กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 14-05-2012, 08:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,021 ครั้ง ใน 33,959 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เก็บตกงานสงกรานต์ ๑๔ เมษายน ๒๕๕๔

สำหรับเรื่องศักราชนั้น มีมหาศักราช จุลศักราช คริสตศักราช พุทธศักราช และฮิจเราะฮ์ศักราช

ฮิจเราะฮ์ศักราชเป็นศักราชที่พระนบีมูฮัมหมัดยึดเมืองมาดีนะห์คืนจากฝ่ายกบฏได้ สามารถวางรากฐานศาสนาอิสลามขึ้นมาใหม่ ปีที่ท่านและสาวกอพยพจากเมืองเมกกะมาที่เมืองมาดีนะห์ จึงเริ่มต้นนับฮิจเราะฮ์ศักราช

คริสต์ศักราชนับตั้งแต่วันที่พระเยซูเจ้าประสูติ พระเยซูเกิดในรางหญ้า ในคอกแกะ แต่ศาสนาพุทธของเรานับศักราชตั้งแต่วันที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานเป็น พ.ศ. ๑ เราก็เลยช้าไป ๘๐ ปี ส่วนศักราชของกะเหรี่ยงนับไป ๒,๗๐๐ กว่าปีแล้ว เพราะทันทีที่กะเหรี่ยงสามารถสืบค้นประวัติศาสตร์ได้ เขานับเป็นศักราชตั้งแต่วินาทีนั้นเลย ดังนั้น..ศักราชกะเหรี่ยงค่อนข้างที่จะยืดยาว

ส่วนมหาศักราชและจุลศักราชนั้น เกิดจากการที่สถานการณ์บ้านเมืองในแผ่นดินไม่สงบเรียบร้อย มีการผลัดแผ่นดินใหม่ พระมหากษัตริย์ผู้ทรงกฤษฎาภินิหาร ได้รับคำแนะนำจากราชปุโรหิตาจารย์ ให้ทำการลบศักราชแล้วเริ่มต้นศักราชใหม่ ซึ่งสมัยนั้นมีประเทศพม่าที่ทำการลบศักราชแล้วเริ่มต้นศักราช เหมือนกับเริ่มต้นรัชกาลใหม่ ทำให้รู้สึกว่าฤกษ์ยามที่ตนเองตั้งขึ้นมานับเป็นศักราชใหม่นั้น เป็นฤกษ์ยามที่เหมาะสมต่อประเทศชาติ และเหมาะสมต่อราชวงศ์ที่พระองค์ท่านตั้งขึ้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2012 เมื่อ 03:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 113 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 14-05-2012, 08:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,021 ครั้ง ใน 33,959 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถามว่าประเทศไทยเคยมีการลบศักราชบ้างหรือไม่ ? คำตอบคือมี ตัวอย่างชัดเจนที่สุดคือ สมัยพระนางเจ้าจามเทวี บรมราชนารี ศรีสุริยวงศ์ องค์บดินทร์ ปิ่นธานีหริภุญไชย นาน ๆ จะเรียกชื่อท่านแม่เต็ม ๆ สักที

พระแม่เจ้าจามเทวีทำการลบศักราชของทางเหนือแล้วเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ เป็นเพราะเหตุผลทางการเมือง เนื่องจากขุนหลวงวิลังคะพระราชาของชาวลัวะ ต้องการจะแต่งงานกับพระแม่เจ้าจามเทวี เมื่อส่งทูตมาสู่ขอ พระแม่เจ้าจามเทวีรู้ว่า ถ้าขัดคอมีหวังได้เจอกองทัพนักรบชาวเขาที่ฉกาจฉกรรจ์ที่สุดในโลกในขณะนั้นแน่นอน ท่านก็เลยใช้วิธีลบศักราชเริ่มต้นใหม่ โดยไม่ประกาศบอกให้รู้ทั่วทุกประเทศ

ความจริงเขาต้องประกาศบอกให้รู้ทุกประเทศ ประเทศไหนเห็นด้วยยอมอ่อนน้อมใช้ศักราชนั้นก็ถือว่าดีกับตัว ประเทศไหนที่ไม่เห็นด้วยก็ยกทัพไปตีเลย แต่พระแม่เจ้าไม่ประกาศเพราะกลัวขุนหลวงวิลังคะจะรู้ เมื่อนัดวันยกขันหมากกันเสร็จสรรพเรียบร้อย พระแม่เจ้าก็ลบศักราชแล้วเริ่มต้นใหม่

เราจะเห็นได้ว่าศักราชของทางเหนือนั้น เร็วกว่าทางใต้เรา ๒ เดือน อย่างเช่น วันเพ็ญเดือน ๑๒ ของภาคกลาง เป็นวันเพ็ญเดือนยี่ของภาคเหนือไปแล้ว ดังนั้น..วันลอยกระทงทางเหนือจึงเรียกว่า ยี่เป็ง คือวันเพ็ญเดือนยี่

พอพระแม่เจ้าเริ่มต้นศักราชใหม่ เท่ากับว่าขุนหลวงวิลังคะยกขันหมากมาช้าเกินไป ๒ เดือน ทางด้านพระแม่เจ้าจามเทวีถือเป็นข้ออ้างในการที่ไม่แต่งงานด้วย ขุนหลวงวิลังคะก็เที่ยวไล่ถามชาวบ้านทุกคน ชาวบ้านเขาก็ยืนยันว่าเป็นวันนี้ เดือนนี้ ปีนี้แล้ว เล่นเอาขุนหลวงวิลังคะปากอ้าตาค้าง โกรธมาก แต่ตัวเองเป็นกษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ พอเขานัดวันเวลาให้มาขอ ใครจะไปรู้ว่าดันเล่นกลกับเวลาเสียได้ ขุนหลวงวิลังคะก็เลยตัดสินใจบอกว่าจะรบแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2012 เมื่อ 03:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 107 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 14-05-2012, 08:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,021 ครั้ง ใน 33,959 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระแม่เจ้าจามเทวีตรัสว่า ถ้าจะรบกัน ทางหริภุญไชยพร้อมจะสู้ด้วย แต่ไพร่ฟ้าประชาชนคงจะตายกันมาก ขอเปลี่ยนวิธีได้ไหม ? ขุนหลวงวิลังคะถามว่าเปลี่ยนวิธีอย่างไร ? พระแม่เจ้าจามเทวีตรัสว่า ใคร ๆ ก็ลือว่าขุนหลวงวิลังคะเป็นผู้แกล้วกล้าในฝีมือ ก็ใช้สิ่งที่ขุนหลวงถนัดนั่นแหละ ซึ่งก็คือหอกนั่นเอง

ให้ขึ้นไปบนยอดดอยอินทร์ ซึ่งปัจจุบันนี้คือดอยสุเทพ แล้วพุ่งหอกคู่มือ ถ้ามาตกถึงกลางเมืองลำพูนได้ จะยอมแต่งงานด้วย พุ่งหอกเกือบ ๔๐ กิโลเมตรนะ แต่ขอโทษ..ขุนหลวงวิลังคะเห็นแล้วบอกว่าสบาย..ตกลงตามนี้

พระแม่เจ้าจามเทวีก็คิดว่า ทำอย่างไรดีถึงจะทำลายวิชาฝีมือของขุนหลวงวิลังคะได้ เพราะขุนหลวงวิลังคะแก่กล้าฝีมือได้ด้วยคาถาอาคม พระแม่เจ้าจามเทวีก็เลยสร้างหมวกขึ้นมาใบหนึ่ง เป็นหมวกที่มีชายระย้าสวยมาก ส่งไปถวายขุนวิลังคะ ให้ราชทูตไปเจรจาบอกว่าเป็นของขวัญที่มอบให้ เพราะอย่างไรเสียก็ต้องแต่งงานกันแน่แล้ว ขุนหลวงวิลังคะฝีมือดีมาก อย่างไรเสียคงจะสามารถพุ่งหอกไปตกกลางเมืองหริภุญไชยได้แน่ ขุนหลวงวิลังคะได้ยินก็ดีใจ นึกว่าสาวมีใจด้วย ก็รับหมวกมาสวม

ปรากฏว่าเมื่อตอนที่จะพุ่งหอกนั้น บนภูเขาลมแรง พอลมภูเขาพัด ชายหมวกที่เป็นผ้าระย้าอยู่ก็สะบัดมาปิดตา ขุนหลวงวิลังคะเสียท่า เพราะพุ่งหอกออกไปแล้ว จึงกลายเป็นผิดจังหวะ หอกตกไม่ถึงกลางเมืองหริภุญไชย ขาดไปหน่อยเดียว มีท่านผู้รู้มาบอกทีหลังว่า ชายผ้าที่ติดหมวกนั้นเป็นผ้านุ่งของพระนางเจ้าจามเทวีเอง ตั้งใจทำลายคาถาอาคมกันโดยตรง ขุนหลวงวิลังคะรู้ว่าเสียท่า โกรธเป็นครั้งที่สอง ตัดสินใจยกทัพมารบเลย เมื่อยกทัพมารบด้วย ตอนนี้พระแม่เจ้าจามเทวีไม่กลัวแล้ว เพราะว่าได้ทำลายคาถาอาคมขุนหลวงวิลังคะไปแล้ว จึงยกทัพออกไปต่อต้าน

พระแม่เจ้าจามเทวีมีสัตว์คู่พระทัยอยู่ ๓ ชนิด อย่างแรกเป็นช้างทรง ชื่อ พญางาเขียวศัตรูพินาศ ชาวบ้านเรียกว่า ปู้ก่ำงาเขียว คำว่าปู้คือช้างตัวผู้ ช้างพลายนี่เอง คำว่าเขียวของโบราณก็คือดำ ดังนั้น..เราจะเห็นว่าพระรามมีร่างกายสีเขียว ก็คือสีดำ คงจะดำสนิทที่เรียกว่าดำจนเขียว ดังนั้น ช้างพลายคู่พระทัยของพระนางเจ้าจามเทวีเป็นช้างเผือกงาดำ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2012 เมื่อ 03:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 115 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 14-05-2012, 16:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,021 ครั้ง ใน 33,959 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สัตว์อย่างที่สอง คือ พญาสินธพขจรเดช เป็นม้าขาว ถ้าเป็นสมัยนี้อาตมาเทียบว่าเป็นรถยนต์เฟอร์รารี่ได้ เพราะว่าพระเจ้ารามราชแห่งกรุงละโว้ (ลพบุรี) จะขี่ม้าตัวนี้ขึ้นไปหาพระนางเจ้าจามเทวีเดือนละครั้ง เนื่องจากสองท่านนี้แต่งงานกัน ต่างคนต่างครองเมือง ต่างคนต่างมีไพร่ฟ้าประชากรที่ต้องดูแล เดือนหนึ่งจึงขี่ม้าขาวตัวนี้ขึ้นไปได้ครั้งหนึ่ง ไปหากันด้วยความคิดถึง

สมัยก่อนบรรดาสัตว์ต่าง ๆ มีความพิเศษมีอยู่มาก อย่างสมัยพุทธกาล พระเจ้าจันทปัชโชติมีช้างพังภควดี เดินทางได้วันละ ๑๒๐ โยชน์ ก็คือ ๙๖๐ กิโลเมตร สมัยนี้เหยียบรถเก๋งดี ๆ วันละ ๙๖๐ กิโลเมตร ยังลิ้นห้อยเลย เพราะฉะนั้น..อาตมาจึงคิดว่าพระยาสินธพขจรเดช ม้าคู่พระทัยของพระเจ้ารามราชและพระนางเจ้าจามเทวี เปรียบสมัยนี้ก็คงรถเฟอร์รารี่สปอร์ต เหยียบได้ประมาณ ๓๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมงแน่ ๆ

สัตว์อย่างสุดท้ายเป็นกองทัพลิง ๓๐ ตัว หัวหน้าลิงคือพญากากะวานร เป็นลิงที่ได้รับการฝึกมาดีมาก สามารถออกรบได้ สงครามครั้งนี้ขุนหลวงวิลังคะแพ้ลิง ขอยืนยันว่าแพ้ลิง เพราะว่าทันทีที่กองทัพปะทะกัน พระยากากะวานรพร้อมกับบริวารก็พุ่งพรวดเดียวขึ้นถึงหลังช้างเลย ชักมีดแทงกลางช้างกับหลังช้าง (ทหารบนหลังช้าง) แล้วหักฉัตรทิ้ง กองทัพของขุนหลวงวิลังคะก็เลยแตกไม่เป็นขบวน เพราะคิดว่าแม่ทัพตายแล้ว

สมัยก่อนไม่เหมือนสมัยนี้ ไม่มีวิทยุสื่อสาร ไม่มีโทรศัพท์มือถือ เขาดูสัญญานของกองทัพจากธงประจำตัวและฉัตรของกษัตริย์เป็นหลัก ในเมื่อธงนำทัพและฉัตรโดนลิงหักทิ้งไปแล้วภายในไม่กี่นาที ลูกน้องเห็นจึงแผ่น ก็เลยทำให้กองทัพลัวะนั้นแตกพ่ายไป

ความจริงขุนหลวงวิลังคะไม่ได้ตายในสนามรบ แต่ว่ากลับไปแล้วโกรธแค้นมากเลยป่วยตาย ตามประวัติท่านบอกว่า เสียแขนไปข้างหนึ่ง เพราะว่ามัวแต่พะวง คอยระวังลิงอยู่ เลยโดนท้าวมหันตยศฟันแขนขาดไปข้างหนึ่ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2012 เมื่อ 03:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 103 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 14-05-2012, 16:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,021 ครั้ง ใน 33,959 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ตั้งแต่นั้นมาพวกชาวลัวะก็เลยถูกจำกัดเขตให้อยู่ในป่าเขาเท่านั้น ห้ามออกมาข้างนอก เพราะว่าตอนนั้นพระแม่เจ้าจามเทวีปราบหัวเมืองล้านนาได้ทั้งหมด ท่านปราบเจ้าชายเมืองโกสัมพีได้ คู่นี้รบกันตั้งแต่เช้ายันเย็น พระแม่เจ้าจามเทวีเป็นผู้หญิงแต่ออกรบด้วยตัวเอง แล้วออกรบกับผู้ชายด้วย อาศัยกองทัพลิงเป็นกำลังใหญ่ แล้วรบชนะทุกครั้ง ทำให้หัวเมืองอื่น ๆ ทั่วทั้งล้านนายอมขึ้นตรงต่อหริภุญไชย

เมื่อรบชนะขุนหลวงวิลังคะที่ถือว่ามีฝีมือมากที่สุดในช่วงนั้น ทำให้บรรดาประเทศราชทั้งหมดที่รายล้อมอยู่ไม่กล้าแข็งข้อด้วย ทั้งหมดยอมมาอ่อนน้อม ยอมขึ้นต่อหริภุญไชย

ที่กล่าวมาถึงตรงนี้ก็เป็นเครื่องยืนยันว่า กษัตริย์ที่มีพระกฤษฎาอภินิหารเป็นที่เลื่องลือปรากฏ มักจะแสดงศักดานุภาพให้ปรากฏแก่ประเทศราชต่าง ๆ ด้วยการลบศักราชแล้วตั้งต้นศักราชใหม่ จะมีการบวงสรวงชุมนุมเทวดา ประกาศอ้างเดชานุภาพของพระโพธิ์สัตว์เจ้าผู้มาจุติเป็นกษัตริย์นั้น ๆ แล้วทำการลบศักราช ขอให้เทพเจ้าทั้งหลายอย่าได้ขัดขวาง และขอให้ช่วยสนับสนุนให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองด้วย

ดังนั้น..ในเรื่องของจุลศักราชจึงเกิดจากทางพม่าทำการลบศักราชมาแล้วก็ตั้งใหม่ เรียกว่าจุลศักราช คือ ศักราชน้อย ส่วนพุทธศักราช เป็น ศักราชใหญ่ วันนี้คือวันที่ ๑๔ เมษายน เวลา ๕ โมงเย็นเศษ ๆ พรุ่งนี้จะเริ่มต้นเถลิงศกใหม่ ถ้าเป็นสมัยโบราณก็เริ่มต้นขึ้นปีใหม่ เปลี่ยนจากจุลศักราช ๑๓๗๒ เป็นจุลศักราช ๑๓๗๓

สำหรับพวกเราก็ไม่มีประโยชน์ ฟังไปเดี๋ยวก็ลืม แต่ว่าถ้าพวกที่ศึกษาทางโหราศาสตร์มา มักจะต้องใช้จุลศักราชในการดูดวง เพื่อเพิ่มความแม่นยำอีกส่วนหนึ่ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2012 เมื่อ 03:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 102 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 15-05-2012, 10:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,021 ครั้ง ใน 33,959 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ขอให้โยมทุกคนเข้าใจว่า ระบบร่างกายของเราที่เรียกว่า เมตาบอลิซึ่มสามารถปรับเปลี่ยนได้ ถ้าเราฝืนใจอดข้าวเย็นได้สัก ๓ วันติดต่อกัน ร่างกายก็จะเปลี่ยนระบบแล้ว ร่างกายจะรู้ว่าถึงเวลานี้ไม่มีกิน ต้องถึงเวลานี้แล้วจะมีกิน ก็จะปรับระบบใหม่

ส่วนใหญ่คนลดความอ้วนไม่ได้เพราะเวลาที่เมตาบอลิซึ่มทำงานจะบีบให้รู้สึกเครียด ปวดหัว เราต้องหาอะไรกินอาการถึงจะคลาย แต่ถ้าเราฝืนได้ ๓ วันเท่านั้น เราก็จะอยู่ตัว และสามารถจะเปลี่ยนเวลาการกินได้ใหม่ ก็ขอให้ท่านที่ตั้งใจจะลดความอ้วน ทนฝืนเอาสามวัน ตายเป็นตาย ถ้าหักห้ามใจตัวเองได้ ก็ผ่านไปได้

อาตมาขอยืนยันว่า การลดอาหารเย็นเป็นการลดความอ้วนที่เกือบจะดีที่สุดในโลก อาตมาเริ่มต้นรักษาศีล ๘ ได้ ๒ เดือน น้ำหนักหายไป ๙.๕ กิโลกรัม จาก ๖๓.๕ กิโลกรัม ลดมาเหลือ ๕๔ กิโลกรัม หลังจากนั้นบวชมาได้ ๒๐ พรรษา น้ำหนักเพิ่มมาเป็น ๕๖ กิโลกรัม สรุปว่า ๑๐ ปีได้มา ๑ กิโลกรัม

อาตมาอิจฉาลูกศิษย์เป็นบ้าเลย บวชเข้ามาแค่ ๓ เดือนเท่านั้น ตัวอ้วนปี๋เลย โดนเฉพาะเณรหมี ตัวกลมเป็นหมีแพนด้าเลย ถ้าจะใช้แรงงานอะไรให้บอกเณรหมี สามารถแบกหามได้ทุกอย่าง แต่ขอกินให้เต็มที่หน่อย เณรหมีกินไม่มากหรอก ซื้อไอศกรีมทีหนึ่ง ๕๐ บาท ไม่ใช่ไอศกรีมสเวนเซ่นนะจ้ะ ไอศกรีมสเวนเซ่น ๕๐ บาทได้ลูกเดียว แต่ไอศกรีมของที่นี่ถ้วยละ ๕ บาท

เณรหมีซื้อ ๕๐ บาทได้ ๑๐ ถ้วย..! ขอโทษ..ไม่ใช่ถ้วยโคนนะ ถ้วยชาม..! อาตมาเห็นแล้วยังนั่งอิจฉา บวชกัน ๓ - ๔ พรรษา อ้วนกันหมด เมื่อไรอาตมาจะอ้วนกับเขาบ้าง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2012 เมื่อ 03:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 92 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 15-05-2012, 11:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,021 ครั้ง ใน 33,959 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คนไทยก่อทรายสู้พี่น้องมอญพม่าไม่ได้ เพราะเขามีเครื่องมือมาพร้อมสรรพเลย ถึงเวลาเทน้ำใส่ทราย เอาทรายเปียกมาตบให้แน่น เขามีเครื่องมือที่ทำเป็นรูปโค้ง ๆ เหมือนรูปเจดีย์ มีแกนกลางด้วย คล้าย ๆ วงเวียน พอเอาแกนกลางปักไป รูดออกมาก็เป็นรูปเจดีย์แล้ว เพราะฉะนั้น..การแข่งก่อเจดีย์กับเขาเราสู้ไม่ได้แน่

จริง ๆ แล้วเราสู้ไม่ได้มาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชแล้ว โดนพม่าเขาหลอก ตอนนั้นไทยกับพม่าแข่งกันสร้างเจดีย์ให้เสร็จภายในคืนเดียว คนไทยสร้างฝั่งมะละแหม่ง พม่าข้ามอ่าวไปสร้างฝั่งเมาะตะมะ ไกลกันเกือบ ๔ กิโลเมตร

พอใกล้สว่างคนไทยเห็นเจดีย์พม่าขาวโพลน คิดว่าพม่าสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนฝ่ายตนแพ้ ยกทัพกลับก็ได้ ที่ไหนได้..พม่าเอาไม้ไผ่มาสานเป็นรูปเจดีย์แล้วเอาผ้าขาวไปพันไว้ คนไทยอุตส่าห์ก่อเจดีย์ด้วยฝีมือตัวเองได้ค่อนองค์ พม่าก็เลยมาต่อยอด กลายเป็นเจดีย์พม่ามาจนทุกวันนี้

ก่อนนี้ชื่อ ไจ๊ซานลาน แปลว่า สยามแพ้ ก็คือคนไทยแพ้เขา มาระยะหลังนี้เขาเกรงว่าจะกระทบกระเทือนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ก็เลยเปลี่ยนชื่อใหม่ว่าเป็น ไจ๊ตาลาน คำว่า ไจ๊ เป็นภาษามอญ แปลว่าเจดีย์ก็ได้ แปลว่าวัดก็ได้ แปลว่าพระก็ได้ แต่ส่วนใหญ่จะใช้ในความหมายว่าเจดีย์

เพราะฉะนั้น..เราแพ้มาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว ไม่เป็นไรหรอก ก่อเจดีย์สู้ไม่ได้แต่ก็มีวิธี ใช้วิธีช่วยกันเชียร์พี่น้องมอญพม่าให้ก่อเจดีย์เยอะ ๆ แล้วเราก็คอยสาธุโมทนาเอา จะไปยากอะไร อะไรที่เราไม่เก่ง ก็หาคนเก่งมาทำ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2012 เมื่อ 03:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 88 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 15-05-2012, 11:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,021 ครั้ง ใน 33,959 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดระฆัง ท่านเป็นพระที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นปาปมุติ คือ บุคคลที่พ้นจากบาปโดยสิ้นเชิงแล้ว ท่านสามารถที่จะตักเตือนในหลวงรัชกาลที่ ๔ แบบแรง ๆ ได้ แม้ว่าตอนนั้นในหลวงรัชกาลที่ ๔ จะโกรธ แต่ก็ไม่เคยผูกโกรธ มีอะไรก็จะปรึกษาหารือหลวงพ่อสมเด็จฯ อยู่เสมอ

แม้ว่าหลวงพ่อสมเด็จฯ จะเข้าวังเป็นปกติ แต่ถ้าชาวบ้านที่ไหนนิมนต์ หลวงพ่อก็รับทั้งนั้น ขอให้ว่างก็จะไป มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านเจ้าคุณส่งบ่าว (คนรับใช้) ไปนิมนต์หลวงพ่อสมเด็จฯ ให้ไปเทศน์ที่บ้าน บ่าวบอกว่า "ท่านเจ้าคุณนิมนต์เทศน์เรื่อง ๑๒ นักษัตรขอรับ" ความจริงท่านเจ้าคุณจะฟังเทศน์เรื่องอริยสัจ บ่าวฟังว่าเป็น ๑๒ นักษัตร หลวงพ่อสมเด็จท่านก็ไป

พอถึงเวลาขึ้นธรรมมาสน์ ตั้งนะโมเสร็จท่านก็ขึ้นเลย มุสิโก ว่าปีชวด อุสโภ ว่าปีฉลู พยัคโฆ ว่าปีขาล สโส ว่าปีเถาะ... เรื่อยไปจนถึง สุกโร ว่าปีกุน

เล่นเอาท่านเจ้าคุณมองบ่าวตาเขียวปั๊ด จะฟังอริยสัจกลายเป็น ๑๒ นักษัตรไปแล้ว หลวงพ่อสมเด็จฯ กล่าวสรุปว่า คนเราทุกคนก็เกิดมาภายใต้ ๑๒ นักษัตรนี่แหละ พอเกิดมาแล้วไม่เที่ยงอย่างไร เป็นทุกข์อย่างไร ท่านก็ไปลงที่อริยสัจจนได้

พอเอวังเสร็จ ท่านเจ้าคุณสาธุ ประเคนไทยธรรมหลวงพ่อสมเด็จฯ สองเท่า..! ชอบใจมาก เพราะเท่ากับว่าได้ฟัง ๒ กัณฑ์ต่อกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2012 เมื่อ 03:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 85 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 15-05-2012, 11:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,021 ครั้ง ใน 33,959 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อีกรายหนึ่งก็ให้บ่าวไปนิมนต์เหมือนกัน เป็นเศรษฐีบ้านอยู่ในสวน หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดระฆัง ท่านก็บอกว่าไม่เคยไป บ่าวก็บอกทางง่าย ๆ ว่า "แจวเรือไปเรื่อย ๆ เจอกองมะพร้าวกองใหญ่อยู่หน้าบ้านไหน ก็บ้านนั้นแหละ"

หลวงพ่อสมเด็จท่านก็แจวเรือไปเรื่อย ๆ เห็นมะพร้าวที่เขาผูกกองไว้เตรียมที่จะล่องไป เด็กสมัยนี้คงไม่เคยเห็น สมัยก่อนเขาจะผูกมะพร้าวติดกันเป็นคู่ ๆ ไขว้กันไปเรื่อย ๆ จนยาวเป็นรถไฟเลย ถึงเวลาก็ล่องไปตามน้ำ

บ่าวบอกว่าพายเรือไปเรื่อย เจอกองมะพร้าวก็บ้านนั้นแหละ หลวงพ่อสมเด็จฯ ก็จัดแจงผูกเรือไว้ที่ท่าน้ำ ปีนขึ้นไปบนกองมะพร้าว ตั้งนะโมเทศน์บนกองมะพร้าวเลย..! ถือว่าทำตรงไปตรงมา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2012 เมื่อ 03:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 86 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:20



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว