กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 25-11-2017, 19:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,179 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ ๑๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ วันนี้เราจะมากล่าวถึงวิธีการจัดการกับรากเหง้าใหญ่ของกิเลสกัน กิเลสที่เป็นรากเหง้าใหญ่ของเราประกอบไปด้วย รัก โลภ โกรธ หลง ๔ ตัว ความจริงรักกับโลภเป็นตัวเดียวกัน เพราะว่าเรารักจึงอยากมี อยากได้ เพียงแต่ว่าวิธีการตัดรัก คือราคะ กับการตัดโลภ คือโลภะนั้น เป็นไปคนละแนวกัน

วันนี้จะกล่าวถึงในเรื่องของราคะก่อน ที่ในบาลีกล่าวว่า อาหาระนิททัง ภะยะเมถุนัญจะ สามัญญะเปตัปปะสุภีนะรานัง เรามากล่าวถึงตัวราคะ ก็คือ เมถุนะ การเสพกาม ซึ่งเป็นตัวที่ต้องบอกว่าฉุดรั้งให้สัตว์โลกติดอยู่กับวัฏสงสารมากต่อมากด้วยกัน

สิ่งนี้เป็นสัญชาตญาณ ถึงขนาดฝรั่งบอกว่า ถ้าเด็กเพิ่งจะเกิดมา ผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้ชายคนหนึ่ง เอาไปเลี้ยงไว้ในถ้ำโดยไม่ได้เห็นหน้าใครเลย ให้อาหารจนโตขึ้นมา สามารถที่จะมีลูกเองได้ เพราะว่าเรื่องเหล่านี้เป็นสัญชาตญาณที่ฝังลึกอยู่ในสายเลือด กล่าวคือเป็นสัญชาตญาณที่สืบเนื่องข้ามชาติข้ามภพมา

สำหรับนักปฏิบัติธรรม ในเรื่องของกามราคะก็มักจะกวนอยู่เนือง ๆ ทำให้เราหวั่นไหวหรือว่าเสียผลของการปฏิบัติ เพราะมัวแต่ไปฟุ้งซ่านครุ่นคิดนึกถึงอยู่เสมอ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-11-2017 เมื่อ 19:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 25-11-2017, 19:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,179 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วิธีการจัดการกับกามราคะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดให้ฝึกอสุภกรรมฐาน แต่อสุภกรรมฐานในปัจจุบันของเรานั้น หาฝึกได้ยาก เพราะว่าสมัยนี้ไม่มีป่าช้าผีดิบที่เอาศพไปทิ้งไว้เกลื่อนกลาดเหมือนสมัยที่อาตมายังเด็ก ๆ อยู่ แม้กระทั่งการการเผาศพก็ยังมีการพัฒนา ก็คือเป็นเตาเผาปลอดมลพิษ เป็นต้น

ครั้นจะไปดูสิ่งที่เป็นอสุภะ คือสิ่งไม่สวยไม่งาม ก็คงจะมีแต่ในตลาดสด อย่างเช่น เขียงหมูหรือเขียงปลา แต่คราวนี้เราใช้ระยะเวลาที่ไม่ยาวนานพอ หลายท่านฝึกอสุภกรรมฐานด้วยการไปโหลดรูปต่าง ๆ จากทางอินเตอร์เน็ตมาเพื่อใช้เพ่งพินิจพิจารณา อาตมาขอยืนยันว่าได้ผลน้อยมาก ที่ได้ผลน้อยมากเพราะว่าเราเห็นแต่รูป แต่ไม่มีกลิ่นประกอบด้วย

ซากศพเป็นที่น่ารังเกียจของเรานั้น ไม่ใช่อุจาดต่อสายตาอย่างเดียว แต่มีกลิ่นเป็นที่น่ารังเกียจมากด้วย ถึงขนาดที่เรายืนผิดที่ผิดทาง เผลอให้ลมกรรโชกพากลิ่นมาใส่ บางคนถึงขนาดเจ็บไข้ไม่สบายไปเลยก็มี

ในเมื่อเราไม่สามารถที่จะกระทำได้ชัดเจนในปัจจุบันนี้ แล้วเราจะใช้วิธีไหน ? องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีกายคตานุสติกรรมฐาน ก็คือให้เราระลึกเห็นความเป็นจริงในร่างกายของเรา ว่าประกอบไปด้วยเครื่องจักรกลต่าง ๆ ประกอบด้วยอาการ ๓๒ มีตับ ไต ไส้ ปอด ม้าม หัวใจ อวัยวะภายนอกภายในที่เห็นอยู่ ถ้าหากว่าไม่ชัดเจนก็ตลาดสด...ไปดู จะเป็นหมู เป็นไก่ เป็นปลา ก็มีลักษณะเดียวกับเรา

บุคคลที่คลุกคลีตีโมงอยู่อาจจะไม่รู้สึก อย่างเช่น คนขายหมู เป็นต้น แต่พวกเราที่นาน ๆ เดินผ่านเขียงขายเนื้อขายหมูกันแต่ละที บางทีแค่กลิ่นอย่างเดียวเราก็ทนไม่ได้แล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-11-2017 เมื่อ 19:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 26-11-2017, 09:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,179 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อไม่สามารถฝึกอสุภกรรมฐานได้โดยตรง ก็ต้องมาระลึกถึงตัวเรา ว่าตัวของเรานี้ประกอบไปด้วยความสกปรกเน่าเหม็นเป็นปกติ โดยเฉพาะอย่างพระภิกษุเมื่อบวชเข้าไป พระอุปัชฌาย์จะให้ตจปัญจกกัมมัฏฐาน ซึ่งแปลว่ากรรมฐาน ๕ อย่าง มีหนังเป็นที่สุด ซึ่งประกอบไปด้วย เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ

เกสาคือผม โลมาคือขน นขาคือเล็บ ทันตาคือฟัน ตโจคือหนัง เหตุที่พระอุปัชฌาย์อาจารย์ท่านมอบให้แก่กุลบุตรที่เข้าบวชเพราะว่า สิ่งทั้ง ๕ อย่างนี้เป็นตัวระงับกามราคะ ซึ่งเป็นสิ่งที่รบกวนผู้บวชโดยตรง การระงับกามราคะโดยการพิจารณาสิ่งของทั้ง ๕ นี้ว่าเป็นปฏิกูล มีแต่ความสกปรกเป็นปกติ เพราะว่าทั้ง ๕ ส่วนนี้เป็นสิ่งที่สกปรกและเห็นได้ง่าย

เราไม่สระผมสักวันสองวันก็ทนไม่ได้แล้ว แค่เส้นผมตกลงไปในอาหาร บางคนกินต่อไม่ได้เลย ขนในร่างกายของเราก็เช่นเดียวกัน ถึงเวลาก็เปรอะเปื้อนเหงื่อไคลไขมันต่าง ๆ ถ้าไม่ได้ชำระสะสางบางคนก็ตกสะเก็ดเป็นสังกะตังไปเลยก็มี พอถึงเวลาก็ส่งกลิ่นเหม็นรบกวนไปไกล ๆ

ลองดูลักษณะบรรดาท่านทั้งหลายที่สติไม่ดี ไม่ได้อาบน้ำหลาย ๆ วัน เดินมากลิ่นโชยไปไกลหลายวา เล็บก็เช่นเดียวกัน ไม่กี่วันก็สกปรก ถ้าไม่ได้ขัด ไม่ได้แคะ ไม่ได้ล้าง บางทีขี้เล็บดำปี๋ คนเห็นก็ไม่สามารถที่จะทนอาการรังเกียจได้

ถ้าไม่ได้แปรงฟันแค่มื้ออาหารมื้อเดียวหรือว่าวันเดียว เราก็รู้สึกว่าสกปรกจนทนไม่ได้ หนังก็เช่นเดียวกัน หนังเป็นที่ยึดของเส้นขน ในเมื่อขนสกปรกด้วยเหงื่อด้วยไคล หนังซึ่งเป็นตัวต้นเหตุนั้นจะสกปรกยิ่งกว่า โดยเฉพาะหนังนี้ห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ ทำให้เราไม่ได้เห็นเลือด ไม่ได้เห็นเนื้อ ไม่ได้เห็นเส้นเอ็น ไม่ได้เห็นกระดูกอยู่ข้างใน เป็นตัวปิดบังทำให้เราหลงผิดคิดว่าร่างกายนี้สวยงาม แล้วก็เกิดกามราคะขึ้นมาได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-11-2017 เมื่อ 17:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 27-11-2017, 15:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,179 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น...ในเมื่อไม่สามารถพิจารณาอสุภกรรมฐานได้ ก็ต้องมาดูในส่วนของกายคตาสติ หรือว่าย้อนกลับมาหาตจปัญจกกัมมัฏฐาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พินิจพิจารณาจนเห็นจริง ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีความสกปรกเป็นปกติ มีความเปลี่ยนแปลงเป็นปกติ ถึงเวลาเส้นผมก็เปลี่ยนสี จากสีดำเป็นสีเทา จากสีเทาเป็นสีขาว ไม่ว่าจะเป็นสีดำ สีเทา สีขาว ก็มีหมดอายุหลุดร่วงไปเป็นปกติ

เส้นขนก็เช่นกัน เล็บก็งอกยาวมาอยู่ตลอดเวลา ต้องคอยตัด ต้องคอยดูแล ฟันก็ต้องคอยขัดสี ต้องคอยแปรง แล้วก็ต้องมีหลุดมีร่วงไปตามอายุขัย ผิวหนังนอกจากต้องคอยดูแล อาบน้ำขัดสีทำความสะอาดอยู่เสมอ แล้ว ก็ยังเหี่ยวยังย่นไป ทั้ง ๆ ที่เราพยายามจะใช้ครีม ใช้น้ำมันทาผิว เพื่อชะลออายุไว้ ก็ไม่สามารถที่จะดำรงอยู่ได้อย่างที่เราต้องการ

ถ้าหากว่าเรามีกำลังใจฝืนความเป็นธรรมชาติ พยายามที่จะให้ตั้งอยู่เป็นปกติ เราก็จะมีแต่ความทุกข์ เพราะว่าความไม่พอใจเกิดขึ้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-11-2017 เมื่อ 19:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 27-11-2017, 15:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,179 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อเห็นชัดแล้วว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้บังคับบัญชาไม่ได้ สั่งการไม่ได้ ทะนุถนอมเท่าไรก็ก้าวไปหาความเสื่อมอยู่เสมอ ก็แปลว่าไม่มีอะไรที่เป็นเราเป็นของเรา เพราะถ้าเป็นของเราต้องสั่งได้ ต้องบังคับบัญชาได้ เป็นต้น

เมื่อเราเห็นชัดเจนแล้ว ว่าสภาพร่างกายนี้ทั้งภายนอกภายใน มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ มีความทุกข์เป็นปกติ ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายเป็นตัวเราตัวเขาได้ ร่างกายของบุคคลอื่นก็เช่นกัน ร่างกายของสัตว์ต่าง ๆ ก็เช่นเดียวกัน แม้กระทั่งวัตถุธาตุสิ่งของทั้งหลาย ก็ตกอยู่ใต้สภาพของไตรลักษณ์ คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายได้เช่นกัน ถ้าสภาพจิตของเราเห็นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นปกติ ยอมรับ...ถอนออกมาจากความต้องการทั้งหลายเหล่านั้น กามราคะย่อมไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นมารบกวนพวกเราได้ เราก็สามารถที่จะชนะกิเลสกองใหญ่ ๑ ใน ๔ กองนี้ ทำให้กามราคะไม่สามารถที่จะรบกวนเราได้

แต่ว่าโดยหลัก ๆ แล้วสำหรับท่านทั้งหลาย ถ้าหากว่ากำลังปัญญาอ่อนอยู่ เราก็ต้องอาศัยอานาปานสติ อานาปานสตินั้นก็คือการดูลมหายใจเข้าออกของเรา สร้างกำลังสมาธิให้สูงที่สุดเท่าที่จะสูงได้ แล้วเอากำลังสมาธิกดกามราคะให้ดับลงชั่วคราว หลังจากนั้นแล้วค่อยมาพินิจพิจารณาในการตัดละกันต่อไป

ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันศุกร์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-11-2017 เมื่อ 19:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:04



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว