กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 01-10-2009, 09:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์สอนนาค


สาธุโข ปัพพัชชา ติ

ณ บัดนี้อาตมภาพรับหน้าที่วิสัชชนาในปัพพัชชกถา เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญาบารมี เสริมสร้างกุศลบุญราศีของบรรดานาคทั้งหลาย ตลอดจนญาติโยมของบรรดานาคทั้งหลาย ที่พร้อมใจมารวมกันในงานอุปสมบท ณ วัดท่าขนุนแห่งนี้

พ่อนาคทั้งหลาย ที่ท่านได้ชื่อว่านาคนั้น ตามรากศัพท์กล่าวเอาไว้ว่า นาคะ แปลว่าผู้ประเสริฐก็ได้ คือ เป็นผู้ประเสริฐไปด้วยความดีความงามทั้งปวง แปลว่า ผู้เป็นใหญ่ก็ได้ คือ เป็นใหญ่ในการกระทำความดีด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ แปลว่าผู้ฝึกดีแล้วก็ได้ เพราะว่าเรามาฝึกหัดกาย วาจาและใจ ตลอดจนการกราบไหว้ การกล่าวคำขานนาคเหล่านี้ เป็นต้น

อีกนัยหนึ่งโบราณท่านกล่าวไว้ว่า คำว่านาคนั้นมีพื้นฐานมาจาก ในครั้งหนึ่งพญานาคได้เนรมิตกายเป็นมนุษย์ เพื่อมาบวชในพระพุทธศาสนา แต่ว่านาคนั้นต่อให้เนรมิตบิดเบือนกายอย่างไรก็ตาม ในวาระต่าง ๆ หลายวาระด้วยกัน อย่างเช่นเวลานอนหลับก็ดี เวลากำลังมีคู่ผสมพันธุ์กันอยู่ก็ดี ในเวลาที่ตายลงก็ดี จะกลับคืนเพศเป็นนาคตามเดิม ดังนั้น..ภิกษุที่เป็นพญานาค เมื่อท่านหลับแล้วเผลอสติ คลายฤทธิ์ออกมา ทำให้กลายเป็นงูใหญ่อยู่ในกุฏิ สร้างความตกใจให้แก่เพื่อนพระภิกษุด้วยกัน จึงไปกราบทูลฟ้องพระพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพอทราบเหตุ ก็ขอให้นาคนั้นได้สึกหาลาเพศไปเสีย เพราะเป็นสัตว์เดรัจฉาน ถึงบวชไปโอกาสจะเข้าถึงมรรคผลก็ไม่มี พญานาคนั้นมีความเสียใจเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ทูลขอพรไว้ว่า เนื่องจากตนเองตั้งใจบวชด้วยศรัทธาจริง ๆ เมื่อไม่มีโอกาสได้บวช ก็ขอให้มีเครื่องระลึกถึงในพิธีกรรมการบวชสักส่วนหนึ่ง ก็คือว่าให้บรรดาผู้ที่เข้ามาบวชนั้น ในระหว่างที่ฝึกตนอยู่ให้เรียกว่านาค เพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงตนบ้าง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระพุทธานุญาตตามนั้น เรื่องนี้เล่าสืบ ๆ กันมา เนื้อหาความเป็นจริงจะเป็นอย่างไร ไม่ได้มียืนยันไว้ในพระไตรปิฎก เพียงแต่ว่ากล่าวต่อ ๆ กันมาเท่านั้น

บรรดาพ่อนาคทั้งหลาย ตอนนี้ท่านทั้งหลายประกอบไปด้วยโอกาสอันดีงามที่จะบรรพชาหรือบวชได้ ด้วยว่าตัวท่านได้ถือเพศเป็นมนุษย์ เกิดในดินแดนของพระพุทธศาสนา เป็นผู้ประกอบไปด้วยอวัยวะครบถ้วน ๓๒ ประการไม่มีบกพร่อง เป็นผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนา ตั้งใจจะเข้ามาบวชเพื่อที่จะถือศีลปฏิบัติธรรม ให้สมกับที่เกิดมาชาติหนึ่งเป็นลูกผู้ชาย บัดนี้..ท่านทั้งหลายประกอบไปด้วยโอกาสอันดีงามนี้แล้ว เมื่อบวชเข้าไปก็ขอให้ตั้งใจปฏิบัติตามคำสอนของอุปัชฌาย์อาจารย์ เพื่อที่จะได้สร้างสมบุญกุศลของตนให้มากยิ่ง ๆ ขึ้นไป

เนื่องจากว่าในเพศของความเป็นพระภิกษุนั้น ประกอบด้วยศีลมากถึง ๒๒๗ ข้อ ระมัดระวังรักษาได้โดยยาก ในขณะที่เป็นฆราวาสหลายท่านที่มีศีล ๕ ข้อเป็นสมบัติ ยังไม่สามารถที่จะรักษาให้ครบถ้วนสมบูรณ์ได้ มีขาดบ้าง บกพร่องบ้างเป็นปกติ ยิ่งมารักษาศีล ๒๒๗ ข้อ ย่อมต้องมีข้อบกพร่องเป็นธรรมดา การที่เรามีข้อบกพร่อง ก็แปลว่าเกิดโทษขึ้นกับตนเอง กุศลที่พึงได้ก็มีอันบกพร่องไปเช่นกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-07-2010 เมื่อ 17:39
สมาชิก 101 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 01-10-2009, 16:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..เราทั้งหลายจึงต้องระมัดระวัง รักษาสิกขาบททั้ง ๒๒๗ ข้อให้เคร่งครัด เราถึงจะได้เป็นพระสงฆ์ในบวรพุทธศาสนาอย่างแท้จริง แม้จะเรียกว่าพระสงฆ์ก็ตาม ก็ยังเป็นเพียงสมมติสงฆ์เท่านั้น ถ้าจะเข้าถึงความเป็นสงฆ์จริง ๆ อย่างน้อยเราต้องปฏิบัติตนให้เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน

การเป็นพระโสดาบันนั้น จริง ๆ แล้ว ถ้าเป็นฆราวาสเป็นได้ไม่ยาก เพราะว่าพระโสดาบันนั้น
๑. มีความเคารพในพระพุทธเจ้าจริง ๆ
๒. มีความเคารพในพระธรรมจริง ๆ
๓. มีความเคารพในพระสงฆ์จริง ๆ คำว่าเคารพในที่นี้คือเคารพด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ไม่ล่วงเกินทั้งต่อหน้าและลับหลัง
๔. เป็นผู้มีศีลทุกสิกขาบทบริสุทธิ์ จึงได้กล่าวว่าฆราวาสเป็นง่ายกว่าเพราะมีศีลแค่ ๕ หรือ ๘ ข้อ แต่ว่าในความเป็นพระนั้นมีศีลถึง ๒๒๗ ข้อ ระมัดระวังรักษายากกว่ามาก
๕. พระโสดาบันมีความรู้สึกตัวอยู่เสมอว่า ชีวิตนี้ก้าวเข้าไปหาความตายอยู่ตลอดเวลา เราเกิดมาแล้วต้องตายแน่นอน ถ้าหากว่าตายแล้วขอไปที่เดียวคือพระนิพพานเท่านั้น จะไม่มีการคลอนแคลนไปสู่สถานที่อื่นอีก


ถ้าหากว่ากำลังใจของเรามั่นคงอย่างนี้ เราก็สามารถเป็นพระโสดาบันอย่างหยาบที่สุด ที่เรียกว่าสัตตักขัตตุปรมะได้ แปลว่าถ้าหากเราต้องมาเกิด ก็เกิดอีกเพียง ๗ ชาติเท่านั้น

ถ้ากำลังใจเราละเอียดขึ้นไป ก็เป็นพระโสดาบันระดับกลางที่เรียกว่า โกลังโกละ แปลว่า จากตระกูลไปสู่ตระกูล คือ จากความเป็นมนุษย์ไปสู่ความเป็นเทวดา จากเทวดาลงมาเกิดเป็นมนุษย์อีกทีหนึ่ง พอตายแล้วเข้าสู่พระนิพพานจึงเรียกว่า จากตระกูลไปสู่ตระกูล คือเกิดเป็นคนสองครั้ง เป็นเทวดา ๑ ครั้งเท่านั้น

ถ้าหากว่าจิตใจละเอียดมากก็เป็นพระโสดาบันระดับสูงสุด เรียกว่า เอกพีชี แปลว่าผู้มีพืชอันเดียว ก็คือ เกิดครั้งเดียวก็เข้าสู่พระนิพพานเลย หมายความว่าตายจากความเป็นมนุษย์ไปสู่เทวดา เป็นนางฟ้าหรือเป็นพรหมอยู่ข้างบน แล้วก็บรรลุอรหัตผลเข้าสู่พระนิพพานไปเลย

พ่อนาคทั้งหลายเมื่อบวชเข้ามาแล้ว ขอให้ตั้งความปรารถนาสูงสุดไว้เลยว่า เราตั้งใจบวชเพื่อมรรคผลนิพพาน ถ้าหากไม่สามารถเข้าสู่มรรคผลนิพพานได้ เราก็ตั้งหน้าตั้งตาทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะพึงได้ เนื่องจากความเป็นพระเป็นเณรของเรานั้น มีศีลรักษามากกว่าฆราวาส การรักษาระวังยากกว่า แต่ถ้ารักษาได้ อานิสงส์ก็ได้มากกว่าเป็นแสนเท่า ดังนั้น..การที่เราบวชเข้ามาในช่วงระยะเวลา ๑ พรรษานี้ ขอให้ทุกคนถือเป็นโอกาสทองในชีวิต ที่เราจะได้สร้างสมกุศลบุญราศีของเราไว้ การสั่งสมบุญกุศลนั้นจะนำพาเราไปความสุขโดยสถานเดียว ดังมีพระบาลีเป็นหลักฐานว่า สุโข ปุญฺญสฺส อุจฺจโย การสั่งสมบุญย่อมนำมาซึ่งความสุข
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-07-2010 เมื่อ 17:34
สมาชิก 93 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 02-10-2009, 09:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในชีวิตของฆราวาสเราอาจจะสร้างบุญกุศลเป็นสิบครั้ง เป็นร้อยครั้ง เป็นพันครั้ง แต่ว่าการที่เราเป็นพระ เราสร้างบุญกุศลครั้งหนึ่งก็ได้บุญกุศลเท่ากับการเป็นฆราวาสทำเป็นหมื่นเป็นแสนครั้ง เนื่องจากว่าเราต้องเป็นผู้ถือกติกามากกว่าเขาเป็นจำนวนมาก อานิสงส์ที่จะพึงได้จึงมีมากกว่า ถ้าเราพึงฉวยโอกาสนี้ของเรา สร้างสมบุญกุศลให้มากเข้าไว้ ถ้าหากสึกหาลาเพศไป กุศลบุญราศีส่วนนี้ ก็จะนำพาท่านทั้งหลายให้มีความสุขความเจริญ มีความรุ่งเรืองในชีวิตตลอดจนหน้าที่การงาน ถ้าหากว่าท่านบวชต่อไป แล้วระมัดระวังสิกขาบทเหล่านี้เอาไว้ได้ ท่านทั้งหลายก็จะเป็นผู้เจริญในบวรพุทธศาสนา เป็นธรรมทายาท เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นผู้ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงฝากศาสนาเอาไว้

ดังนั้น..จึงขอให้พ่อนาคทั้งหลายสังวรระวังไว้ว่า เมื่อเราเป็นพระแล้ว สมบัติของเราคือศีล ๒๒๗ ข้อ สมบัตินี้ "พ่อ" คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมอบไว้ให้แก่เรา เป็นสิ่งที่พึงหวงแหน พึงระวังรักษาเอาไว้ยิ่งกว่าชีวิต เราเองจะสามารถทรงความเป็นพระได้หรือไม่ได้ก็อยู่ที่ศีลนี่เอง เมื่อเราบวชเป็นพระ หลายท่านอาจจะสงสัยว่า เรามีความดีอะไร พ่อแม่จึงมากราบมาไหว้เรา

ก็เพราะว่าเรามีความดีคือศีล ๒๒๗ ข้อ เนื่องจากว่าในเรื่องของวัยวุฒิคืออายุ พ่อแม่ก็แก่กว่า ขณะเดียวกันเป็นผู้คลอดเรามา เลี้ยงเรามาแท้ ๆ ในเรื่องของคุณวุฒิทางโลก ประสบการณ์ทางโลก ประสบการณ์ของพ่อแม่ก็มากกว่า เราสู้ท่านไม่ได้เลย แต่เมื่อเราเข้ามาบวชเป็นองค์พระแล้ว พ่อแม่มากราบมาไหว้ ก็เพราะเรามีสมบัติวิเศษ คือศีล ๒๒๗ ข้อ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามอบไว้ให้ตั้งแต่สองพันกว่าปีมาแล้ว ใครสามารถระวังสิกขาบทให้บกพร่องน้อยเท่าไร เราก็คงความเป็นพระได้สมบูรณ์เท่านั้น ถ้าไม่บกพร่องได้เลยยิ่งดี

แต่ถ้าบกพร่องเมื่อไรให้รีบแสดงคืนอาบัติ แล้วตั้งใจระวังรักษาเอาไว้ให้สมบูรณ์บริบูรณ์ แต่ว่าอาบัติใหญ่ ๑๗ ข้อ คือ ปาราชิก ๔ ข้อ ตลอดจนสังฆาทิเสสอีก ๑๓ ข้อ อย่าให้ต้องเลยเป็นอันขาด เนื่องจากปาราชิกนั้น ถ้าหากโดนแล้วขาดจากความเป็นพระไปเลย เราลักขโมยของราคาหนึ่งบาทขึ้นไป เรามีเมียมีลูก เราเป็นผู้อวดอุตริมนุสสธรรม คือ ธรรมอันยิ่งที่ไม่มีในตน และท้ายสุดเราฆ่ามนุษย์ให้ตาย สี่ข้อนี่ทำเมื่อไร เราขาดจากความเป็นพระทันที ไม่สามารถที่จะเป็นพระได้อีก ห่มผ้าเหลืองอยู่ก็ไม่ใช่พระ สึกจากผ้าเหลืองไปแล้ว ถึงเข้ามาบวชใหม่ก็ไม่ใช่พระ

ในส่วนของสังฆาทิเสส ๑๓ ข้อนั้น ถ้าหากว่าต้องเข้าแล้ว จะต้องแก้ไขโดยคณะสงฆ์เท่านั้น คือต้องไปสารภาพในท่ามกลางสงฆ์ ว่าตนเองต้องอาบัติดังนี้ สงฆ์ทั้งหลายก็จะกำหนดบริเวณให้เราอยู่ เรียกว่า การอยู่ปริวาส เปรียบเสมือนการติดคุก ต้องมาแสดงตนต่อสงฆ์ทุกวัน จนกระทั่งครบถ้วนสมบูรณ์ตามเวลาที่เราได้ละเมิดศีล แล้วจึงเก็บมานัตต์ จากนั้นท้ายสุดให้คณะสงฆ์ ๒๑ รูปสวดยกเราขึ้นเป็นพระใหม่ จึงจะได้กลับเป็นพระได้อีกครั้งหนึ่ง ดังนั้น..โดยเรื่องของอาบัติ ปาราชิกก็ดี สังฆาทิเสสก็ดี โดนแล้วแก้ไขไม่ได้ และโดนแล้วแก้ไขได้ยาก ขอให้ทุกคนระมัดระวังรักษาให้เต็มที่ อย่าให้พลาดเป็นอันขาด

อาบัติอื่นนั้นเกิดจากศีลต่าง ๆ จำนวนมากข้อด้วยกัน ถ้าหากเราสติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์บริบูรณ์ โอกาสที่จะผิดพลาดได้ย่อมมีอยู่ ท่านทั้งหลายที่โดนอาบัติในส่วนที่เป็นอาบัติเล็กน้อย ก็ให้ตั้งใจแสดงคืนอาบัติเสียทุกวัน อย่าให้ข้ามวันไปได้ ไม่เช่นนั้นแล้วถ้าเกิดท่านตายภายในคืนนั้น ก็จะต้องตกสู่อบายภูมิ ได้รับทุกข์รับโทษอันหนัก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-07-2010 เมื่อ 17:31
สมาชิก 89 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 02-10-2009, 09:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าหากพ่อนาคทั้งหลายสามารถรักษาศีลได้โดยบริสุทธิ์บริบูรณ์ ตัวเราเป็นผู้ที่สมบูรณ์ด้วยสีลสุตาธิคุณแล้วไซร้ บุญกุศลอันยิ่งใหญ่ก็เกิดขึ้นแก่ตน ท่านกล่าวเอาไว้ว่าถ้าหากเราตายไปได้เกิดเป็นพรหมเทวดา จะเป็นพรหมเทวดาอยู่ได้ถึง ๖๐ กัป ผู้ที่เป็นพ่อเป็นแม่ก็จะมีส่วนในบุญกุศลนั้น คือ สามารถได้รับอานิสงส์ ๓๐ กัป ผู้ที่ร่วมเป็นเจ้าภาพก็มีส่วนในอานิสงส์นั้นได้รับไป ๑๕ กัป ผู้ที่ร่วมในการช่วยงานบวชของเราให้บรรลุล่วงไปด้วยดี ก็มีส่วนในบุญกุศลนั้นก็ได้รับไป ๘ กัป ถ้าหากว่าบวชหลายรูปก็คูณเข้าไปตามจำนวนที่มีอยู่ รวม ๆ แล้วมากกว่าผู้บวชเองเสียอีก เป็นต้น

ดังนั้นท่านทั้งหลายจำเป็นจะต้องรักษาสิกขาบททั้งหลายให้บริสุทธิ์ อันดับแรกเพื่อตนเอง อันดับสองเพื่อญาติโยมทั้งหลายที่ให้การอนุเคราะห์ สงเคราะห์ร่วมในงานบวชของเรา โดยเฉพาะผู้เป็นพ่อเป็นแม่ และอันดับสุดท้ายเพื่อจะได้เป็นพระภิกษุสงฆ์ที่ดี จรรโลงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบไปในเบื้องหน้า

อาตมภาพแสดงพระธรรมเทศนามาก็พอสมควรแก่เวลา ท้ายสุดแห่งพระธรรมเทศนา อาตมภาพขอตั้งสัตยาธิษฐานอ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพุทธรัตนะ ธัมมะรัตนะ แลสังฆรัตนะเป็นประธาน โดยมีบารมีธรรมของหลวงปู่สาย อคฺควํโส วัดท่าขนุนนี้เป็นที่สุด

ขอให้ได้โปรดดลบันดาลให้พ่อนาคทั้งหลาย เป็นผู้ที่อยู่สุข อยู่เย็นในบวรพุทธศาสนา เป็นผู้ที่สามารถเสริมสร้างสีลสุตาธิคุณให้เจริญรุ่งเรือง ให้เป็นที่เลื่อมใสแก่ญาติโยมทั้งหลาย ท้ายสุดให้เป็นผู้ที่สามารถจรรโลงพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบไปได้ครบถ้วนห้าพันปี

และขอให้พรทั้งหลายอันประเสริฐซึ่งประกอบไปด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง ๔ ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ตลอดจน ธนสาร ธรรมสาร คุณสารสมบัติอันเป็นที่พึงใจทั้งปวง จงมีแก่บรรดาญาติโยมของพ่อนาคทั้งหลาย ที่พร้อมใจกันมาเป็นเจ้าภาพร่วมบวชนาคในครั้งนี้โดยถ้วนหน้ากัน ทุกท่านทุกคนเทอญ

อาตมภาพแสดงพระธรรมเทศนามาก็พอสมควรแก่เวลา จึงขอสมมติยุติพระธรรมเทศนาลงคงไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์สอนนาค ณ ศาลาวัดท่าขนุน
คืนวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๒
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-11-2010 เมื่อ 19:19
สมาชิก 101 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด

Tags
นาค, บวช, ปริวาส, มานัตต์


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:58



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว