กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 04-01-2016, 11:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default โอวาทช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม วันที่ ๕-๗ ธันวาคม ๒๕๕๘

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในช่วงระยะเวลาการหยุดยาวปีใหม่ ส่วนใหญ่ญาติโยมก็จะไปเที่ยวกัน ซึ่งเสียทั้งเวลา เสียทั้งเงินทอง และถ้าหากว่าอกุศลกรรมแทรก ก็อาจจะถึงกับเสียชีวิตไปด้วย ดังนั้น...ญาติโยมที่ตั้งใจมาบวชปฏิบัติธรรม ถือว่าท่านทั้งหลายตัดสินใจได้ถูกต้องแล้ว ถ้าหากว่าเป็นในหลักของการปฏิบัติธรรม ก็ถือว่ามีสัมมาทิฐิ คือความเห็นที่ถูกต้องว่า เราปรารถนาการพ้นทุกข์ จึงมาเร่งรัดในการปฏิบัติด้วยตนเอง

คราวนี้ญาติโยมส่วนหนึ่งเป็นคนใหม่ของที่นี่ ในเมื่อเป็นคนใหม่ของที่นี่ก็โปรดทราบว่า สำหรับสถานที่นี้ การปฏิบัติธรรมไม่จำเป็นต้องใช้ชุดขาวก็ได้ เพราะว่าการปฏิบัติธรรมเป็นการปฏิบัติทางใจ ถ้าหากว่าเราใส่ชุดขาวแล้วไม่รู้จักงดเว้น ก็สู้ใส่ผ้าสีแล้วงดเว้นไม่ได้ เพียงแต่ว่าชุดขาวจะเป็นการบังคับตนเอง เมื่อเห็นชุดขาวก็จะได้นึกขึ้นมาได้ว่า ตอนนี้เราตั้งใจมาถือศีลปฏิบัติธรรม เท่ากับเอารูปแบบมาบังคับตนเองให้กระทำความดี"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-01-2016 เมื่อ 13:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 105 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 04-01-2016, 11:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า “ระยะเวลามากน้อยไม่ใช่เครื่องวัดว่าการปฏิบัติธรรมของเราได้ผลหรือไม่ได้ผล แต่คุณภาพของใจต่างหากที่เป็นเครื่องวัด ถ้าใจมีคุณภาพ ระยะเวลาถึงจะน้อยก็ถือว่าปฏิบัติแล้วได้ผลมาก ถ้าหากว่าใจไม่มีคุณภาพ ถึงปฏิบัติเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ก็ต้องบอกว่าได้ผลน้อย”
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-01-2016 เมื่อ 13:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 105 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 04-01-2016, 11:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เราจะเป็นนักปฏิบัติที่แท้จริงได้ ก็ต่อเมื่อการปฏิบัติธรรมของเรา สามารถรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับชีวิตประจำวันได้ อย่างอาตมาเวลาเดินบิณฑบาตไป ก็จับภาพพระบนพระนิพพาน แผ่เมตตา แล้วก็อธิษฐานให้โยมมีความคล่องตัวในความเป็นอยู่ การจับภาพพระบนพระนิพพานได้พุทธานุสติ ได้อุปสมานุสติ ได้กสิณ การแผ่เมตตาก็ได้เมตตาบารมี การอธิษฐานให้ญาติโยมประสบความสำเร็จตามที่ปรารถนาก็ได้อธิษฐานบารมี นี่คือลักษณะของการนำกรรมฐานไปใช้ในชีวิตประจำวัน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-01-2016 เมื่อ 13:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 106 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 05-01-2016, 07:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"สำหรับญาติโยม ถ้าตั้งใจสร้างบุญสร้างกุศลในการปฏิบัติธรรมแล้ว ปรากฏว่าไม่ได้นั่งกรรมฐาน ไม่ได้เดินจงกรม จะไปคิดว่าตัวเองได้บุญน้อย บางทีก็ไม่ถูกนัก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสถึงบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ ประกอบไปด้วย ๑.ทานมัย บุญสำเร็จจากการให้ทาน ซึ่งก็คือลักษณะที่เราไปใส่บาตรกันในเช้านี้ ๒.สีลมัย บุญสำเร็จจากการรักษาศีล ซึ่งครั้งนี้เรามาปฏิบัติธรรมก็คือรักษาศีล ๘ ก็แปลว่าเมื่อเช้านี้บุญจากการให้ทานและรักษาศีล ๘ ของเรายังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่

แต่ว่า ๓.ภาวนามัย บุญจากการภาวนาของเราอาจจะพร่องไปนิดหนึ่ง ถ้ารักษากำลังใจไม่เป็น ใจเราไม่ได้อยู่กับการภาวนา สติไม่ได้จดจ่ออยู่กับงานเฉพาะหน้า เผลอปล่อยให้ รัก โลภ โกรธ หลง เข้ามาในใจของเรา ๔.อปจายนมัย บุญเกิดจากการอ่อนน้อมถ่อมตน การที่เราอ่อนน้อมถ่อมตน คนอื่นเห็นก็เย็นตา เย็นใจ เกิดความรักใคร่เมตตาในตัวเรา ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับเราสร้างความดีให้เกิดขึ้นในจิตในใจของคนอื่นเขา ดังนั้นจึงได้บุญจากตรงนี้เอง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-01-2016 เมื่อ 12:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 98 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 05-01-2016, 07:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"๕.เวยยาวัจจมัย การขวนขวายงานบุญคนอื่นให้สำเร็จ อย่างพวกเราหลายท่านช่วยกันทำความสะอาด ปัดกวาดเช็ดถูวัดวาอารามก็ดี ช่วยคัดเลือกข้าวปลาอาหารที่บิณฑบาตมาก็ดี หรือว่าวิ่งรับข้าวสารอาหารแห้งจากพระภิกษุสามเณรก็ตาม จัดอยู่ในบุญเวยยาวัจจมัยทั้งสิ้น

ถ้าถามว่าบุญเวยยาวัจจมัยได้มากเท่าไร ? ต้องบอกว่าดูท่าสามเณรจะแพ้โยม เพราะท่านเปรียบไว้ว่าสามเณรบวชได้ ๑๐๐ ปี สมมตินะว่าไม่บวชพระเสียก่อน บวชเณร ๑๐๐ ปี รักษาศีลได้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ถ้าได้อานิสงส์ ๑๐๐ ส่วน คนทำเวยยาวัจจมัย ช่วยเหลือขวนขวายงานบุญคนอื่นให้สำเร็จได้ถึง ๘๐ ส่วน โอ้พระเจ้า...สึกกันเถอะเณร ไปทำอย่างอื่นดีกว่านะ

๖.ปัตติทานมัย เมื่อทำความดีแล้วรู้จักอุทิศส่วนกุศลให้แก่บุคคลอื่น ซึ่งก็คือญาติพี่น้องผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว โดยเฉพาะท่านที่มาปฏิบัติธรรมที่นี่ จะมีการอุทิศให้แก่ผู้ที่ทั้งใช่ญาติและไม่ใช่ญาติ ตรงนี้จากประสบการณ์ส่วนตัวของอาตมา ก็คือบรรดาผีต่าง ๆ ถ้าไม่ได้มีความเกี่ยวเนื่องกับเรา เราไม่ได้อุทิศจำเพาะให้ เขาก็ไม่สามารถที่จะโมทนาบุญได้ แต่ถ้าเราบอกว่า “จะใช่ญาติก็ดี ไม่ใช่ญาติก็ดี เสวยสุขอยู่ก็ดี เสวยทุกข์อยู่ก็ดี” ก็แปลว่าครอบคลุมทั้งหมด เขามีสิทธิ์ที่จะโมทนาบุญได้

การที่เราสร้างบุญกุศลมาด้วยความเหนื่อยยาก เหนื่อยแค่ไหนถามคนที่แบกกระสอบใส่อาหารแห้งเมื่อเช้าก็จะรู้ แบกกระสอบแล้ววิ่งไล่ตามรถอีกต่างหาก แทนที่รถจะมองข้างหลังว่าเขาแบกกระสอบมา ก็ขับไปเรื่อย ๆ คนวิ่งก็เหนื่อยสิครับ ในเมื่อเราสร้างบุญมาโดยยาก ยังอุตส่าห์ตั้งใจแบ่งปันให้กับคนอื่น กำลังใจของเราที่ประกอบไปด้วยความเมตตาและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ขนาดนั้น จึงเป็นบุญเป็นกุศลอย่างยิ่ง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-01-2016 เมื่อ 12:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 92 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 05-01-2016, 07:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"๗.ปัตตานุโมทนามัย พลอยยินดีในผลบุญของคนอื่น วันนี้หลายท่านลืม เห็นคนอื่นใส่บาตรเราก็แค่สาธุเท่านั้นเอง แต่ว่าปัตตานุโมทนามัยนี่ไม่ใช่แค่สาธุแล้วเราจะได้ เป็นบุญที่กินยาก เคี้ยวยาก ถามว่ากินยาก เคี้ยวยากตรงไหน ? เพราะปัตตานุโมทนามัยต้องเกิดจากจิตของเราที่ประกอบด้วยมุทิตา ก็คือยินดีในความดีของอื่นจริง ๆ ว่า โอหนอ...ในขณะที่เราไม่มีโอกาสสร้างบุญสร้างกุศลอย่างนี้ คนอื่นกลับมีโอกาสได้สร้างบุญนั้น ๆ ช่างน่ายินดีจริงหนอ ความรู้สึกต้องเป็นลักษณะนี้จึงจัดเป็นปัตตานุโมทนามัย

แต่ญาติโยมในปัจจุบันนี้ เวลาเห็นคนอื่นทำความดีก็ยกมือสาธุ ส่วนหนึ่งการสาธุแฝงความหมายว่า "กูจะเอาของมึง" ก็แปลว่าสภาพจิตของเราไม่ได้ยินดีในบุญกุศลของเขาจริง ๆ แต่ประกอบไปด้วยโลภะเจตนา ก็คือตั้งใจจะเอาบุญที่คนอื่นเขาทำ เป็นการวางกำลังใจผิด ถ้าวางกำลังใจผิดก็จะไม่เป็นบุญในปัตตานุโมทนามัย

๘.ธัมมัสสวนมัย บุญที่เกิดจากการฟังธรรมแล้วน้อมนำไปปฏิบัติให้เกิดผล ถ้าฟังอย่างเดียวจะได้อานิสงส์น้อยเพราะว่าจิตเป็นสมาธิน้อย ฉะนั้น...ต้องทำให้ได้ผลถึงจะเป็นบุญเป็นกุศลอย่างแท้จริง ๙.ธัมมเทสนามัย เมื่อทำได้แล้วก็นำไปเผยแผ่ต่อ นำไปสั่งสอนคนอื่นเขาต่อ อย่างที่พระขึ้นเทศน์หรือแสดงธรรม หรือว่าครูบาอาจารย์แนะนำวิธีการปฏิบัติให้แก่คนอื่น หรือแม้กระทั่งปากเปียกปากแฉะด่าว่าลูกศิษย์ แต่ถ้าประกอบด้วยจิตเมตตากรุณาจริง ๆ หวังให้ลูกศิษย์ได้ดีหรือว่าพ้นจากกองทุกข์ ก็จัดอยู่ในส่วนของธัมมัสเทสนามัยทั้งนั้น

ข้อสุดท้าย ข้อที่ ๑๐ เป็นส่วนกำไรอยู่ในกระเป๋าโดยตรง เรียกว่า ทิฏฐุชุกัมม์ คือ มีความเห็นเป็นสัมมาทิฐิ รู้ว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนมาเป็นความดี เราตั้งใจจะทำตาม"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-01-2016 เมื่อ 12:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 96 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 06-01-2016, 12:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ดังนั้น...ทุกคนจะเห็นว่าการปฏิบัติธรรมไม่ใช่ว่าต้องมานั่งอย่างเดียว ไม่ใช่ว่าต้องมาเดินจงกรมถึงเรียกว่าการปฏิบัติธรรม แต่เป็นการปฏิบัติธรรมลักษณะใช้ในชีวิตจริง ทุกวันสามารถที่จะปฏิบัติธรรมได้ สามารถที่จะสร้างบุญสร้างกุศลได้ใส่ตัวได้ ดังที่อาตมากล่าวมาทั้ง ๑๐ อย่าง วันนี้เราได้ทานมัยก็คือใส่บาตร สีลมัยเรายังรักษาศีล ๘ ศีล ๑๐ ครบถ้วน ภาวนามัยเดี๋ยวเราจะได้สร้างกันเต็ม ๆ ตอนช่วงบิณฑบาต เราเองขาดการภาวนาไปเสียเป็นส่วนมาก

อปจายนมัย มีความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อคนอื่น รู้จักพูดดี พูดเพราะ มีกิริยาวาจาที่เรียบร้อยดีงาม คนเห็นเกิดความรักใคร่เมตตา ถ้าหากว่ายังไม่มีก็ทำให้มีขึ้นมา ถ้าหากว่ามีแล้วก็ทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ปัตติทานมัย ใส่บาตรไปแล้ว ทำความดีไปแล้วได้อุทิศส่วนกุศลหรือยัง ? ถ้ายังเดี๋ยวปฏิบัติธรรมเสร็จเราก็จะได้บุญตรงนี้

ปัตตานุโมทนามัย เห็นเขาทำบุญใส่บาตรเมื่อเช้ามากมายเยอะแยะ บางคนมาทีเดียวทั้งรถเข็นเลย อย่างคุณสมใจ มาโนช นั่นข้าวสารกระสอบละ ๒๐ กิโลกรัม ๓ กระสอบเลย เรายินดีในสิ่งที่เขาทำก็จะได้บุญตรงนี้ เวยยาวัจจมัย ช่วยขวนขวายในงานบุญให้สำเร็จลง ช่วยกันคัดแยกสิ่งของ ช่วยกันเก็บข้าวของที่ภิกษุสามเณร วิ่งไล่กวดซาเล้งบ้าง รถกระบะบ้าง ได้บุญตรงจุดนี้ไปแล้ว

ก็เหลือธัมมัสสวนมัยที่เรากำลังฟังธรรมกันอยู่ในขณะนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้คำแนะนำ เมื่อจะฟังธรรมให้เงี่ยหูฟังและตั้งใจพิจารณาในเนื้อความ ตรงนี้ไม่ใช่ฟังแล้วตั้งใจพิจารณาในเนื้อความเฉย ๆ แต่หากตรงไหนที่เราทำได้ ต้องตัดสินใจเดี๋ยวนั้นว่าเราจะทำ การจะเข้าถึงมรรคถึงผลต้องมีการตัดสินใจที่เด็ดขาดและแน่นอน ปัจจุบันที่เราเข้าถึงมรรคผลกันน้อยเพราะขาดการตัดสินใจ ในเมื่อขาดการตัดสินใจก็ไม่เป็นสมุจเฉทปหาน ก็คือไม่เด็ดขาดแน่นอน ทำให้เสียโอกาสในการเข้าถึงธรรมไปครั้งแล้วครั้งเล่า"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-01-2016 เมื่อ 19:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 84 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 06-01-2016, 12:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ต่อไปถ้าปฏิบัติจนกระทั่งมั่นใจในความรู้ความสามารถตัวเอง แล้วนำไปสั่งสอนคนอื่นเขาต่อ ก็จะได้ในส่วนของธัมมเทสนามัย ถ้าหากว่าไม่มั่นใจจะสอนเขาได้ถูก ก็สอนเขาให้ทานและรักษาศีลไว้ก่อน ในส่วนของการภาวนาบอกเขาไปว่า เราแนะนำได้แค่เบื้องต้น ถ้าอยากได้ที่สูงกว่านั้น ให้เสาะหาครูบาอาจารย์เพื่อศึกษาเรียนรู้ต่อไป

ส่วนทิฏฐุชุกัมม์ มีความเห็นเป็นสัมมาทิฐิ ว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเป็นความดี เราตั้งใจปฏิบัติตามนั้น ส่วนนี้เราได้แน่นอนอยู่แล้ว ก็แปลว่าเราได้ในทานมัย สีลมัย ภาวนามัย เวยยาวัจจมัย ส่วนที่กำลังได้อยู่คือธัมมัสสวนมัย ส่วนที่จะได้ในโอกาสต่อไปก็คือส่วนปัตติทานมัยและปัตตานุโมทนามัย

เราจะเห็นว่าตั้งแต่ลืมตาตื่นจนกระทั่งหลับตาลงในแต่ละวัน เราสามารถสร้างบุญสร้างกุศลได้โดยตลอด โดยเฉพาะการรักษาศีลและเจริญภาวนา ไม่ต้องเสียสตางค์และข้าวของใด ๆ ทั้งสิ้น สามารถทำได้ทันทีในทุกที่และทุกเวลา

ขอฝากญาติโยมเอาไว้ว่า การปฏิบัติธรรมของเรานั้น ถ้ารอจนได้เวลาแล้วค่อยมาปฏิบัติ ก็แปลว่ายังใช้การไม่ได้ ถ้าจะให้ใช้การจริง ๆ ต้องสามารถใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้ด้วย ให้ทุกย่างก้าว ทุกลมหายใจเข้าออกของเราเป็นการปฏิบัติธรรม ถึงจะเรียกว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง ที่บาลีเรียกว่า “ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ” ก็คือการปฏิบัติธรรมที่สมควรแก่ธรรม"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-01-2016 เมื่อ 19:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 86 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 07-01-2016, 18:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีคนบางประเภทไม่ได้อยากดัง ไม่ได้อยากเป็นใหญ่ แต่สถานการณ์บังคับ ตัวอย่างชัด ๆ เลยก็คือ พระเจ้าตากสินมหาราช พอท่านได้เป็นเจ้าเมืองยังไม่ทันจะได้รับตำแหน่ง ก็ปรากฏว่าข้าศึกยกมา จะรบราฆ่าฟันกับเขาก็ทำได้ไม่ถนัด เพราะถ้ายิงปืนใหญ่ บรรดานางขวัญอ่อนก็วี้ดว้ายกัน พระเจ้าแผ่นดินก็ต้องสั่งห้ามยิงปืนใหญ่ กลัวสนมจะตกใจ แต่ไม่กลัวเสียบ้านเสียเมือง

ในที่สุดพระเจ้าตากท่านก็ทนไม่ได้ คิดว่าอยู่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าเรือรั่วแล้ว นอกจากไม่มีคนช่วยวิดน้ำยังมีคนช่วยกันเจาะเรือซ้ำเข้าไปอีก ท่านก็เลยต้องพาทหารคู่ใจไม่กี่คนตีฝ่าข้าศึกออกไป ในที่สุดก็ใช้เวลาประมาณ ๗ เดือนกว่ากลับมากู้ชาติได้เรียบร้อย ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้คิดจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินก็ต้องเป็น เพราะสถานการณ์บังคับ

เพราะฉะนั้น...สามเณรทั้งหมดที่เหลืออยู่ที่นี่ ถ้าพรุ่งนี้ภาวนาไปภาวนามาแล้วมีใครลอยพ้นพื้นขึ้นมา คิดว่าเป็นไปได้ไหม ? ขอยืนยันว่าเป็นไปได้ เพราะตอนหลวงพ่อหัดนั่งภาวนานี่ลอยเป็นประจำเลย ถึงเวลาหลับตาภาวนา ๆ อยู่ เสียงอะไรพึ่บ ๆ อยู่ข้างเอวหว่า ? ลืมตาขึ้นมา เดาสิว่าอะไร ? พัดลมเพดานครับ ดันทะลึ่งลอยขึ้นไปข้างพัดลม พอเห็นเลยตกใจเพราะถ้าลอยขึ้นไปตรง ๆ ก็หัวขาดแล้ว พอตกใจสมาธิหลุดก็ร่วงตึงสนั่นเลย เป็นบทเรียนที่จำจนถึงวันนี้เลยว่าอย่าตกใจอะไรง่าย ๆ สมาธิหลุดแล้วจะตกลงมา

หลังจากนั้นก็เอาใหม่ ปิดพัดลมนั่งภาวนา ไม่ลอยแฮะ ทำไมเมื่อครู่นี้ลอยได้ ? ก็คือตอนที่ไม่ได้ตั้งใจ สมาธิได้ที่จึงก็ไปได้ แต่ตอนที่ตั้งใจให้ลอยกลับไม่ลอย เพราะตั้งใจมากเกินไป ก็เลยเปลี่ยนใหม่ นั่งไปนั่งมาไม่ลอยสักที นอนก็ได้วะ..! พอนอนภาวนาดันลอยปรื๊ดขึ้นไปเลย แล้วอย่างไรละคราวนี้ ? พัดลมไม่ได้เปิด ไม่ต้องกลัว ไปแปะติดเพดาน หายใจไม่ออก จมูกบี้อยู่ พอคิดว่า “แล้วตูจะหายใจอย่างไรหว่า ?” เริ่มเกิดความกลัว สมาธิคลายออกมา ก็เลยลอยลงมาเรื่อย ๆ จนกลับเข้าที่เดิม"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-01-2016 เมื่อ 04:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 81 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 07-01-2016, 18:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ก็เลยเปลี่ยนใหม่ ท่านอนไม่ดีแน่เพราะไปแปะติดเพดาน จึงเปลี่ยนเป็นนั่ง ก็ลอยใหม่อีก คราวนี้ลอยไปก็เลาะรอบห้องไปเรื่อย ฉิบหายแล้วกู..! ถ้าออกหน้าต่างไปทำอย่างไรวะ ? ก็เลยต้องเลิกนั่ง หันมาปิดหน้าต่างก่อน สรุปว่าพัดลมก็เปิดไม่ได้ หน้าต่างก็เปิดไม่ได้ ร้อนเป็นบ้าเลย แต่ก็ต้องทำ เพราะลอยแล้วสนุก ถ้าสามเณรทั้งหมดในนี้เกิดมีใครภาวนาแล้วลอยได้ มาถามหลวงพ่อต่อได้ จะสอนวิชาให้ เผื่อจะได้เป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนรูปต่อไป

ที่พูดนี่ก็คือ เรื่องบางเรื่องเราไม่ได้ตั้งใจหรอก แต่เป็นเองแบบพระเจ้าตาก พระเจ้าตากไม่ได้อยากจะเป็นพระมหากษัตริย์ แต่ต้องเป็นเพราะสถานการณ์บังคับ หลวงพ่อเองตั้งใจบวชแค่ ๗ วันอยู่มาอีท่าไหนไม่รู้ ๓๐ ปีพอดี แม่บอกว่า “บวชให้แม่สัก ๗ วันสิลูก สึกออกมาแล้วแม่จะขอเมียให้”
อยากได้เมีย บวชก็บวชวะ..! เกิน ๗ วันไปหน่อยหนึ่ง หรือเกินไปเยอะ ? เกินเยอะใช่ไหม ? เพลินไปหน่อย เพราะว่าถ้าหากปฏิบัติธรรมแล้วได้ผล ถึงเวลาก็จะอยากทำ พอยิ่งทำยิ่งเห็นผล ก็ยิ่งสนุกก็ไปเรื่อย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-01-2016 เมื่อ 05:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 81 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 28-01-2016, 17:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ครั้งแรกในชีวิตที่ปฏิบัติธรรมแล้วโดนผีหลอก แต่ไม่รู้ตัว โง่จริง ๆ ไม่รู้ตัวว่าผีหลอก เพราะเขามาเป็นตัวตนเหมือนเราเลย ไปเล่าให้คนอื่นฟัง บอกว่ายายนั่นคุยสนุกดี เขาถามว่าเป็นใคร ? ก็เลยเล่าให้ฟังว่าหน้าตาเป็นอย่างไร คนได้ยินช็อก..! เขาบอกว่าคนนี้ตายไปตั้งนานแล้ว

เวลาผีหลอกเราเขาจะสร้างสถานการณ์ให้เราโง่เสด็จเลย ก็คือไม่รู้ว่าโดนหลอก หลวงพ่อเจอมาหลายทีแล้ว มีอยู่เที่ยวหนึ่งจำแม่นมาก ผีชื่อยายเล็ก ชื่อเดียวกันถึงจำแม่น ยายเล็กเป็นแม่ค้าขายข้าวแกงถุงอยู่หน้าวัดท่าซุง กับข้าวของยายเล็กนี่พระเบื่อที่สุดในโลก โดยเฉพาะขนม เพราะทำแต่สาคูเปียกทั้งปีทั้งชาติ แต่คนไม่รู้หรอกเพราะคนไปวัดเป็นคนใหม่ คนใหม่ไปก็ซื้อถวาย พระต้องรับทุกวัน เจอจนเข็ดสาคูเปียกไปเลย

เช้า ๆ ยายเล็กก็จะมาตั้งร้านข้างถนน ตอนนั้นหลวงพ่อออกบิณฑบาต ประมาณตีห้า ๔๐ นาที เดินมาก็ออกมาข้างร้านยายเล็ก เสียงยายนั่นก็แจ๋วมาแต่ไกลเชียว "ช่วยซื้อตรงนี้สักชุดสิเจ้าคะ" พูดเพราะด้วยนะอาตมาก็คิดว่า “ยายเล็กอีกแล้ว ไม่แคล้วสาคูเปียกอีกแน่ ๆ” ก็พยายามเดินเลี่ยง ๆ ไป เพราะถ้าโยมใส่บาตรจะได้ไปใส่รูปอื่นแทน เข็ดสาคูเปียกแล้ว ออกบิณฑบาตเสร็จกลับมาฉันเช้าประมาณ ๗ โมงครึ่ง ฉันเรียบร้อย พระที่เป็นภัตตุเทศก์จัดกิจนิมนต์ประกาศให้ไปสวดอภิธรรมงานศพยายเล็ก อาตมาก็เฮ้ย..! ตายแล้วหรือ ? ท่านบอกว่าตายแล้ว เมื่อคืนตี ๔ กว่า ๆ ตายห่..! แล้วเมื่อเช้านั่นใครวะ ? ตัวเป็น ๆ ที่เรียกเสียงแจ๋วอยู่ตรงหน้านั่นใคร ? มีใครตอบได้บ้างไหม ?"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2016 เมื่อ 20:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 62 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #12  
เก่า 28-01-2016, 17:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ไม่รู้จริง ๆ หรือครับว่าเขาตายแล้ว ?
ตอบ : ไม่รู้จริง ๆ บอกแล้วว่าเวลาผีหลอกเราจะโง่สนิทเลย พวกเราทุกคนเวลาผีหลอกให้จำไว้อย่างหนึ่งว่า เราจะไม่รู้ว่าเขาหลอก จะมารู้ทีหลังแล้วก็เหวออยู่คนเดียว สามเณรมีใครเคยโดยผีหลอกบ้าง ? ตึกแดงที่สามเณรนอนอยู่ ข้างหลังตึกเลยห้องน้ำไปประมาณ ๒ วาก่อนหน้านี้เป็นกอไผ่ หลวงตาเมืองผูกคอตายอยู่ตรงนั้น กว่าพระจะไปเจอนี่หนอนขึ้นทั้งตัวแล้ว วันดีคืนดีหลวงตาเมืองก็มายืนพิงเสาอยู่ข้างตึกแดง ถ้าเจอหลวงตาอ้วน ๆ ล่ำ ๆ ผมหงอกหน่อย ๆ ให้ถามว่าชื่ออะไรครับ ? แล้วหันเดินไปห้องน้ำเลย เหวอทำไม..? แกมาออกจะบ่อย พวกคุณอาจจะเจอแล้วด้วย..!

มีใครเจอแล้วบ้าง ? ล่ำ ๆ หน่อย เตี้ยกว่าหลวงพ่อนิดเดียวแหละ ถ้าคืนนี้ออกไปส้วมนะ ถามว่าใช่หลวงตาเมืองไหมครับ ? ก่อนถามก็ขยับตีนให้ดีก่อน เตรียมวิ่ง..! ตอนนั้นไม่รู้ว่าแกน้อยใจอะไร ไปผูกคอตาย

เสียดายพระครูน้อยไม่อยู่ ตอนนี้พระครูน้อยไปเป็นเจ้าอาวาสที่วัดหนองบัว ประเทศพม่า สามเณรเห็นที่ตึกข้าง ๆ ไหม ? มีบันไดกี่ขั้น ? น่าจะถึง ๑๐ ขั้น เชื่อไหมว่าพระครูน้อยก้าวสามทีถึงข้างบนเลย..! ก้าวได้อย่างไร ? เดี๋ยวคืนนี้พอเลิกกรรมฐานแล้วสามเณรไปลองดูได้ว่าบันไดตึกข้าง ๆ นั้นมีกี่ขั้น แล้วลองดูว่า ๓ ก้าวถึงไหม ? พระครูน้อยก้าว ๓ ทีถึงเลย เขาบอกว่าตอนไม่รู้ว่าผีก็ไม่กลัวนะ แต่พอรู้ว่าผีแล้วขาไปเองเลย ไม่รู้ว่าไปได้อย่างไร ? บันได ๑๐ ขั้นก้าว ๓ ทีเท่านั้น ดูท่าคืนนี้เณรจะไม่ได้นอน ...(หัวเราะ)...

อย่าไปอั้นฉี่ไว้นะ ถึงเวลาก็ออกไปทั้งหมดนั่นแหละ ไปพร้อม ๆ กัน พอไปเยอะ ๆ แล้วผีเกรงใจ ไม่ค่อยหลอกหรอก ถึงเวลาก็กระชากเพื่อน “เฮ้ย ๆ ลุก...ไปเป็นเพื่อนกูหน่อย” ปลุกกันลงไปทั้งตึกนั่นเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2016 เมื่อ 20:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 68 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #13  
เก่า 28-01-2016, 17:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สมัยก่อนสามเณรวัดหนองผักแว่น ชื่อจริง ๆ เพราะมาก ชื่อวัดสมเด็จเจริญ ชาวบ้านเรียกว่าวัดหนองผักแว่น อยู่อำเภอหนองปรือ มากัน ๔๐ รูป กางกลดนอนกัน ลูกพี่เขาก็คือพระครูปริยัติกาญจนโสภณ นำเณรมาเอง แล้วก็ขอร้องให้หลวงพ่อช่วยเป็นพี่เลี้ยงเณรหน่อย กลางคืน ๔ ทุ่มกว่าไปส่องไฟดู เฮ้ย...มีแต่กลดเปล่า ๆ..! หลังที่ ๒ ก็ไม่มี หลังที่๓ ก็ไม่มี เฮ้ย..เณรหายไปไหนหมดวะ..?! สามเณร ๔๐ รูปหายไปไหน ? ไปอยู่ด้านหน้าครับ กลดข้างหน้า ๕ หลังอยู่ใกล้ ๆ แสงไฟ ๕ กลดนอนกันเข้าไปได้อย่างไรตั้ง ๔๐ คน ? แต่ก็ทำได้ ข้างหลังกลดเป็นตับ ไม่มีเณรรูปไหนอยู่เลย

หลวงพ่อจะปลุกให้ไปนอนข้างหลังก็เกรงใจ เลยปล่อยให้ยัดกันเข้าไปเถอะ กลดหนึ่ง ๘ รูป ๑๐ รูป
เล่าเรื่องแบบนี้ให้ฟัง คืนนี้จะได้หลับกันไหมนี่ ?

จำไว้นะ...ถ้าหากว่าเจอหลวงตาแก่ ๆ ล่ำ ๆ หน่อย หรือไม่ก็เจอแม่ชีที่ขาว ๆ เดินไปถามตรง ๆ เลยว่าผีหรือคน ? เพราะผีเขากลัวคนบ้า ถ้าคนไม่กลัวนี่ผีจะทำอะไรไม่ถูก อยู่ ๆ เราเดินเขาไปทักเขาก็เดินหายจ้อยไปเลย ฉะนั้น...วิธีไม่ให้ผีมาหลอกคืออย่าทำให้ผีได้ใจ ถ้าเรากลัวเขาจะชอบหลอก...นะเณรไอซ์นะ ...(หัวเราะ)... ถ้าเรากลัวเขาชอบหลอก ถึงเวลาก็ไปเลย “หลวงตา ๆ ใช่หลวงตาเมืองไหมครับ ? ถ้าใช่ขอลายเซ็นหน่อย เห็นหลวงพ่อเล่าให้ฟัง หลวงตาดังน่าดู ผมขอเซลฟี่หน่อย” รับประกันว่าผีเดินเซ็งไปเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2016 เมื่อ 20:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 68 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #14  
เก่า 29-01-2016, 19:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีสามเณรรูปไหนเคยเลี้ยงกุมารทองบ้างไหมครับ ? กุมารทองสมัยนี้น่าสงสารมาก น่าจะเป็นเบาหวานกันหมดแล้ว เห็นกินแต่น้ำแดง สมัยหลวงพ่อเลี้ยงเขาก็เอาข้าวที่เรากินนี่แหละ มีข้าวมีกับอะไรก็เลี้ยงเขาด้วย แต่เขาซนฉิบหา...เลย

มีหลานสาวอยู่คนหนึ่ง ลูกพี่อรวรรณเขาเอามาฝากเลี้ยง เล่นกันท่าไหนไม่รู้ บันไดมี ๑๑ ขั้น กลิ้งลงบันไดไปแล้วก็ไปนั่งหัวเราะกันอยู่ข้างล่าง ก็ดีว่าเล่นกับผีแล้วหล่นลงมาสูงขนาดนั้นก็เลยไม่เจ็บ ท้ายสุดหลวงพ่อทนไม่ไหว ต้องเอากุมารใส่กระป๋องผ้าป่าถวายวัดไป เล่นแบบนั้นถ้าเกิดวันไหนพลาดขึ้นมาแล้วหลานคอหักตาย หลวงพ่อก็ไม่มีลูกไปใช้คืนเขา

ใครเลี้ยงกุมารทองขอแนะนำว่า ถ้าอยากให้กุมารขลังอย่าให้กินน้ำแดง เอาอย่างอื่นให้กินบ้าง พิซซ่าก็ได้ เชื่อว่ากุมารคงจะรักแล้วก็ช่วยเราอีกเยอะเลย

เณรรู้จักโมบายไหม ? ที่เขาเอามาแขวน ถึงเวลาลมกระทบดังติ๊ง ๆ ถ้าไม่ใช่ชอบจริง ๆ อย่าเอาไปแขวนที่บ้านนะครับ หลวงพ่อขอเตือน เพราะเป็นตัวเรียกผีที่ดีที่สุดเลย บ้านใครถ้าผีกวนเยอะ ๆ ให้ดูว่าแขวนโมบายนี่หรือเปล่า ? ถ้ามีก็เอาไปเก็บเสีย เพราะว่าผีส่วนหนึ่งเขาไม่รู้ว่าตัวเองจะไปไหน ในเมื่อไม่รู้ว่าตัวเองจะไปไหน พอได้ยินเสียงอะไรที่กระทบหูก็จะไปทางนั้นแหละ ถ้าบ้านใครแขวนโมบายเยอะ ๆ จะกลายเป็นเรียกผีเข้าบ้าน ถ้าเข้ามาเฉย ๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเข้ามาแล้วบางตัวก็ซน กวนโน่นกวนนี่ขึ้นมาก็เดือดร้อน

กลับบ้านไปดูด้วย ถ้าพ่อแม่แขวนไว้ก็ขอท่าน บอกว่าอันนี้เก่าแล้วครับผมขอเอาออก ที่วัดท่าขนุนแม่ชีก็แขวนไว้ หลวงพ่อขี้เกียจบอกเพราะอยากให้แม่ชีโดนผีหลอกจึงปล่อยไว้ คนไม่รู้ก็ดีอยู่อย่างหนึ่งนะ ไม่รู้ก็ไม่กลัว เพียงแต่สงสัยว่าทำไมที่นี่หมาหอนบ่อยจริง ๆ ปล่อยเขาสงสัยกันต่อไป บ้านโยมมีใครแขวนโมบายบ้าง ? ถ้าหากว่ามีก็แขวนเพิ่มไปเลยนะ อย่าไปเอาออก เอาออกเดี๋ยวชีวิตจะไม่มีรสชาติ..!

คนจีนปรับฮวงจุ้ยเขาจะใช้ขลุ่ยกระจายพลัง คนที่ไม่รู้เห็นโมบายยาว ๆ ก็เลยคิดว่าไอ้นี่ก็ใช้ได้เหมือนกัน เลยเอามาแขวน ตั้งใจเรียกผีชัด ๆ...!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-01-2016 เมื่อ 08:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 62 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #15  
เก่า 29-01-2016, 19:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "สามเณรคนไหนที่ไปขอเบอร์สาวไว้ ? ไหน..ยกมือให้ชื่นใจหน่อยซิ ? อยู่กุฏิไหน ? ชื่ออะไร ? รายงานตัวด้วย เดี๋ยวหลวงพ่อจะไปขอให้..! ไม่มีฝีมือเลย ขอเบอร์แล้วสาวเขาไม่ให้ ลงทุนยอมเสี่ยงกับสายไฟสักทีแล้วเอาไปแบ่งกันก็ได้..!

รุ่นนี้ไม่เกิดไม่ทันเพลง “ภูเขาจะกั้นขวางหน้า แดดกล้าจะร้อนเพียงใด พี่จะไปหาเธอจนได้ เป็นตายพี่จะไปหานาง” การมีคู่เป็นธรรมดาของสัตว์โลกทุกเผ่าพันธุ์รวมทั้งมนุษย์ด้วย เป็นแรงผลักตามสัญชาตญาณ เพื่อให้ดำรงเผ่าพันธุ์เอาไว้ได้ แต่มนุษย์ของเรามีสติ มีปัญญารู้คิด พระพุทธเจ้าถึงได้ให้ศีลเอาไว้ เพื่อจะให้พวกเราไม่ต้องไปฆ่ากันตาย

เพราะว่าตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันที่รบราฆ่าฟันกันมานั้น เขาบอกว่าอะไร ? “แย่งอาหารกิน” บางทีประเทศของตัวเองแห้งแล้งหากินไม่ได้ ก็ไปตีบ้านตีเมืองอื่นเขา ยึดเอาไว้เพราะว่าเขาอุดมสมบูรณ์กว่า อย่างที่ ๒ “แย่งถิ่นที่อยู่” ขยายอาณาเขต ขยายอาณาจักร แสดงออกซึ่งพระราชอำนาจ หรือไม่ก็ตัวเองประสบภัยแล้งบ้าง โรคระบาดบ้าง ก็ย้ายหนีไปเจอที่เหมาะ ๆ แต่เขามีเจ้าของอยู่แล้ว ก็ต้องไปรบราฆ่าฟันแย่งชิงกับเขา

ประการที่ ๓ “แย่งคู่สวาท” แย่งผู้หญิงกัน ไปอ่านประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศ รบราฆ่าฟันเพราะผู้หญิงมาเยอะต่อเยอะแล้ว ประการสุดท้าย “แย่งอำนาจกันปกครอง” ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นการฆ่าฟันกันเองในประเทศหรือในหมู่ญาติพี่น้องของตัวเอง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-01-2016 เมื่อ 08:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 61 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #16  
เก่า 29-01-2016, 19:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"สาเหตุของสงครามเขาถึงได้บอกว่า “แย่งอาหารกิน แย่งถิ่นที่อยู่ แย่งคู่สวาท แย่งอำนาจกันปกครอง” ปัจจุบันนี้ภาวะสงครามเกิดขึ้นตึงเครียดไปทั่ว เกิดจากอเมริกาหัวเรือใหญ่ตั้งใจจะจัดระเบียบการปกครองตะวันออกกลาง แรก ๆ ก็หนุนหลังอิสราเอลให้แข็งข้อ หลัง ๆ มาก็สนับสนุนอียิปต์ คูเวต แต่ขณะเดียวก็วางยา ก็คือไปช่วยพวกกองโจร ไม่ว่าจะเป็นเฮสบัลเลาะห์หรือว่าไอซิส เพื่อสร้างความวุ่นวายในประเทศนั้น ๆ ทำให้รัฐบาลของเขาอ่อนแอ แล้วจะได้เอาคนที่ตัวเองควบคุมได้ขึ้นไปเป็นผู้นำ พูดง่าย ๆ คือต้องการยึดทรัพยากรน้ำมันของตะวันออกกลาง ทำให้บรรดามุสลิมที่รู้ทันโกรธแค้น ประกาศตนเป็นศัตรู

ก็เหมือนกับสมัยที่เสื้อแดงแข็งข้อกับรัฐบาล ก็คือ อเมริกามองว่าตะวันออกกลางต่ำต้อย ควรที่จะยอมแต่โดยดีไม่ใช่มาแข็งข้อสู้กัน ก็เลยส่งกองทัพไปยึดโดยเฉพาะประเทศอิรัก แจ้งข้อหาว่าครอบครองอาวุธสงคราม เช่น นิวเคลียร์หรืออาวุธชีวภาพ ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ กระทั่งซัดดัม ฮุนเซน ตายไปแล้ว ก็ยังหาอาวุธชีวภาพไม่เจอ อาศัยเป็นข้ออ้างในการไปยึดครองประเทศคนอื่นเขา ก็เลยทำให้พี่น้องชาวมุสลิมมีความโกรธแค้นมาก จึงใช้วิธีการต่อต้านโดยการก่อการร้าย

แต่สหรัฐก็ยังอยู่ในลักษณะว่า ดำเนินแผนเดิม ๆ คือคุมประเทศไหนได้ก็สนับสนุนประเทศนั้น ประเทศไหนคุมไม่ได้ก็สนับสนุนพวกก่อการร้าย พวกกบฏ เรื่องถึงได้วุ่นวายไปทั่วโลก คนโดนรังแกไม่มีทางออกก็ต้องสู้ ในเมื่อเขาสู้ตามแบบของเขา ก็กลายเป็นข้ออ้างให้อีกฝ่ายหนึ่งเข้าไปทำลายได้หนักขึ้น เหมือนอย่างกับคนจนสู้กับคนรวย บ้านเราก็จะพากันซวยไปด้วย เพราะว่าบ้านเราการป้องกันค่อนข้างจะแย่ เนื่องจากว่าเป็นเมืองเปิด ใคร ๆ ก็เข้ามาได้

ภาวะสงครามลามไปทั่วโลก จะว่าไปก็เป็นเรื่องปกติเพราะตอนนี้ประชากรล้นโลก ในเมื่อล้นโลกทีไรก็จะต้องมีเหตุ เช่น เกิดโรคระบาด ตายกันทีละมาก ๆ เกิดทุพภิขภัยหาอาหารกินไม่ได้ ตายกันทีละมาก ๆ เกิดสงครามรบราฆ่าฟันกัน ตายทีละมาก ๆ ที่เหลืออยู่จะได้มีจำนวนเพียงพอกับทรัพยากรที่มีน้อย ต้องบอกว่ารบกันเพื่อหารเฉลี่ยให้จำนวนคนกับทรัพยากรนั้นใกล้เคียงกัน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-01-2016 เมื่อ 08:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 61 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #17  
เก่า 30-01-2016, 15:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "การปฏิบัติธรรมยิ่งทำไปสภาพจิตต้องยิ่งละเอียดขึ้น ทำอะไรได้ดีขึ้น เร็วขึ้น เรียบร้อยขึ้น ไม่ใช่กี่ครั้ง ๆ ก็เหมือนเดิม ถ้ากี่ครั้งก็เหมือนเดิม จัดอยู่ในประเภท "แกล้งมึน" ถ้าประเภทนี้ต้องใช้คำว่า "สมควรตาย"

การปฏิบัติธรรมของพวกเราต้องเรียกว่า “ปฏิบัติแก้บน” ก็คือสักแต่ว่าทำ ๆ ไปพอให้เป็นกระสายยาแค่นั้น นักปฏิบัติจริง ๆ เวลาทุกวินาทีจะไม่ยอมปล่อยให้สภาพจิตหลุดจากการภาวนาหรือพิจารณา ถ้าถามว่าต้องปฏิบัติขนาดไหน ? ให้ดูตัวอย่างของหลวงปู่หลวงพ่อสายวัดป่าของหลวงปู่มั่น เดินจงกรมกันทั้งวันทั้งคืน เพราะท่านฉันมื้อเดียว ประมาณ ๖ โมงเช้าออกบิณฑบาต กว่าจะกลับมาบางที ๙ โมงกว่า เพราะว่าระยะทางไกลจากหมู่บ้าน ก็แปลว่าเดินไปประมาณชั่วโมงถึงชั่วโมงครึ่งจึงจะถึงหมู่บ้านที่รับบาตรได้

กลับมาฉันเช้าเสร็จสรรพเรียบร้อย ล้างบาตร เช็ดแห้ง ตั้งผึ่งไว้ แล้วก็เข้าสู่ทางเดินจงกรม คราวนี้ก็เดินข้ามวันข้ามคืนไปเลย ยกเว้นว่าวัดไหนมีระเบียบว่าเวลา ๕ โมงเย็นให้มากวาดวัดด้วยกัน ก็จะหยุดเดินจงกรมมากวาดวัด แต่กำลังใจก็ไม่ได้คลายจากการภาวนา กวาดวัดเสร็จ สรงน้ำเสร็จ ถ้าหากมีใครถวายน้ำปานะก็ฉัน แล้วก็เข้าทางเดินจงกรมต่อ

หลายท่านทำทางเดินจงกรมไว้ ๓ สาย ปกติสายเดียวก็ยุ่งพอแล้ว ทำไว้ ๓ สาย “สายนี้เดินถวายพระพุทธ สายนี้เดินถวายพระธรรม สายนี้เดินถวายพระสงฆ์” เหตุที่บอกว่าทางเดินจงกรมทำยาก เพราะว่าขึ้นอยู่กับแสงแดด จะไม่เดินหาดวงตะวันตรง ๆ แต่จะเป็นแนวเหนือ-ใต้, ตะวันออกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 31-01-2016 เมื่อ 06:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 56 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #18  
เก่า 30-01-2016, 15:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็ต้องทำสถานที่ซึ่งจะเดินจงกรมแล้วก็เดินไป กลางค่ำกลางคืนไม่ต้องหลับไม่ต้องนอน เดินกันทั้งคืน เดินไปก็ภาวนาไป หรือยกหัวข้อธรรมที่ติดขัดขึ้นมาพิจารณาไป ถามว่าเดินกันขนาดไหน ? ก็ยันสว่างหรือยันเวลาบิณฑบาต อย่างเก่งก็ไปล้างหน้าแปรงฟันหน่อยหนึ่ง คว้าบาตรได้เดินเข้าหมู่บ้านไปบิณฑบาต เดินเข้าหมู่บ้านก็ภาวนาไปด้วย ท่านเดินกันจนทางเดินจงกรมสึกลึกถึงหัวเข่า ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะเดินได้ขนาดนั้น

บางท่านเดินขนาดนั้นแล้วกิเลสก็ยังไม่ยอมลงให้ ยังฟุ้งซ่านไปหา รัก โลภ โกรธ หลง อยู่ตลอดเวลา ท่านก็ใช้วิธีอดข้าว อดครั้งแรก ๓ วันไม่ได้เรื่อง ต่ออีกเป็น ๕ วันก็ยังไม่ได้เรื่อง ก็เป็น ๗ วัน ไม่ได้เรื่องอีกเป็น ๑๐ วัน ๑๒ วัน ๑๕ วัน หลวงปู่บางท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านอดจนแทบจะไม่มีแรงหายใจ แต่กิเลสก็ยังงอกงามเหมือนเดิม นึกแต่จะสึกไปมีเมีย ท่านก็เลยบอกว่า “เออ..ให้ตายเลย” ๑๕ วันไม่กินยังจะไปมีเมียอีก..!

ท่านบอกว่า ท่านอดซะจนเห็นแสงสีต่าง ๆ บินว่อนเต็มหน้าเลย บางทีก็ดาวทองขึ้นระยิบระยับไปหมด แปลว่าเลือดขึ้นไปเลี้ยงสมองไม่พอแล้ว “จะตายแล้ว” พอรู้ตัวว่าจะตายแล้วคราวนี้กิเลสหายหมดเลย รู้ว่าถ้ายังอาละวาดต่อตายแน่ ๆ เพราะเจ้าของร่างกายไม่ยอมถอยให้มัน ตายเป็นตาย

ในเมื่ออดจนกิเลสสงบได้อย่างใจ ท่านก็กลับมาฉันอาหารใหม่ ผ่อนอาหารมาเยอะก็ต้องฉันทีละน้อย เริ่มจาก ๒-๓ คำบ้าง วันรุ่งขึ้นก็เป็น ๔-๕ คำ จนกระทั่งฉันได้ตามจำนวนปกติ หลวงพ่อวัน อุตฺตโม วัดป่าภูผาเหล็ก มีชื่อไพเราะว่าวัดถ้ำอภัยดำรงธรรม เป็นครูบาอาจารย์ที่ร่างกายสูงใหญ่มาก ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านออกบิณฑบาตหลังจากที่อดข้าวมานาน ถ้าจำไม่ผิดก็อดข้าวมา ๗ วัน ถามว่าทำไมหลวงพ่อต้องอดข้าวครับ ? ท่านบอกว่า ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรก...ท่านบอกว่าปฏิบัติธรรมกำลังอารมณ์ดี เมื่ออารมณ์ใจทรงตัว มัวแต่ไปเดินบิณฑบาตอยู่ก็เสียเวลา ก็ว่ายาวไปเลย อดเป็นอด คือเอาชีวิตเข้าแลกกับธรรมที่จะได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-01-2016 เมื่อ 17:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 58 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #19  
เก่า 30-01-2016, 15:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ประการที่สอง ก็คือ ทางเดินบิณฑบาตนั้นไกล ภูผาเหล็กต้องปีนขึ้นปีนลงภูเขาก่อน แล้วจึงจะเดินเข้าบ้านซึ่งห่างไป ๑๒ กิโลเมตร ท่านก็เลยตัดใจไม่บิณฑบาต วันนั้นพอเดินบิณฑบาตกลับมา ท่านคิดว่า “เอ๊ะ...ร่างกายอดมานาน เดี๋ยวไม่มีแรงปีนเขา ฉันตรงนี้แหละวะ” ว่าแล้วก็นั่งฉันตรงตีนเขา ฉันเสร็จขึ้นเขาไม่ได้ ท่านบอกว่าต้องเดินจงกรมอยู่ตีนเขาเกือบ ๒ ชั่วโมง กราบเรียนถามว่า “เป็นอย่างไรถึงขึ้นเขาไม่ได้ครับหลวงพ่อ ?” ท่านบอกว่าแน่นไปหมด หายใจไม่ออก ไม่ได้กินมา ๗ วัน ดันไปกินเสียเต็มที่เลย ไม่จุกตายก็บุญโขแล้ว

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร ท่านเล่าว่าภาวนาแล้วง่วง คอยแต่จะโงกหลับเหมือนกับเณรของเรานี่แหละ ภาวนาเมื่อไรก็โงกหลับ ธรรมะที่อยากได้ก็ไม่ได้สักที เพราะเอาแต่หลับอย่างเดียว ท่านก็เลยให้ลูกศิษย์หาปีบมาให้ใบหนึ่ง เอาไปตั้งไว้หมิ่น ๆ ริมหน้าผาแล้วก็ขึ้นไปนั่งบนปีบ หันหน้าออกไปทางหน้าผา บอกว่า “แน่จริงง่วงสิ ถ้าโงกก็ให้ตกเหวตายไปเลย” ปรากฏว่ากิเลสเก่ง รู้ว่าถ้าง่วงจะตกเหวตาย เลยไม่ง่วง หูตาสว่าง นั่งสบาย อย่างไรก็ไม่หลับ

เอาไหมเณร ? เดี๋ยวขึ้นชั้น ๓ นั่งที่ขอบระเบียบหันหน้าออก ถ้าใครหลับได้หลวงพ่อมีรางวัลให้ พวกเราขึ้นไปกวาดข้างบนแล้ว...ใช่ไหม ? เห็นขอบระเบียงชั้น ๓ แล้ว...ใช่ไหม ? สูงจากพื้น ๑๒ เมตรเอง ตกลงมาตายไม่สนิทดีหรอก ยังมีโอกาสรอดเยอะ ของหลวงปู่ฝั้นท่านนี่เหวลึกเป็นสิบ ๆ วาเลย

คราวนี้เห็นหรือยังว่าการปฏิบัติธรรมต้องทุ่มเทกันด้วยชีวิต ไม่ใช่ทำแก้บนกันแบบที่พวกเราทำ พวกเรานี่ทำแก้บน สามเณรหลายรูปก็ทำแก้ ร. อาจารย์ท่านติด ร. เอาไว้ ถ้าไม่บวชก็แก้ไม่ได้ สอบผ่านก็ไม่ได้รับประกาศนียบัตร...ซวยตายชัก ก็เลยต้องกัดฟันมาบวช เหนื่อยนะ..ไม่เป็นไร..ทน ๆ เอา คนไหนที่หนีบวชไป ไม่ได้แก้ ร. บอกเพื่อนด้วยว่า ถ้าไม่มีประกาศนียบัตรวัดท่าขนุนแบบนี้ อาจารย์ท่านไม่แก้ ร. ให้หรอก ใครจะแก้ ร. ให้มาใหม่ ขอแค่เสาร์อาทิตย์ ๒ ครั้ง คือ ๔ วันเท่านั้น ของเณรบวชนี่หัวท้ายนับเป็น ๗ วัน พวกนั้นหลวงพ่อขอแค่ ๔ วัน แต่มึงปฏิบัติเช้ายันเย็นเลย จะได้รู้ว่านรกมีจริง...! ช่วยกระซิบบอกเพื่อนด้วยนะ

ถ้าในเมื่อมึงหนีกู ถ้ามึงมาขอแก้ ร. กูจะให้มึงบวชใหม่ ไม่เป็นไร...หลวงพ่อจะช่วย แต่ขอแค่ ๒ อาทิตย์ ไม่มากไม่มาย ๒ อาทิตย์ก็แค่ ๓๒ ชั่วโมงเท่านั้น วันละ ๘ ชั่วโมง ของพวกเณรนี่เช้าชั่วโมงครึ่ง เย็น ๒ ชั่วโมง วันละ ๓ ชั่วโมงครึ่ง พวกโน้นหลวงพ่อขอวันละ ๘ ชั่วโมง
๔ วันเท่านั้น แล้วถ้าทำไม่ดีนี่ได้แต่วุฒิบัตรนะ...ไม่มีลายเซ็น แก้ ร. ไม่ได้อีก ทำดีเมื่อไรแล้วค่อยมาเอาลายเซ็น โหดแท้หนอ...เป็นพระได้อย่างไรวะ...?!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-01-2016 เมื่อ 17:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 58 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #20  
เก่า 31-01-2016, 11:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ขออนุโมทนากับญาติโยมทุกท่าน ที่ตั้งใจมาปฏิบัติธรรมถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่างที่พวกเราทำกันนี้ถึงจะเรียกว่าความดีบริสุทธิ์จริง ๆ ไม่มีอะไรสามารถทำให้แปดเปื้อนได้ ไม่ใช่ว่าสร้างอุทยานแล้วอ้างความจงรักภักดี เสร็จแล้วก็เรียกค่าหัวคิวไปเรื่อย บอกว่าเป็นคนดีไม่มีอะไรแปดเปื้อน ไปถึงไหนแล้ววะ ? เรื่องเดียวกันหรือเปล่า ? คนละเรื่องกันนะ

ดู ๆ ตรรกะวิบัติของการเมืองไทยแล้วกลุ้มใจ เขาบอกว่าเป็นคนดีไม่มีอะไรผิด ไม่ผิดแล้วไล่นายทหารระดับพลตรี พันเอก ออกทำอะไร โครงการจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ บอกว่านายกรัฐมนตรีเป็นคนสั่งการก็ต้องรับผิดชอบ ถึงขนาดถอดถอนห้ามเล่นการเมือง ๕ ปี แต่โครงการราชภักดิ์ไม่มีการโกง แค่ไล่นายทหารออก นายกรัฐมนตรีไม่ต้องรับผิดชอบ ตูฟังแล้วจะบ้า..! เห็นชาวบ้านกินแกลบกินรำกันหรืออย่างไร ? ว่าเรื่องของเราต่อดีกว่า

วันเวลาที่พวกเราควรจะไปเที่ยวกันแบบชาวบ้านชาวเมืองเขา เราก็ตั้งใจมาทำความดีถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถือว่าเป็นการทำความดีที่เกิดจากจิตใจที่บริสุทธิ์ และไม่ได้มุ่งประโยชน์เพื่อตนเอง แต่เป็นการมุ่งประโยชน์ต่อบุคคลสำคัญของชาติ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเจริญพระชนมายุ ๘๘ ย่าง ๘๙ พรรษาแล้ว ยังไม่ทราบว่าพระองค์จะสามารถดำรงขันธ์ไปได้นานอีกเท่าไร

อาตมาลุ้นสุดชีวิตให้พระองค์ท่านอยู่ถึง ๘๓ พรรษา ในเมื่อถึง ๘๓ แล้ว คราวนี้ก็ลุ้นกันวันต่อวันว่าพระองค์จะอยู่ได้ถึง ๙๔ พรรษาหรือไม่ ? ซึ่งเป็นเรื่องที่ทารุณมากสำหรับคนแก่ขนาดนั้น เพราะว่ากายสังขารที่ไม่สามารถจะทำอะไรได้อย่างใจ ถึงเวลาแล้วยังต้องทนอยู่ไปวันต่อวัน ลักษณะอย่างนั้นเป็นการทรมานมากกว่า แต่เพื่อประเทศชาติและประชาชน พระองค์ท่านก็ต้องทนอยู่"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-01-2016 เมื่อ 17:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 57 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:14



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว