็นพระโสดาบันได้ ? ก็เพราะว่าโดยปกติแล้วพวกเราโดนไฟใหญ่ ๔ กองคือ รัก โลภ โกรธ หลง เผาอยู่ตลอดเวลา เมื่อถึงเวลาทรงปฐมฌานได้ ไฟใหญ่ทั้ง ๔ กองจะโดนอำนาจของฌานสมาบัติกดดับลงชั่วคราว คนที่โดนไฟเผาอยู่ตลอดเวลา อยู่ ๆ ไฟดับลง มีความสุขสบายอย่างไร ไม่สามารถจะพูดเป็นภาษามนุษย์ได้ อย่างที่ภาษาพระท่านว่า ปัจจัตตัง คือคนที่ทำถึงจึงจะรู้เอง

ในเมื่อเกิดความสุขท่วมท้นล้นตัวเองขนาดนั้น ถ้ามีปัญญาคิดสักนิดหนึ่งว่า นี่เราเป็นแค่ปุถุชนธรรมดากิเลสท่วมหัว เข้าถึงการปฏิบัติธรรมแค่ผิว ๆ นิดเดียว ยังมีความสุขขนาดนี้ แล้วบุคคลที่เป็นผู้ทรงฌานที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ซึ่งละเอียดประณีตมากกว่า จะมีความสุขขนาดไหน ? แล้วท่านที่ทรงความเป็นพระโสดาบัน ปิดอบายภูมิอย่างเที่ยงแท้แล้ว มีแต่เจริญขึ้นโดยส่วนเดียวไม่มีทางตกต่ำ จะมีความสุขขนาดไหน ?

ท่านที่เป็นพระโสดาบันยังประกอบไปด้วย รัก โลภ โกรธ หลง เป็นปกติ แต่อยู่ในกรอบของศีล เมื่อไปถึงระดับพระสกทาคามีที่ รัก โลภ โกรธ หลง เหลือน้อยเต็มทีแล้ว ท่านจะมีความสุขยิ่งกว่าพระโสดาบันขนาดไหน ? แล้วพระอนาคามีที่ไม่ต้องมาเกิดให้ทุกข์ยากลำบากในโลกนี้ รออยู่ปฏิบัติธรรมที่สุทธาวาสพรหมเพื่อไปสู่พระนิพพานเลย ท่านจะมีความสุขขนาดไหน ? ท้ายที่สุดพระอรหันต์ที่ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด มาทุกข์ทนทรมานอยู่อย่างพวกเรา ท่านจะมีความสุขขนาดไหน ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-12-2014 เมื่อ 13:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:56



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว