กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 21-04-2017, 13:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,179 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๘ เมษายน ๒๕๖๐

ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติหรือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกของเราไหลตามลมหายใจออกมา ให้ใช้คำภาวนาที่มีความถนัด มีความคล่องตัวมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ จากวันนี้มีหลายท่านที่ถามคำถาม ทำให้เห็นได้อย่างหนึ่งว่า ท่านทั้งหลายเหล่านั้นกำลังเสียเวลาเปล่า เพราะตีความคำว่าศึกษาของพระพุทธเจ้าผิด

พระพุทธเจ้าให้เราศึกษา ๓ อย่าง เรียกว่า ไตรสิกขา ประกอบไปด้วย สีลสิกขา ศึกษาในศีล จิตสิกขา ศึกษาในสมาธิ ปัญญาสิกขา ศึกษาในเรื่องของปัญญา การศึกษานั้นคือลงมือทำ ไม่ใช่ไปอ่านตำราแล้วรู้ได้ อ่านตำราแล้วรู้เป็นแค่สุตมยปัญญา ก็คือสิ่งที่เกิดจากการฟังการอ่าน ยังต้องมาขบคิดเพื่อให้เกิดความเข้าใจ เรียกว่าจินตมยปัญญา สำคัญที่สุดคือเราต้องทำให้เกิดผลเรียกว่า ภาวนามยปัญญา

ฉะนั้น...ในการศึกษาจึงไม่ใช่อ่านตำราไปเรื่อย ๆ อ่านตำราไปมาก ๆ แล้วจะสามารถเข้าถึงมรรคถึงผลได้ ตำราเป็นเพียงแผนที่นำทางเราเท่านั้น ถ้าหากว่าเรายึดติดในตำราในแผนที่ จะมีผลเสียมากกว่าผลดี เพราะความสงสัยจะมีมาก

อย่างเช่นว่า ถนนที่ผ่านหน้าบ้าน ในแผนที่จะเป็นเส้นขีดยาว ๆ เท่านั้น พอเราเดินทางไปก็จะสงสัยว่าทำไมไม่เป็นเส้นขีดยาว ๆ แบบในแผนที่ ทำไมต้องมีทางรถไฟฟ้า ทำไมต้องมีห้างสรรพสินค้า ทำไมต้องมีเรือนชานบ้านช่อง มัวแต่สงสัยอยู่ไม่ได้ลงมือปฏิบัติจริง ก็สูญเสียโอกาสที่เราจะได้มรรคได้ผลไปอย่างน่าเสียดาย โดยเฉพาะกำลังใจของท่านทั้งหลายนั้น สามารถเข้าถึงมรรคถึงผลได้อยู่แล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-04-2017 เมื่อ 17:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 21-04-2017, 13:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,179 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ทำไมถึงกล่าวเช่นนั้น ก็เพราะว่าท่านทั้งหลายมีสติสมาธิเพียงพอ แต่ขาดปัญญา รู้ได้อย่างไรว่าสติสมาธิเพียงพอ ? ก็ดูจากเวลาเราโกรธคนอื่น สมมติว่าเราไม่ชอบใจเพื่อนของเราคนหนึ่ง เมื่อเพื่อนคนนั้นมาพูดด้วย เราก็ระลึกได้ทันทีว่าเราโกรธเพื่อนคนนี้ เพราะฉะนั้นเราจะไม่พูดด้วย นั่นคือเรามีสติสมบูรณ์ รู้ว่าเราโกรธเพื่อนคนนี้ รู้ว่าเราต้องไม่พูดด้วย แต่เราใช้ในทางที่ผิด กลายเป็นมิจฉาสมาธิไป

ทุกครั้งที่เพื่อนคนนี้มาพูดกับเรา ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพไหน จะกินจะนอน จะทำงานหกคะเมนตีลังกาอย่างไร เราจะมีสติรู้ตัวทันทีว่าเราจะไม่พูดด้วย นั่นก็แสดงว่าสติของเราจริง ๆ แล้วสมบูรณ์มาก แต่เอาไปใช้ในด้านที่ผิด ทำอย่างไรที่เราจะมีสติระลึกรู้อยู่เสมอว่าเราจะละ รัก โลภ โกรธ หลง จากใจของเรา แค่เราเปลี่ยนมุมเท่านั้น กำลังของเราก็เพียงพอที่จะถึงมรรคถึงผลได้แล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-04-2017 เมื่อ 17:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 22-04-2017, 14:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,179 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เอาสตินั้นมาระลึกรู้ว่า เราต้องรักษาศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ เราจะไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล เราจะรักษาสมาธิภาวนาของเราอยู่เฉพาะหน้า สติจะจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออกนี้ จะไม่ไหลไปสู่ รัก โลภ โกรธ หลง ไม่ส่งใจไปทั้งในอดีตและอนาคต เราจะอยู่กับปัจจุบันเฉพาะตรงหน้า อยู่กับลมหายใจเข้าออกนี้เท่านั้น

ท้ายสุดมีสติระลึกรู้อยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย ชีวิตนี้ต้องตายลงไปแน่นอน ถ้าตายแล้วขึ้นชื่อว่าการเกิดใหม่มามีความทุกข์เช่นนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก เราต้องการที่เดียวคือพระนิพพาน

ถ้าสติของเราสามารถจดจ่อปักมั่นอยู่แค่นี้ สมาธิย่อมเกิดขึ้น ปัญญาก็จะตามมาว่าในส่วนของ รัก โลภ โกรธ หลง เราไม่ควรที่จะไปแตะต้อง เราควรที่จะเกาะศีล เกาะสมาธิ เกาะปัญญา เกาะพระนิพพาน ปล่อยวางซึ่งร่างกายนี้ เมื่อท่านทั้งหลายทำอย่างนี้ การปฏิบัติของเราจึงจะมีผลก้าวหน้าให้เห็นได้

ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านภาวนาพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันเสาร์ที่ ๘ เมษายน ๒๕๖๐

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้า)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-04-2017 เมื่อ 02:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:30



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว