กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 14-07-2013, 20:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,519 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐานวันอาทิตย์ที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๖

ให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตน กำหนดความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..เอาความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..เอาความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา ถ้าเผลอสติไปคิดถึงเรื่องอื่น ก็ให้ดึงความรู้สึกกลับมาอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกใหม่ ส่วนคำภาวนานั้น จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ตามที่เรามีความถนัดและเคยชินมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานวันสุดท้ายของต้นเดือนมิถุนายน ก่อนการเจริญกรรมฐานมีญาติโยมฝากคำถามมา จึงทำให้คิดขึ้นมาได้ว่า ในเรื่องของการปฏิบัตินั้น บุคคลเป็นจำนวนมาก เมื่อทำไปจนถึงระดับหนึ่ง สภาพจิตจะเริ่มสงบลง แล้วการรู้เห็นต่าง ๆ ก็จะเกิดขึ้น

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะว่าไปแล้วก็เป็นของแถมของนักปฏิบัติเท่านั้น คือกำลังใจของเราโดยปกติ จะมีความส่งส่ายวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับน้ำที่กระเพื่อมอยู่ ไม่สามารถที่จะสะท้อนเงาอะไรลงไปได้ แต่เมื่อเราปฏิบัติภาวนาจนสมาธิเริ่มทรงตัว ทำให้กำลังใจของเราสงบแน่วนิ่ง มีความใสสะอาดขึ้น ก็เหมือนกับน้ำใสสะอาดที่นิ่ง สงบ สามารถสะท้อนภาพสิ่งรอบข้างลงไปได้อย่างชัดเจน เมื่อมาถึงระดับนี้การรู้เห็นต่าง ๆ หรือนิมิตต่าง ๆ ก็มักจะเกิดขึ้นเป็นปกติ

คราวนี้ในจุดที่ต้องระมัดระวังก็คือ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่วัตถุประสงค์ในการปฏิบัติของเรา วัตถุประสงค์ในการปฏิบัติของเราในเบื้องต้น ก็คือจิตสงบ หลุดพ้นจากความวุ่นวายต่าง ๆ รอบข้าง วัตถุประสงค์ลำดับต่อมาก็คืออาศัยกำลังของความสงบนั้นไปพิจารณาเพื่อตัด รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ ที่กินใจของเราอยู่ ถ้าสามารถตัดขาดได้ เราก็จะหลุดพ้นจากกองทุกข์ไปสู่พระนิพพาน

การรู้เห็นเป็นเพียงของแถม เหมือนที่อาตมาเคยเปรียบเทียบไว้ว่า เราไปซื้อรถ เขาต้องให้ล้อรถมาด้วยอยู่แล้ว ดังนั้น..ท่านจะต้องการล้อรถหรือไม่ต้องการก็ตาม ถ้าท่านไปซื้อรถเมื่อไร ท่านก็จะได้ล้อรถมาเมื่อนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น..การรู้เห็นต่าง ๆ ซึ่งเป็นของแถมที่เกิดขึ้น ถ้าเราจัดการไม่เป็นก็จะมีโทษมากกว่าประโยชน์

ส่วนใหญ่ที่พบมาก็คือ เมื่อเห็นนิมิตต่าง ๆ ก็มักจะไปทึกทักเอาว่าเป็นจริงตามนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ครูบาอาจารย์จำนวนมากต่อมากด้วยกัน จะบอกกล่าวอย่างไรก็ตาม ลูกศิษย์ไม่แน่นักว่าจะฟัง เพราะว่าตนเองรู้เห็นจึงเชื่อตามนั้น โดยที่ไม่ได้คิดว่านิมิตบางอย่างก็เป็นการมาทดสอบกำลังใจ นิมิตบางอย่างก็ตั้งใจหลอกลวงกันตรง ๆ ดูว่าเราจะหลงไปยึด ไปติดหรือไม่

ดังนั้น..ในการปฏิบัติของผู้ใดผู้หนึ่งก็ตาม ถ้าเกิดนิมิตเริ่มรู้เห็นสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมา ถ้าไม่ใช่นิมิตตามกองกรรมฐาน ก็ให้เรารับรู้ไว้ด้วยความเคารพ แล้วอย่าไปสนใจ ให้ดึงความรู้สึกของเรามาอยู่กับการภาวนาตามเดิม แต่เรื่องของนิมิตต่าง ๆ ก็แปลก ถ้าเราสนใจบางทีก็หายไปเลย แต่ถ้าเราไม่ให้ความสนใจก็ยิ่งปรากฏชัด ปรากฏอยู่นาน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-07-2013 เมื่อ 03:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 83 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 15-07-2013, 20:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,519 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..เราเองจำเป็นจะต้องจัดการให้ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นอาจจะติดอยู่เช่นนั้นเป็นปี ๆ หรือเป็นหลายปี ภาวนาเมื่อไรก็อยากเห็นนิมิตเช่นนั้นอีก ถ้าท่านภาวนาด้วยความอยาก จะไม่มีวันได้เห็นนิมิตเช่นนั้นอีก เพราะสภาพจิตที่ประกอบด้วยความอยาก ก็คือสภาพจิตที่กำลังฟุ้งซ่าน เมื่อสภาพจิตกำลังฟุ้งซ่าน ย่อมไม่นิ่ง ไม่สงบพอ การรู้เห็นต่าง ๆ ย่อมไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้

นักปฏิบัติจำนวนมากต่อมากด้วยกัน ที่เสียหายเพราะว่าภาวนาแล้วอยากเห็นนิมิตอย่างที่เคยเห็น หรือสามารถจัดการกับนิมิตได้ แต่ว่าก็โดนหลอกลวง โดนชักจูง จนกระทั่งหลงไปจากแนวของการปฏิบัติที่ถูกต้อง ดังนั้น..ครูบาอาจารย์บางสายอย่างเช่นสายวัดป่า ท่านถึงให้ละทิ้งนิมิตเสียให้หมด ไม่ต้องไปใส่ใจ กำหนดดู กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกของตนเป็นหลัก

ถ้ากำลังใจทรงตัวจนตั้งมั่น ไม่สามารถที่จะภาวนาต่อได้แล้ว ก็ให้คลายกำลังใจออกมา เพื่อพิจารณาในเรื่องของวิปัสสนาญาณ อย่างเช่น พิจารณาเห็นไตรลักษณ์ คือ ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราในร่างกายนี้ หรือว่าพิจารณาในอริยสัจ มองทุกข์ให้เห็น ค้นหาสาเหตุของทุกข์ให้เจอ แล้วไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับสาเหตุของการเกิดทุกข์นั้น ๆ ความทุกข์ก็จะไม่เกิดขึ้นกับเรา เป็นต้น

เมื่อพิจารณาไปจนกำลังใจทรงตัวตั้งมั่นดีแล้ว สภาพจิตก็จะกลับไปสู่การภาวนาโดยอัตโนมัติ เมื่อภาวนาไปจนเต็มที่อีก สภาพจิตก็จะคลายออกมา เราก็มาพิจารณาใหม่ ถ้าท่านทั้งหลายทำอย่างนี้ได้ ก็จะมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติยิ่ง ๆ ขึ้นไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-07-2013 เมื่อ 02:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 70 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 18-07-2013, 04:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,519 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเรื่องของนิมิตนั้น ถามว่าเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ ? ก็เป็นสิ่งที่ดี คือทำให้เมื่อเรารู้เห็นแล้วมีความมั่นใจว่าการปฏิบัตินี้มีผล แม้ว่าเพียงขั้นแรก ๆ ที่เกิดนิมิตขึ้นตรงตามที่ครูบาอาจารย์บอก แต่ว่านิมิตไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในการปฏิบัติ ให้รับรู้ไว้ด้วยความเคารพ แล้วไม่ต้องไปใส่ใจ ให้อาศัยลมหายใจเข้าออกและการพิจารณาเป็นหลักในการปฏิบัติของเราเท่านั้น

ถ้าใครสามารถทำตามแนวนี้ได้ โอกาสที่จะโดนชักจูงให้ออกนอกทางก็เป็นไปโดยยาก ความก้าวหน้าในการปฏิบัติก็จะมีอย่างที่ตนเองต้องการ ลำดับต่อไปก็ขอให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๖

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธและเถรี)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-07-2013 เมื่อ 07:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 49 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:24



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว