กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > ปกิณกธรรมจากเกาะพระฤๅษี

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 03-11-2010, 09:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๐

อบรมที่เกาะพระฤๅษี วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๐

ปกติแล้วเวลาสวดมนต์ทำวัตรทั่วไป แม่ชีเขาจะสวดแยกต่างหาก เพราะว่าบทตอนท้ายตั้งแต่ จิระปรินิพพุตัมปิ ตัง *จะลงท้ายด้วย ภิกขูนัง สิกขาสาชีวะสะมาปันนา นั่นเป็นเรื่องของพระ ของแม่ชีเขาจะสวดต่างหากออกไป

แต่ว่าส่วนใหญ่แล้ว พวกเราจัดอยู่ในประเภทสามัคคีชุมนุม ไม่ยอมแตกแยกกัน สวดตามกันไปเลย จะพระ จะเณร แม่ชี ฆราวาส สวดเหมือนกันหมด เล่น ภิกขูนัง สิกขาสาชีวะสะมาปันนา เป็นพระกันไปหมด

วันนี้อาสาฬหบูชาแล้ว พรุ่งนี้จะเข้าพรรษา สมัยที่อยู่วัดท่าซุง "หลวงพ่อ"**จะให้อธิษฐานพรรษาตั้งแต่วันนี้ เพราะว่านับหัวท้ายจะได้ครบ ๙๐ วันพอดี เนื่องจากว่าในระเบียบของการรับกฐิน*** ระบุว่า ให้แก่ภิกษุที่จำพรรษาในวัดครบถ้วนไตรมาส

คราวนี้ถ้าหากว่าไม่ครบ ดีไม่ดีจะไม่มีสิทธิ์รับ เพราะฉะนั้นว่า..ถ้าหากตามสายของวัดท่าซุง จะอธิษฐานพรรษาตั้งแต่วันนี้ แล้วไปปวารณาออกพรรษาโน่น..วันตักบาตรเทโว ก็แปลว่าหัวท้ายจะได้ ๙๐ วันถ้วน ถ้านับอย่างที่อื่นเขาก็ได้ถึง ๙๒ วัน

พวกเราพอตื่นเช้าขึ้นมา เราก็มานั่งกรรมฐาน แล้วก็ต่อด้วยทำวัตร หาอาหารใจให้ตัวเอง ถ้าไม่หาให้เดี๋ยวเราจะอดตาย พระพุทธเจ้าตรัสว่า อาหารนั้นมี ๔ อย่าง****ได้แก่

๑. กวฬิงการาหาร อาหารคือคำข้าว ได้แก่ ข้าว น้ำ เป็นต้น
๒. ผัสสาหาร อาหารคือผัสสะ ได้แก่ ลมหายใจเข้าออก เป็นต้น
๓. วิญญาณาหาร อาหารคือวิญญาณ ได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง เป็นต้น
๔. มโนสัญเจตนาหาร อาหารคือความมุ่งมั่นของใจ

แต่ถ้าเรามาสรุปอย่างง่าย ๆ มี ๒ อย่าง คืออาหารกายกับอาหารใจ อาหารกายใช้หล่อเลี้ยงร่างกาย พวกข้าว กับ น้ำ ขนม อะไรพวกนั้น ส่วนอาหารใจ ก็คือ สิ่งที่เราส่งเข้าไปหล่อเลี้ยงใจของเราเอง

ปัจจุบันนี้แล้ว คนส่วนใหญ่จะมีแต่อาหารกาย กินได้อย่างเดียว อาหารใจไม่ค่อยมี เพราะว่าห่างวัด ห่างการปฏิบัติ พออาหารใจไม่มี ก็จะรู้สึกอยู่เสมอว่าตัวเองขาดอะไรไปอย่าง แล้วก็ตะเกียกตะกายไขว่คว้าหามาจนจะทับตัวเองตาย

หมายเหตุ :
*พระครูอรุณธรรมรังษี : มนต์พิธี : อักษรสมัย(๑๙๙๙): กรุงเทพฯ: พ.ศ. ๒๕๔๒
**พระราชพรหมยาน(วีระ ถาวโร ป.ธ. ๔) วัดจันทาราม(ท่าซุง) ตำบลน้ำซึม อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี
***พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๕: มหาวรรค ภาค ๒ : กฐินขันธกะ
****ที.ปา. ๑๑/๒๔๔-๒๔๐: ม.มู. ๑๒/๑๑๓/๘๗: สํ.นิ. ๑๖/๒๔๕/๑๒๒: อภิ.วิ. ๓๕/๑๐๘๑/๕๔๓
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-11-2010 เมื่อ 17:12
สมาชิก 90 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 03-11-2010, 10:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ไม่รู้หรอกว่าที่ขาดนั้นขาดเพียงนิดเดียว คือขาดอาหารใจ ไปตะกายเอาสิ่งภายนอกมาเสียมากมาย คิดว่าจะทดแทนได้ แต่ก็ทดแทนกันไม่ได้ เพราะสิ่งที่ใจต้องการที่แท้จริงคือความสงบ บาลีท่านเรียกว่าสันติหรืออุปสมะ*คือความสงบที่จะเกิดขึ้นภายในใจของเรา

บางคนเที่ยวไปทั้งโลกเลย เพื่อจะไปหาใจตัวเองที่อยู่ข้างในแท้ ๆ บางท่านก็หาทรัพย์สมบัติมาที เจ็ดแปดหมื่นล้าน จนกระทั่งกลายเป็นคนไม่มีบ้านจะอยู่ โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองขาดอะไร

มีนักร้องฝรั่งคนหนึ่ง คือ ไมเคิล แจ็คสัน ต้องการความสงบทางใจอย่างมาก แต่ไม่รู้ว่าตัวเองขาดอะไร ก็เลยไปปรับปรุงร่างกายตัวเองขนานใหญ่ ธรรมดาเขาเป็นคนผิวดำ ก็ให้หมอฉีดเปลี่ยนสีผิวเป็นคนผิวขาว

ผ่าตัดเปลี่ยนใบหน้าตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อความพอใจของตัวเอง แต่นั่นไม่ใช่อาหารใจ เขาไปแก้ผิดจุด ดันไปแก้ที่ร่างกาย ไมเคิล แจ็กสัน** จะเป็นคนที่พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งมาดามทรูโซ***บื่อที่สุด เพราะไม่นานก็ต้องไปแก้หน้าหุ่นให้ใหม่ เพราะเขาผ่าตัดเปลี่ยนไปเรื่อย

พวกเราที่มา ถ้าหากว่าเป็นไปได้ ถึงเวลากลับบ้านกลับช่องไปแล้ว อย่าลืม ตื่นขึ้นมาให้สวดมนต์ทำวัตร นั่งสมาธิเสีย หาอาหารให้ใจ เมื่อใจมีอาหาร คือความสงบเข้าไปหล่อเลี้ยงแล้ว การที่จะดิ้นรนอยากได้ใคร่ดีในสิ่งต่าง ๆ ในโลก ก็จะลดน้อยลงไปมาก

ถ้าใครทำได้ดี สิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตก็จะลดลงเหลือแค่ปัจจัย ๔**** มี อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ก็พอแล้ว เมื่อวานนี้ลูกแพร*****มา ผมชวนให้อยู่วัด เธอบอกว่า “หนูอยู่ไม่ได้หรอก ไม่มีโทรทัศน์ให้ดู”

นั่นเป็นเพราะว่าใจเขาไม่สงบ ในเมื่อใจเขาไม่สงบ ทำอย่างไรก็ไม่สามารถจะอยู่ได้ ต้องดิ้นรนไปหาสิ่งอื่น ที่สร้างความเพลิดเพลินได้ชั่วคราว อย่างเช่น โทรทัศน์ เกมส์ หรือว่าภาพยนตร์ หรือการเดินทางท่องเที่ยว อะไรก็แล้วแต่รสนิยมของตัวเอง

หมายเหตุ :
*ที.ปา. ๑๑/๒๕๔/๒๔๑ : ม.อุ. ๑๔/๖๘๒/๔๓๗
**Michael Joseph Jackson ลูกคนที่ ๗ ของครอบครัว Jackson ก้าวเข้าสู่วงการนักร้องเมื่ออายุ ๑๑ ขวบ (ค.ศ.๑๙๖๙) มีผลงานอัลบั้มชื่อ Thriller(ค.ศ. ๑๙๘๒) ซึ่งเป็นอัลบั้มขายดีที่สุดตลอดกาล ได้รับฉายาว่า King of Pop
***พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งของมาดามทรูโซ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ มีหุ่นขี้ผึ้งบุคคลที่มีชื่อเสียงจากทั่วโลก
****วินย. ๔/๘๗/๑๐๖
*****นางสาวอรอมล จงเสริมศิริสกุล บ้านเลขที่ ๑๓/๘๗ ถนนนวมินทร์ แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ ๑๐ - ๒๔๐
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-11-2010 เมื่อ 17:16
สมาชิก 84 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 03-11-2010, 22:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ท้ายสุดก็จะรู้ว่านั่นไม่ใช่คำตอบ ก็จะแสวงหาต่อไป แล้วคำตอบที่แท้จริงคืออะไร ? สิ่งที่เขาขาดในปัจจุบัน คือ ความสงบทางใจที่จะเกิดได้ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา

อันดับแรก ต้องรักษาศีลทุกสิกขาบทของเราให้สมบูรณ์ครบถ้วน ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุให้คนอื่นเขาละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นคนอื่นเขาละเมิดศีล

อันดับที่สองคือ สมาธิ สร้างความมั่นคงให้เกิดกับจิตของเรา เพื่อให้จิตของเรามีที่ยึดมีที่เกาะ จะได้ไม่ดิ้นรนออกไปแสวงหาสิ่งต่าง ๆ อีก การดิ้นรนออกไปแสวงหาเมื่อไร ก็สร้างแต่ความทุกข์ ความเหนื่อยยากให้กับเราเมื่อนั้น

สุดท้ายคือปัญญา ถ้าศีลกับสมาธิทรงตัว ความนิ่ง ความสงบของจิตเกิดขึ้น ปัญญาก็จะมี เหมือนกับน้ำที่นิ่ง ถ้านิ่งเมื่อไร ก็จะสะท้อนเงาสิ่งต่าง ๆ รอบข้างลงไปได้

เราก็จะรู้ว่า สิ่งที่ข้องขัดในทางโลกของเราคืออะไร แล้วก็จะแก้ไขปัญหาได้ สิ่งที่ขัดข้องในทางธรรมตอนนี้ กำลังใจของเราที่เหมือนขาดอยู่ เหมือนกับเกินอยู่ นั่นคืออะไร เราจะหาคำตอบให้กับตัวเองได้

โดยเฉพาะชีวิตของฆราวาส ไม่มีหรอกที่ปัญหาจะมาพร้อมกัน ถ้าเรารู้จักแบ่งแยกลำดับความเร็วช้าก่อนหลังแล้ว เราจะมีปัญหาอยู่เฉพาะหน้าอยู่ปัญหาเดียว คือปัญหาที่มาถึงก่อน เราแก้ไขปัญหานั้นก่อน

เมื่อมีปัญหาเดียวก็จะไม่เกินกำลังและแก้ได้ทุกครั้ง แต่ปัจจุบันแล้ว ส่วนใหญ่เขาเอาหลาย ๆ ปัญหา มาสุมรวมกันจนยุ่งเหยิงสางไม่ออก แล้วก็รู้สึกว่าเกินกำลัง แก้ไม่ได้ เครียด ป่วยบ้าง สติแตกบ้าง

ก็เพราะว่าปัญญายังไม่พอ จัดลำดับก่อนหลัง เร็วช้าของปัญหาไม่เป็น ต่อให้มีเป็นร้อยเรื่อง พอเราจัดลำดับแล้ว ก็จะมีเร็วมีช้ากว่ากัน อย่างน้อยเร็วช้ากว่ากันสักนาทีก็ยังดี แล้วเราก็แก้ไขปัญหาที่มาถึงก่อนเป็นอันดับแรก

ทุกครั้งที่ทำอย่างนี้ เราจะเหลือปัญหาเดียวเฉพาะหน้า ซึ่งจะไม่เกินกำลังของเรา ในเรื่องของทางธรรมก็เหมือนกัน การปฏิบัติถ้าไปถึงจุดหนึ่ง เราจะรู้สึกว่าไม่ได้อะไรเพิ่มขึ้น ผลตอบแทนไม่มี ก้าวต่อไปไม่เป็น เหมือนกับเจอทางตันอยู่ข้างหน้า แล้วก็ตะเกียกตะกายต่อกันไป โดยที่เดินชนกำแพงอยู่ ครั้งแล้ว ครั้งเล่า

ถ้าหากว่าเรารู้ว่า สิ่งที่ไปต่อไม่ได้ เพราะเหตุปัจจัยที่เราทำไว้ยังไม่พอ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ยังไม่เพียงพอ ทำให้ไม่สามารถที่จะก้าวผ่านไปสู่จุดที่ต้องการได้ ตรงนี้ขอเตือนว่าอย่าใจร้อน ให้ปฏิบัติไปในรูปแบบเดิม ย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่ในจุดนั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 04-11-2010 เมื่อ 09:20
สมาชิก 81 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 04-11-2010, 17:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้ากำลังพอ เราก็จะก้าวข้ามไปได้ ถ้ากำลังไม่พอ ก็ต้องทำต่อไป เหมือนกับเราว่ายทวนน้ำอยู่ ถ้าเราไม่ตะเกียกตะกายจ้วงไปเรื่อย เราก็จะลอยถอยหลัง ถ้าเราพยายามจ้วงไปเรื่อย ๆ ถึงจะไม่ก้าวหน้า แต่ก็ยังพอประคองตัวให้อยู่กับที่ ไม่ถอยหลังไปมากนัก

ปัญหาทางธรรมนั้น ละเอียดกว่าทางโลกมาก ขอให้มั่นใจว่า ถ้าหากเรายังไม่หลุดจากกรอบของศีล ของสมาธิ เราทำผิดยาก ถ้าหากผู้ที่ปฏิบัติละเอียดกว่า บอกว่าเราผิดที่ยังยึดติดอยู่ ความผิดนั้นก็ผิดนิดเดียว ผิดตรงที่ไม่สามารถเดินลัดตัดตรงเข้านิพพานได้ทันที

ดังนั้น..ให้ทุกคนรักษากำลังใจเอาไว้ทุกเช้า ตื่นขึ้นมา สวดมนต์ไหว้พระ ทำสมาธิ เพื่อที่ตนจะได้มีจิตใจที่สงบ ปัญหาทางโลกเกิดขึ้นก็แก้ได้ ปัญหาทางธรรมเกิดขึ้นก็แก้ได้ และสะสมเหตุปัจจัยเหล่านี้เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ

ถึงวาระ ถึงเวลา ถ้าสมบูรณ์เพียงพอ เราก็จะก้าวพ้นจากจุดนี้ ไปสู่จุดที่สูงขึ้นไปเรื่อย จนกระทั่งท้ายสุดก็เข้านิพพานได้ เช้าวันนี้ก็ขอฝากไว้เท่านี้แหละ เดี๋ยวเราต้องออกไปงานที่วัดท่าขนุน พระต้องไปทั้งหมดเพราะว่าเป็นวันปาฏิโมกข์ แม่ชีเหลือไว้เฝ้าวัดบ้าง เผื่อว่าญาติโยมเขามาหา จะได้มีคนคอยต้อนรับอยู่ทางนี้


----------------------------
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-11-2010 เมื่อ 03:17
สมาชิก 70 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:44



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว