กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 25-08-2016, 08:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๙

ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกทั้งหมดของเราเอาไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกของเราไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๗ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ตามที่เด็กหญิงนาตาลีถามว่าพระนิพพานคืออะไร ? ความจริงคำนี้ไม่สามารถที่จะอธิบายเป็นภาษามนุษย์ได้ เพราะว่าเป็นสภาวธรรมที่เข้าถึงด้วยจิตทั้งนั้น ต้องบอกว่าเป็นวิมุตติ ที่พ้นจากสมมุติทั้งปวงไปแล้ว

สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เรายังเรียกได้ ยังอธิบายถึงได้ด้วยถ้อยคำที่เราสมมุติขึ้นมา เพื่อให้เข้าใจว่าสิ่งนั้น ๆ มีสภาพเป็นอย่างไร แต่ว่าพระนิพพานเป็นวิมุตติ เป็นส่วนที่เข้าถึงด้วยสภาพจิตที่พ้นกิเลสเท่านั้น จึงไม่สามารถที่จะอธิบายเป็นภาษามนุษย์ที่ชัดเจนได้ เพราะว่าในเรื่องสภาวธรรมนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นปัตจัตตัง คือผู้ที่ปฏิบัติจะรู้เป็นการเฉพาะตน ไม่สามารถที่จะอธิบายเป็นคำพูดหรือตัวหนังสือให้ละเอียดได้เท่ากับสภาพใจที่สัมผัส

แม้กระทั่งในส่วนของโลกียสุขก็คือสุขในการทรงฌานนั้น ยังไม่สามารถที่จะอธิบายเป็นคำพูดได้ว่าสุขนั้นคืออะไร
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-08-2016 เมื่อ 14:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 48 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 25-08-2016, 08:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อาตมาเคยสมมุติว่า ปกติคนเราโดนไฟใหญ่ ๔ กอง คือ รัก โลภ โกรธ หลง เผาอยู่ตลอดเวลา อยู่ ๆ ไฟทั้ง ๔ กองดับลง เรามีความสุขสบายแบบไหนสามารถบอกเป็นคำพูดได้หรือไม่ ? ก็ไม่มีใครสามารถที่จะอธิบายเป็นคำพูดแม้แต่คนเดียว เพราะว่าคำอธิบายทั้งหมดก็ยังอยู่ในสภาพสมมุติเท่านั้น แล้วถ้าอย่างนั้นพระนิพพานนั้นจะเข้าถึงได้อย่างไร ? เราก็ต้องเกาะสมมุติไปก่อน เพราะว่าถ้าเราไม่เกาะ เราก็ไม่มีอะไรให้ปล่อยวาง

การเกาะสมมุตินั้น ก็คือ ยึดในเรื่องของศีล ของสมาธิ ของปัญญา ปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญาในลักษณะอย่างไร ? ก็คือ รักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล ทำความเคารพใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแน่นแฟ้นจริงใจ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

ตั้งใจจับภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าภาพใดภาพหนึ่งให้เป็นปกติ ว่านั่นก็คือภาพแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งอยู่บนพระนิพพาน เราเห็นพระองค์ท่านคือเราอยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ท่าน เราอยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน

ในการกำหนดสมมุติลักษณะอย่างนี้ ถ้าเราทำไปเรื่อย ๆ ความเข้มข้นของกำลังใจมีมากเข้า ๆ ก็ก้าวล่วง รัก โลภ โกรธ หลง ไปได้ เหมือนอย่างกับเราอาศัยเกาะราวบันไดแล้วเดินขึ้นบันไดไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งท้ายสุดบันไดนั้นก็จะหมดไปสักวันหนึ่ง เมื่อถึงเวลาเราก้าวพ้นแล้ว จากบันไดเข้าไปสู่ห้องชั้นบน เราก็ไม่ได้แบกบันไดตามไปด้วย บางท่านก็ไม่รู้เสียด้วยซ้ำไปว่าตนเองปล่อยราวบันไดตอนไหน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-06-2019 เมื่อ 17:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 49 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 25-08-2016, 08:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในส่วนที่ว่ามานี้ ถ้าเราเปรียบกับพระนิพพานก็คือเราต้องเกาะเสียก่อน จนกระทั่งกำลังใจเต็มก็จะปล่อยเองโดยอัตโนมัติ ในเมื่อเราปล่อยแล้วเราจะเข้าถึงพระนิพพานอย่างไร ? เราปล่อยเมื่อไร สภาพจิตของเราไม่ยึดเกาะสิ่งหนึ่งสิ่งใด สภาพของการล่วงพ้นจากกิเลสจะปรากฏชัดขึ้นในจิตในใจของเรา เต็มอยู่ในจิตในใจของเรา เราจะรู้ตัวทันทีว่าถ้าเราตายตอนนี้คือไปพระนิพพานตอนนี้ พระนิพพานไม่ได้อยู่ที่ไหนไกลเลย อยู่ภายในจิตในใจของเรานี่เอง เพียงแต่เป็นจิตใจที่ปล่อยวางจาก รัก โลภ โกรธ หลง ไม่มีการปรุงแต่งให้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้นได้อีก

ดังนั้น...พวกเราทุกคนก็ควรจะยึดหลักที่ว่า เอาศีล สมาธิ ปัญญาเป็นบันได เพื่อให้เราก้าวล่วงพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน

ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๙

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย รัตนาวุธ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-08-2016 เมื่อ 14:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 49 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:48



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว