กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #21  
เก่า 30-04-2016, 14:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"นั่นยังดีนะ สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงเขานิมนต์เทศน์เรื่องรามเกียรติ์ ผมถามว่า “แล้วหลวงพ่อเทศน์ได้หรือครับ ?” ท่านบอกว่า “ทำไมจะไม่ได้วะ ? ก็ รัก โลภ โกรธ หลง แค่นั้นแหละ ไม่มีอะไรหรอก ไอ้ทศกัณฑ์ราคะขึ้นหน้า ก็ไปขโมยตัวนางสีดามา พระรามโทสะขึ้นหน้า ก็ต้องตามมาเอาคืน” ท่านก็สรุปลง รัก โลภ โกรธ หลง ได้ ต่อไปถ้าพวกคุณเจอหัวข้อฉุกเฉินแบบนี้ต้องสรุปให้ได้นะ

งานมงคลต้องมีการตั้งขันน้ำมนต์ วงสายสิญจน์ งานอวมงคลยกเว้นสวดมาติกาหน้าไฟแล้วไม่ต้องมีขันน้ำมนต์ งานอะไรที่เกี่ยวกับศพไม่ต้องมีขันน้ำมนต์ ฉะนั้น...ต้องจำให้แม่น ๆ จะได้บอกโยมเขาถูกว่าอะไรเป็นอะไร โดยเฉพาะบทสวดงานอวมงคลอย่าได้ไปขึ้นชยันโตฯ เชียว ภะวะตุสัพฯ ก็ไม่ได้ ชยันโตโพธิยาฯ นั่นให้สำเร็จใช่ไหม ? สำเร็จตรงตายห่...ไปแล้ว..! ภะวะตุ สัพพะมงคะลังฯ สัพมงคลทั้งหลายจงมีแก่ผู้ตาย ขึ้นไม่ได้ครับ ถึงได้บอกว่าสวดยากฉิบหา...เลยงานอย่างนี้

คุณถึงได้เห็นว่าทำไม มหาการุณิโก นาโถฯ หายไปไหน ? ภะวะตุฯ ก็ไม่มี มีไม่ได้ ผมยังบอกหมอฉลองเลยว่า ต่อไปอย่าตั้งหลายวัตถุประสงค์ หลายวัตถุประสงค์ทำยาก พอ ๆ กับวิทยานิพนธ์นั่นแหละ วัตถุประสงค์เยอะก็ทำงานวิจัยเยอะ คราวนี้ถ้าหากว่ามั่วขึ้นมาก็ทำไม่ได้ งานศพไม่ต้องไปภะวะตุสัพฯ ให้เขาหรอก แหม...ถึงแก่ความตายพร้อมด้วยสรรพมงคลทั้งปวง นั่นต้องพระอรหันต์เท่านั้น ไม่รู้ว่าเขาเป็นพระอรหันต์อย่าไปลง ภะวะตุ สัพฯ ถ้าลูกหลานเขารู้เดี๋ยวจะโดนด่าเอา

งานแบบนี้บางทีก็ทำเอาพวกเราเครียดเหมือนกัน คนที่ไม่รู้ก็แล้วไป ที่รู้ก็ต้องมานั่งคิดว่าจะสวดบทไหนดีวะ ? แล้วจะขึ้นมงคลหรืออวมงคลก่อน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-04-2016 เมื่อ 17:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 84 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #22  
เก่า 30-04-2016, 14:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"แล้วฉลองให้ผมทำไมวะ ? ทำอย่างกับผมไม่มีสตางค์จัดฉลอง บอกแล้วว่าอาจารย์เล็ก วัดท่าขนุน อาจจะขาดได้ทุกอย่าง แต่เรื่องสตางค์ไม่ขาดแน่ ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้น นี่ถ้าจะฉลองย้อนหลังผมมีให้ฉลองทุกปีแหละ เพราะว่ารับรางวัลมาทุกปี แล้วผมรับอะไรมาบ้างพวกท่านรู้หรือเปล่า ? ไม่รู้หรอก รับมาผมก็ทิ้งให้ฝุ่นจับอยู่นั่นแหละ

การที่คนอื่นเขายกย่องเรามีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรก...เรารู้เท่าทันก็เสมอตัว อย่างที่ ๒ ถ้าเรารู้ไม่เท่าทันแล้วเหลิง ลอยลมตามไปก็ขาดทุน โลกธรรม ๘ นั่นแหละ มีลาภคู่กับเสื่อมลาภ มียศคู่กับเสื่อมยศ มีสรรเสริญคู่กับนินทา มีสุขคู่กับทุกข์ ทำใจไม่ได้ก็หวั่นไหว ที่ไหว ไหวตรงไหน ? ลองดูซิ...ถ้าหากว่าบอกว่าถูกรางวัลที่ ๑ เป็นอย่างไร ? ไม่ได้ไหวแต่ใจนะครับ ผมว่าไหวทั้งตัวและครอบครัวด้วย แล้วต่อไปเกิดหวั่นขึ้นมา หวั่นอะไร ? กลัวไม่ได้เงิน กลัวโดนปล้น กลัวคนจะมาขอความช่วยเหลือ ฉะนั้น...ที่โบราณเขาใช้คำว่า "หวั่น" และ "ไหว" นี่ถูกต้องเลยนะครับ

ถ้ารักษากำลังใจไม่ได้ก็ไหว กลัวว่าจะไม่ได้ หรือว่ากลัวจะเจอ ที่ว่ากลัวจะไม่ได้ก็คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ที่ว่ากลัวจะเจอก็คือ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ผมว่าผมบรรยายไปพวกคุณก็จำไม่ได้อยู่ดีแหละว่าอะไรหวั่น อะไรไหวอีก ต้องส่งไปอัพเกรดเพิ่มแรมสมอง ความจำพวกคุณจะได้เยอะขึ้นหน่อย...!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-04-2016 เมื่อ 17:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 84 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #23  
เก่า 01-05-2016, 14:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "สำหรับญาติโยมที่ไปช่วยพระตอนบิณฑบาต ส่วนใหญ่แล้วยังไปเดินเกะกะรถยนต์เขาอยู่ดี ถ้าเป็นคนเคยขับรถไม่น่าจะทำอย่างนั้น แต่บางทีคนขับรถพอถึงเวลาออกจากหลังพวงมาลัยมาก็ลืมอีก

การที่เราเดินล้ำเข้าไปในถนนแม้แค่คืบเดียว ก็ทำให้รถที่วิ่งมาไม่แน่ใจว่าจะพ้นหรือเปล่า เพราะว่าบ้านเราขับรถพวงมาลัยขวา ถึงเวลาเขามองซ้าย มุมด้านซ้ายจะโดนบังหมด มองไม่เห็น นอกจากอยู่ระยะก่อนรถยนต์วิ่งถึงหรือว่าวิ่งเลยไปแล้ว คราวนี้ในช่วงระยะที่รถยนต์กำลังจะวิ่งผ่าน เขากะระยะไม่ถูกว่าจะเฉี่ยวชนเราหรือไม่ แล้วพวกเราก็มักจะเดินกันเต็มถนนเพราะเราเห็นว่าไม่โดนรถ แต่รถนะไม่เห็น รถจะคิดว่าโดนเราอยู่เสมอ เขาจึงไปไม่ได้แล้วก็พาให้รถติด ไม่ต้องเมตตาไปยืนโบกให้เขา แค่เราถอยมาเขาก็ไปได้แล้ว ส่วนใหญ่ยืนล้ำไปค่อนถนนแล้วดันไปโบกให้เขาอีก

จำไว้แม่น ๆ ว่า ถ้าเคยขับรถโปรดสังเกตด้วยว่า เราจะเห็นว่าช่องทางนั้นไปได้หรือไม่ต่อเมื่อเรายังไปไม่ถึงหรือว่าวิ่งเลยไปแล้ว ถ้าในระหว่างนั้นจะมองไม่เห็น เพราะว่ามุมซ้ายมือจะโดนประตูรถบังหมด กะระยะไม่ถูก สมัยอาตมาขับรถที่น่าเบื่อที่สุดคือรถมอเตอร์ไซค์ ถึงขนาดอาตมาต้องจอดรถแล้วลงไปกางแขนวัดดูว่าต้องห่างเท่าไรถึงจะพ้น พออาตมาแซงมอเตอร์ไซค์ทีไรคนอื่นหัวใจจะวาย เพราะคิดว่าเบียดโดนทุกที แต่อาตมาเคยกะระยะไว้แล้ว จึงมั่นใจว่าพ้น

ฉะนั้น...ถึงเวลาก็ขับพรวดไปเลยโดยที่ไม่ได้ใส่ใจ เนื่องจากว่าเคยลงไปยืนวัดด้วยตัวเอง กางแขนว่าแล้วว่าถ้าแค่นี้พ้นแน่ แต่ในมุมนั้นถึงเวลาแล้วจะเป็นมุมบัง คนขับจะมองไม่เห็น ช่วงไปถึงจะมองไม่เห็น ก่อนถึงหรือว่าเลยไปแล้ว ถึงมองเห็นก็ไม่มีประโยชน์"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2016 เมื่อ 17:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 74 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #24  
เก่า 01-05-2016, 14:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"สมัยก่อนที่จะพูดเรื่องนี้ บางทีพวกเราก็เดินออกันเต็มถนนเลย แล้วรถยนต์ ๘ คัน ๑๐ คัน ก็ค่อย ๆ คลานตามกันยาวเหยียด เพราะว่าเขาไปไม่ได้ แล้วเราเองก็ไม่มีใครคิดจะหลบ อาตมาก็อยากจะให้หมูแฮมเป็นคนขับเหลือเกิน มีใครจำหมูแฮมได้ไหม ? ขัดใจขึ้นมาขับรถลุยขึ้นไปชนเขาบนป้ายรถเมล์เลย

จำเอาไว้ว่า อย่าให้ กาย วาจา และใจของเรา เป็นทุกข์เป็นโทษแก่คนอื่น เพราะจะก่อกรรมโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว การสร้างกรรมแม้เพียงเล็กน้อยก็มีผลสืบเนื่องไปในชาติต่อ ๆ ไป อาจจะทำให้เกิดอุปสรรค ขาดความคล่องตัวในการดำเนินชีวิตบางอย่าง แต่กว่าที่เราจะรู้ก็ต่อเมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้นแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว นอกจากก้มหน้ารับกรรมไป

พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า อย่าเห็นว่ากรรมชั่วเพียงเล็กน้อยแล้วไปทำ ขณะเดียวกันก็อย่าเห็นว่ากรรมดีเพียงเล็กน้อยแล้วไม่ทำ เพราะว่ากรรมนั้นจะดีหรือชั่ว จะเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม ถ้าถึงวาระย่อมส่งผลให้ทั้งนั้น กรรมดีก็ย่อมส่งผลให้เรามีความสุขความเจริญ กรรมชั่วก็ส่งผลให้เราต้องลำบากเดือดร้อน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2016 เมื่อ 17:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 76 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #25  
เก่า 01-05-2016, 14:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"บางคนก็อาจจะสงสัยว่าทำไมเราอยู่ที่ไหน ในวงสังคมไหนก็มีแต่คนนินทาด่าว่าเราตลอด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเราต้องเคยนินทาด่าว่าคนอื่นมาแล้ว สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราทำเราถึงได้ ถ้าเราไม่ทำก็ไม่มีใครสามารถมายัดเยียดให้กับเราได้ ในเมื่อรู้ว่าทำแล้วก่อให้เกิดผลไม่ดีอย่างไร ก็ควรที่จะระมัดระวังและค่อย ๆ แก้ไขไป

วจีกรรมเป็นส่วนที่ระมัดระวังได้ยาก เพราะสติของเรามักจะไม่เท่าทัน ขณะเดียวกันบางทีก็เกิดอารมณ์ร่วม ก็คือ “แหม...เรื่องนี้น่านินทาเหลือเกิน” ว่าแล้วก็ร่วมวงกับเขาไปเลย

อาตมาถึงได้ย้ำนักย้ำหนาว่า การมาปฏิบัติธรรมของพวกเราก็คือเสริมสร้างสติ สมาธิ และปัญญาของเรา ให้มีความมั่นคง แหลมคม ว่องไว คล่องตัว ทันทีที่รู้ว่าเราจะคิดในสิ่งที่ไม่ดี นั่นคือสติ ความระลึกได้ปรากฏขึ้น ก็ให้ใช้สมาธิในการหักห้ามใจตนเองอย่าให้คิดชั่ว แล้วปัญญาก็จะทำงานในลักษณะที่ว่า จะทำอย่างไรให้เราพ้นจากสภาพที่เรากำลังจะชั่วเช่นนั้น ก็อาจจะชักเข้าในเรื่องของศีล ของสมาธิ ของปัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้เราไม่ต้องไปกระทำในส่วนที่เป็นอกุศล ให้เป็นบาปเป็นเวรแก่ตนเอง

ฉะนั้น...ในส่วนของสติ ความระลึกได้ ถึงจะระลึกได้ ถ้าสมาธิไม่ทรงตัว ก็ไม่มีกำลังในการหักห้ามตนเอง แล้วถ้าปัญญาไม่เพียงพอ ก็ไม่รู้ว่าจะพาตนเองให้ออกจากสถานการณ์นั้นอย่างไร เราถึงต้องมาฝึก มาหัด มาซัก มาซ้อม กันอยู่ทุกวัน ต้องอดทนอดกลั้นในการที่จะฝึกฝนตนเอง พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อตฺตาหิ กิร ทุทฺทโม ได้ยินมาว่าการฝึกตนนั้นช่างยากจริงหนอ” ยาก...เพราะเราบังคับตัวเองยังบังคับไม่ได้ แล้วจะไปรอให้คนอื่นมาบังคับบัญชาเราได้อย่างไร จึงต้องมีความอดทน อดกลั้นเป็นอย่างยิ่ง มีความแน่วแน่มั่นคงที่จะกระทำให้ได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2016 เมื่อ 17:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 72 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #26  
เก่า 01-05-2016, 14:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงสอนพวกอาตมาไว้อยู่เสมอว่า “ให้เขียนสังโยชน์ ๑๐ กับบารมี ๑๐ ติดหัวนอนไว้ ตื่นเช้าขึ้นมาก็ทบทวนอยู่เสมอ ข้อไหนที่เรายังบกพร่อง วันนี้เราจะทำให้ได้ ถ้าในส่วนของสังโยชน์ ข้อไหนที่เรายังละไม่ได้ วันนี้ต้องละให้ได้” นั่นเป็นการเตือนสติ เตือนใจตนเองไว้เสมอว่าเป้าหมายของเราคืออะไร ? ตอนนี้เราทำอะไรได้บ้าง ? และอะไรที่ยังต้องเร่งรัดพัฒนากันต่อไป ?

ในส่วนของบารมี ๑๐ ที่พวกเราพร่องอยู่นั้น ส่วนใหญ่ก็คือ พร่องในขันติบารมี ขาดความอดทนอดกลั้นในการปฏิบัติธรรม ขาดวิริยบารมี ขาดการพากเพียรอย่างต่อเนื่อง และขาดปัญญาบารมี ไม่รู้ว่าจะรักษาอารมณ์ตนเองให้อยู่ในด้านดีได้อย่างไร ก็ถ้าหากว่า ๑๐ ขาดไปเสีย ๓ แล้ว ก็เท่ากับว่าเราขาดปัญญาบารมี เพราะปัญญาไม่เพียงพอ รักษาอารมณ์ใจตนเองไม่ได้ ในเมื่อเราขาดจาก ๔ ใน ๑๐ แล้ว โอกาสที่ข้ออื่นจะขาดตามก็มีอีกมาก

อย่างเช่นว่า เมื่อขาดความอดทน ขาดความพากเพียร ปฏิบัติไม่ได้ตามที่ตั้งใจเอาไว้ สัจจบารมีของเราก็บกพร่อง ในเมื่อสัจจบารมีของเรายังบกพร่อง ความแน่วแน่มั่นคงของสภาพจิตมีไม่เพียงพอ อุเบกขาบารมีก็ย่อมบกพร่องไปด้วย เพราะปล่อยไม่ได้วางไม่ลงเสียที ถ้าอุเบกขาบารมีของเราบกพร่อง ตัวเมตตาบารมีของเราก็ไม่มี เพราะว่าเมตตาบารมี ต่อด้วยกรุณา มุทิตาและถึงจะเป็นอุเบกขา กลายเป็นว่าเราขาดไป ๖ ใน ๑๐ แล้ว ตายแน่ ๆ ถ้าหากว่าเมตตาบารมีไม่มี ศีลบารมีก็ไม่มี เพราะว่าศีลเกิดจากพื้นฐานของความเมตตา หายไป ๗ ข้อแล้ว ถ้าว่าต่อก็หายไปครบ ๑๐ เลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2016 เมื่อ 17:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 75 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #27  
เก่า 01-05-2016, 14:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ฉะนั้น...จำไว้แม่น ๆ ว่าเร่งรัดในส่วนของขันติและวิริยะให้มากไว้ ถ้ามีความอดทนอดกลั้น มีความพากเพียรที่จะปฏิบัติมุ่งมั่นต่อเป้าหมายจริง ๆ มรรคผลไม่ใช่สิ่งที่เกินความสามารถของพวกเรา แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเราขาดตกบกพร่อง แล้วในส่วนที่บกพร่องเป็นอย่างยิ่งก็คือไม่รู้ว่าตัวเองบกพร่องตรงไหน แต่จะว่าไปแล้วอาตมาก็เหมือนอย่างกับคนดูมวย เห็นมวยชกบนเวทีก็รู้ว่าตรงไหนบกพร่อง ตรงไหนเป็นจุดอ่อน แต่ว่าคนที่กำลังชกอยู่บนเวทีดูไม่ออก

เพราะฉะนั้น...เราจะเห็นว่าพี่เลี้ยงกับคนดูจะเก่งที่สุดในระหว่างที่ชกมวย ให้คำแนะนำได้ทุกอย่าง แต่ว่านักมวยที่อยู่ในสถานการณ์จริงบนเวที บางทีก็คิดไม่ทัน ทำไม่ทัน ต่อให้พี่เลี้ยงตะโกนบอกอย่างไรก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขสถานการณ์ได้ เราจึงต้องหยุดตัวเองให้เป็น ถ้าหยุดตัวเองไม่เป็นโอกาสชนะกิเลสก็จะไม่มี การที่เราหยุดตัวเองคือตาเห็นรูปสักแต่ว่าเห็น หยุดไว้อย่าไปคิดต่อ หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิดแบบเดียวกันหมด ก็คือหยุดไว้อย่าไปคิดต่อ

เพราะถ้าคิดต่อเมื่อไรก็จะเป็นชอบใจกับไม่ชอบใจ ความชอบใจจัดอยู่ในเขตของราคะ ความไม่ชอบใจจัดอยู่ในเขตของโทสะ ก็แปลว่าเราโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง แต่ถ้าหากว่าเราเห็นสักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าได้กลิ่น สักแต่ว่าได้รส สักแต่ว่าสัมผัส ไม่นำมาคิด เวรกรรมที่จะเกิดขึ้นจากกาย จากวาจา จากใจของเราก็ไม่มี ไม่ต้องไปหนักใจกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น เพราะเราไม่สร้างเหตุ ผลก็ย่อมไม่เกิดอยู่แล้ว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2016 เมื่อ 17:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 73 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #28  
เก่า 01-05-2016, 14:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"พอเราสร้างแต่เหตุที่ดี ๆ ให้ กาย วาจา ใจ ของเราอยู่ในศีล ในสมาธิ ในปัญญา ผลดีย่อมเกิดขึ้นเอง อย่าลืมว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบัน เกิดจากผลการกระทำในอดีต ดังนั้น...ถ้าเราสามารถทำปัจจุบันของเราให้ดีได้ต่อเนื่องสักระยะหนึ่ง ทันทีที่ก้าวพ้นจากตรงนี้ไปก็เป็นอดีตไปแล้ว ถ้าเราสร้างความดีต่อเนื่องได้สักระยะหนึ่ง ส่วนของความดีที่เราสร้างสมไว้ ซึ่งเลยผ่านมาแล้ว ก็กลายเป็นกรรมในอดีต ที่จะส่งให้เกิดแก่ปัจจุบันของเรา

ถ้าเป็นเช่นนั้นก็แปลว่า ในส่วนของการเสวยผลดี ก็ย่อมเกิดกับเราในปัจจุบันนี้ได้ แต่ต้องทำอยู่ในลักษณะต่อเนื่องและยาวนานเพียงพอ บางทีก็อาจจะถึง ๑๐ ปี ๒๐ ปี ๓๐ ปี ๔๐ ปี แล้วแต่กรรมหนักเบาที่เราทำ ถ้าในส่วนของ ศีล สมาธิ ปัญญา ก็ถือว่าเป็นกรรมใหญ่ กรรมหนัก มีผลมาก ถ้าทำได้ต่อเนื่องยาวนานถึงขนาด ๑๐ ปี ๒๐ ปีก็ย่อมเห็นผลได้เร็ว แต่ถ้าหากว่าในส่วนอื่นก็มีผลน้อยลงไปตามส่วน

เราจึงต้องเป็นคนฉลาด รู้จักเลือกว่าสิ่งไหนที่เหมาะสมแก่เรา ทำแล้วได้กำไรมาก ก็ให้ทำสิ่งนั้นเอาไว้ ข้อไหนที่เราบกพร่องในเรื่องของการปฏิบัติ ก็ให้เน้นย้ำตรงจุดนั้นเอาไว้ แล้วสิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะค่อย ๆ ส่งผลทันในชาตินี้ของเรา"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2016 เมื่อ 17:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 75 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #29  
เก่า 02-05-2016, 13:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"สิ่งที่ได้กล่าวมานี้อาตมาทำมาด้วยตนเอง ทำมาในระยะเวลาที่ยาวนาน เริ่มปฏิบัติแบบทุ่มเทชนิดที่คนรอบข้างว่าบ้าตั้งแต่ปี ๒๕๑๘ เชื่อว่าพวกเราส่วนใหญ่ในที่นี้ยังไม่เกิด สรุปแล้วว่าทำมาประมาณ ๔๑ ปี ปัจจุบันนี้อยู่ในระหว่างของการเสวยผล ก็คือรับผลดีที่ตนเองได้ทำไว้ในอดีต

เคยมีเพื่อนพระสมัยเรียนปริญญาตรี ชอบนำเอาซองผ้าป่ามาแจกเพื่อนในห้อง เพื่อนบางท่านก็บอกว่า “ทำไมถึงต้องมาแจกกันบ่อย ? ดูอาจารย์เล็กสิ ไม่เห็นแจกซองใครเลย” เจ้าเพื่อนคนนั้นใคร ๆ เรียกว่า "ไอ้ตัวเล็ก" เพราะเคยเป็นตลกคาเฟ่ ถ้าใครเคยดูตลกคาเฟ่จะมีไอ้ตัวเตี้ย ๆ สั้น ๆ อยู่ตัวหนึ่ง ขอบอกว่าเขาบวชมา ๒๐ กว่าพรรษาแล้ว ไอ้เจ้านั่นบอกว่า “พระครูเล็กท่านไถท่านหว่านมาตั้งแต่ชาติก่อน ๆ โน่น ชาตินี้ท่านก็รอเก็บกินอย่างเดียว ไอ้ของผมเองนายังไม่มีเลย ก็ต้องมาเอาจากพวกเรานี่แหละ” เข้าใจเถียงเหมือนกันนะ

ฉะนั้น...ในส่วนที่บอกกับพวกเราก็คือ ถ้าเราทำความดีต่อเนื่องยาวนานพอ เราจะเห็นผลในปัจจุบัน โดยเฉพาะความดีใหญ่ในเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-05-2016 เมื่อ 16:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 71 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #30  
เก่า 02-05-2016, 13:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ขอโมทนากับทุกท่าน การปฏิบัติธรรมผ่านพ้นไปด้วยความทุลักทุเลเพราะอากาศร้อน กำลังจะหาเรื่องติดเครื่องปรับอากาศ แต่เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าเขาบอกว่ากำลังไฟไม่พอ เพราะว่าสถานที่กว้างมาก ถ้าใช้เครื่องปรับอากาศที่มีบีทียูน้อย ตรงกลางก็จะร้อน ถ้าใช้บีทียูมากกำลังไฟก็รับไม่ไหว สรุปว่าต้องทนร้อนกันต่อไป ขอโมทนากับทุกท่านที่ได้ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะที่ได้อุทิศถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

อยากจะบอกกับพวกเราว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น พระอาการของพระองค์ท่านหนักกว่าที่เขาออกข่าว การออกข่าวจะใช้คำพูดที่เบาที่สุดเพื่อไม่ให้ประชาชนแตกตื่น อย่าลืมว่าปีนี้พระองค์ท่าน ๘๙ พรรษาแล้ว คนแก่ช่วง ๘๑-๙๐ ปี โบราณบอกว่า "ลูกหลานดูนั่งร้องไห้" ถ้า ๙๑-๑๐๐ ปี โบราณเขาบอกว่า "ไข้ก็ตาย บ่ไข้ก็ตายแล" สรุปว่าถ้าพวกเราพร้อมใจ
กันสร้างคุณความดี ก็จะทำให้พระองค์มีกำลังพระทัยที่จะอยู่เพื่อเป็นมิ่งขวัญ เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรแก่พวกเรา พระองค์ท่านก็อาจจะอยู่ตามที่ได้ตั้งพระทัยไว้คือถึง ๑๒๐ ปี"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-05-2016 เมื่อ 14:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 72 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #31  
เก่า 02-05-2016, 13:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"แต่ถ้าดูจากพระอาการที่ปรากฏอยู่ ให้ผ่านพ้นวันต่อวันก็ยังเป็นไปได้ยาก แล้วบรรดารัฐบาลของเราก็ไม่ได้กระทำอะไรให้พระองค์ท่านมีกำลังใจที่อยากจะอยู่ต่อเลย บรรดาหลวงปู่หลวงพ่อท่านที่มีคุณความดีสูง ๆ ระยะนี้ก็ทิ้งขันธ์หลายรูปด้วยกัน แม้กระทั่งระดับสมเด็จพระราชาคณะ อย่างสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสุทัศนเทพวราราม อย่างหลวงปู่วาสน์ วัดสะพานสูง ก็ไปอีกแล้ว หลวงปู่วาสน์ปีนี้ ๑๐๐ ปีเต็มพอดี

เป็นอันว่าสายสะพานสูงไม่ทราบว่าถัดจากนี้จะมีใครที่ศึกษาวิชาเกี่ยวกับตะกรุดมหาโสฬสหรือไม่ ? วิชาการศึกษาไม่ยาก แต่ความเพียรพยายามมีถึงหรือเปล่า ? เพราะการสร้างตะกรุดมหาโสฬสนั้นตอนสร้างไม่ยาก ไปยากตอนเสก เพราะว่าต้องเสกด้วยโองการมหาทมื่น ๑๐,๐๐๐ จบ ใช้เวลาประมาณ ๓ ปี ฉะนั้น...ใครมีตะกรุดมหาโสฬสของสายวัดสะพานสูง ไม่ว่าตั้งแต่ยุคสมัยหลวงปู่เอี่ยมก็ดี หลวงปู่กลิ่นก็ดี หลวงพ่อทองสุขก็ดี มาจนถึงหลวงปู่วาสน์ ต้องเก็บเอาไว้ให้ดี ใช้งานได้สุดยอดทุกดอกเลย

อาตมากำลังรอว่าจะได้สร้างตะกรุดมหาโสฬสอีกเมื่อไร เพราะความพยายามมี แต่เวลาไม่มี ...(หัวเราะ)... นั่งเสกกันที ๓ ปี จะเป็นลมตายเสียก่อน..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-05-2016 เมื่อ 19:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 74 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #32  
เก่า 02-05-2016, 13:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"บรรดาหลวงปู่หลวงพ่อที่ทรงคุณความดี ทิ้งขันธ์ไปหลายรูปด้วยกันในระยะนี้ แม้ว่าจะสามารถผ่อนหนักเป็นเบาได้ แต่สถานการณ์ประเทศชาติของเรา ถ้าเป็นคนไข้ก็คืออยู่ห้องไอซียู ยังไม่แน่เหมือนกันว่าจะตกต่ำไปกว่านี้อีกหรือไม่ ก็ได้แต่เอาใจช่วย เมื่อพวกเราตั้งหน้าตั้งตาทำความดี คุณความดีที่เราได้สร้างถือว่าเป็นของเย็น แม้ว่าจะมีจำนวนไม่มาก แต่ถ้ามีความเย็นสูงก็สามารถดับร้อนของประเทศชาติไปได้ส่วนหนึ่ง และที่สำคัญที่สุดก็คือเพื่อมรรคผลพระนิพพานของเราเอง

ในส่วนของมรรคผลพระนิพพานของเรานั้น เป็นคำตอบเกือบทุกอย่างที่เราได้กระทำอยู่ในปัจจุบัน คือการที่เราเกิดมานั้นก็เพื่อเกื้อพระศาสนา เพื่อแบ่งเบาภาระหลวงปู่หลวงพ่อ เพื่อมรรคผลพระนิพพานของตน ถ้าทำเพื่อมรรคผลนิพพานของตน คือเป็นการแบ่งเบาภาระของหลวงปู่หลวงพ่อ ถ้าหากว่าทำเพื่อมรรคผลนิพพานของตน ก็คือเป็นการเกื้อกูลต่อพระศาสนา"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-05-2016 เมื่อ 14:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 70 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #33  
เก่า 02-05-2016, 14:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ดังนั้น...สิ่งที่เราได้กระทำในที่นี้อย่าทิ้งไปเฉย ๆ ให้พยายามรักษาเอาไว้ให้ต่อเนื่อง ไม่เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เรากระทำไปก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ เนื่องจากว่าการปฏิบัติธรรมเหมือนกับการว่ายทวนน้ำ พอถึงเวลาเราปฏิบัติเสร็จก็ปล่อยให้ลอยตามน้ำไป กว่าจะมาสมัครบวชเนกขัมมะปฏิบัติอีกทีหนึ่งก็เป็นเดือน สิ่งที่เราทำได้กลายเป็นอะไรไปแล้วก็ไม่รู้เหลือแต่กิเลสล้วน ๆ จะตีคืนก็ยาก เมื่อทำคืนยากก็เกิดการท้อถอย หมดความเพียรพยายามเสียอีก

ดังนั้น...ถ้าเราทำได้แล้ว พึงรักษาประคับประคองเอาไว้ให้อยู่กับเราให้นานที่สุด ถ้าหากว่าพลาดพลั้ง จิตตก สมาธิตก กรรมฐานแตก ให้รีบเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ รักษากำลังใจเอาไว้ให้ได้ ไม่เช่นนั้นแล้วเราเองก็จะลำบากมาก เพราะคนที่เคยทำได้ มารย่อมรู้ว่าจะพ้นมือเขาแล้ว เขาก็ต้องขัดขวางเราสุดชีวิต

ส่วนท่านใดสามารถรักษาศีล ๘ เอาไว้ได้ก็ขอให้รักษาต่อไป เพราะเป็นศีลที่เกื้อกูลต่อการปฏิบัติธรรมมาก ถ้าท่านใดรักษาไม่ได้ก็ให้ลดลงไปรักษาศีล ๕ ตามเดิม ไม่ต้องเสียเวลาอาราธนา ไม่ต้องเสียเวลาสมาทานใหม่ ศีลจะเป็นศีลหรือไม่อยู่ที่ตั้งใจปฏิบัติและงดเว้นเท่านั้น ไม่ได้อยู่ที่การอาราธนาหรือว่าอยู่ที่การรับศีล"



พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
โอวาทช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม
วันที่ ๑๓ – ๑๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๙

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย รัตนาวุธ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-05-2016 เมื่อ 14:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 72 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:25



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว