กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 23-11-2018, 23:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๑

ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๑ เมื่อวานได้กล่าวถึงการปฏิบัติในอานาปานสติควบกับพุทธานุสติ วันนี้เราก็ยังคงใช้อานาปานสติเป็นหลัก เพราะว่าอานาปานสติหรือการระลึกถึงลมหายใจเข้าออกนั้น เป็นพื้นฐานใหญ่ของกองกรรมฐานทั้งปวง กรรมฐานทั้งหมดถ้าไม่มีอานาปานสติประกอบ ก็ไม่สามารถที่จะปฏิบัติให้เข้าถึงได้อย่างแท้จริง

การที่เราใช้อานาปานสตินั้น สามารถทำให้สมาธิของเราเข้าถึงระดับอัปปนาสมาธิ คือทรงเป็นฌานตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไปได้ คราวนี้ในเมื่อเราใช้อานาปานสติควบกับพุทธานุสติแล้ว เมื่ออารมณ์ใจทรงตัวสูงสุดก็คือ สามารถเห็นภาพพระได้ชัดเจนแจ่มใส สว่างไสวเหมือนพระอาทิตย์ยามเที่ยง อธิษฐานให้เล็กก็ได้ ให้ใหญ่ก็ได้ ให้หายไปก็ได้ ให้กลับมาก็ได้ จึงถือว่าเราเข้าถึงอานาปานสติในพุทธานุสติเต็มระดับ เราจะใช้เป็นทิพจักขุญาณก็อธิษฐานเอาตามอัธยาศัย เมื่อซักซ้อมจนมีความคล่องตัวแล้ว ก็เปลี่ยนกองกรรมฐาน มาจับธัมมานุสติแทน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-11-2018 เมื่อ 03:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 23-11-2018, 23:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การจับในธัมมานุสตินั้น เราจำเป็นที่จะต้องกำหนดภาพในลักษณะของกสิณเข้ามาควบด้วยเช่นกัน ก็คือหายใจเข้าหายใจออกภาวนาว่า "ธัมโม...ธัมโม" ขณะเดียวกันก็นึกถึงภาพพระไตรปิฎกก็ได้ พระไตรปิฎกในที่นี้ ถ้าจะให้ดีให้นึกถึงแบบโบราณ คือที่เป็นลักษณะของแผ่นพับ ที่เรียกกว่าสมุดไทย หรือพับสา ถ้านึกถึงลักษณะนั้นเรารู้สึกว่าแห้งแล้งไร้รสชาติ ก็นึกว่าเรากำลังพลิกเปิดหน้าสมุดไทยทีละหน้า ๆ ภาวนาว่า "ธัมโม" ครั้งหนึ่งก็เปิดไปหน้าหนึ่ง

ถ้าลักษณะอย่างนี้จิตจะมีงานทำ ก็ไม่รู้สึกว่าเบื่อหน่าย เราเองอาจจะงอนิ้วนับไปด้วย ว่า "ธัมโม" ครั้งที่ ๑ "ธัมโม" ครั้งที่ ๒ เปิดสมุดไทยพระไตรปิฎกหน้าที่ ๑ เปิดสมุดไทยพระไตรปิฎกหน้าที่ ๒ เป็นต้น

อีกแนวทางหนึ่งโบราณาจารย์สอนเอาไว้ คือ ให้กำหนดภาพในพุทธานุสติ คือภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาก่อน หลังจากนั้นก็กำหนดให้มีดอกมะลิทองคำ หลั่งไหลจากพระโอษฐ์ของพระองค์ท่าน ลงมาเป็นสายทีละดอก ๆ ว่านั่นคือธรรมะที่พระองค์ท่านเทศนาสั่งสอนต่อพวกเรา ดอกมะลิทองคำนั้นให้ไหลตกลงมาบนพานทองคำ ที่วางอยู่เบื้องหน้าขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถ้าเราไม่ชอบดอกมะลิ จะเปลี่ยนเป็นดอกบัว ดอกพิกุลอะไรก็ได้ ถึงเวลาภาวนา "ธัมโม" ก็ลอยลงมาหนึ่งดอก ตกลงสู่พานทองคำเบื้องหน้า "ธัมโม" ดอกที่ ๒ ลอยตามลงมา ตามลงมา "ธัมโม" ดอกที่ ๓ ลอยตามลงมา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-11-2018 เมื่อ 03:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 23-11-2018, 23:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แรก ๆ อย่าไปเอาความชัดเจนเช่นเดียวกัน แต่ถ้าหากว่าท่านผ่านพุทธานุสติมาแล้ว ไม่กี่นาทีภาพก็จะปรากฏชัดเจนอยู่เบื้องหน้า และเป็นสีแก้วประกายพรึกไป แต่ถ้าไม่เคยผ่านในพุทธานุสติมาก่อน ภาพที่เป็นดอกไม้ทองคำของเราก็จะมีสีจางลง จากสีทองแพรวพราวที่เรานึกได้ ก็จะจางลงเป็นสีเหลือง เป็นสีเหลืองอ่อน เป็นสีขาว ค่อย ๆ ใสเป็นแก้วขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามระดับสมาธิที่ลึกเข้าไป จนกระทั่งเป็นแก้วแพรวพราวหมดทั้งสายที่ไหลเลื่อนลงมาอยู่ในพาน ก็เท่ากับว่าเราทรงอารมณ์ในธัมมานุสติเป็นอัปปนาสมาธิแล้ว

ให้ทดลองขยายภาพดอกมะลิและพานแก้วนั้น ให้ใหญ่ขึ้นหรือเล็กลงดู ถ้าสามารถขยายให้ใหญ่เล็กได้ตามที่เราอธิษฐาน กำหนดให้หายไปก็ได้ กำหนดให้มาเมื่อไรก็ได้ หรือกำหนดเปลี่ยนสีดอกมะลินั้นดูก็ได้ ถ้าทำได้คล่องตัวก็แปลว่าเราทรงฌานในธัมมานุสติเต็มระดับอย่างแท้จริง

ซึ่งตรงจุดนี้เราจะได้พุทธานุสติไปด้วย ก็คือภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่กำลังทรงแสดงธรรมเป็นดอกมะลิแก้วหลั่งไหลลงมา ถ้าเราควบต่อไปว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย นอกจากอยู่บนพระนิพพาน เราก็จะได้อุปสมานุสสติ คือการระลึกถึงความสงบระงับจากกิเลสบนพระนิพพานไปด้วย

เราตั้งใจไว้ว่าเราเห็นพระองค์ท่าน เท่ากับเราอยู่ใกล้พระองค์ท่าน เราอยู่ใกล้พระองค์ท่าน ก็คือเราอยู่บนพระนิพพาน แล้วก็รักษากำลังใจของเราในพุทธานุสติควบธัมมานุสติ ควบอุปสมานุสติดังนี้เอาไว้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-11-2018 เมื่อ 04:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 24-11-2018, 22:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าสามารถรักษาได้ต่อเนื่องยาวนานเท่าไร กำลังใจของเราก็จะสะอาดผ่องใสจากกิเลสได้มากเท่านั้น ถ้าเห็นว่าดอกมะลิที่ลอยลงมา ตอนแรกก็อยู่สูง เลื่อยลอยลงมาอยู่ระดับกลาง ท้ายสุดตกลงไปสู่พาน นี่เป็นความไม่เที่ยงอย่างหนึ่ง แล้วขณะเดียวกัน การที่เราต้องคอยกำหนดจิต กำหนดดู กำหนดรู้ภาพดอกมะลินั้น พร้อมกับกำหนดลมหายใจพร้อมกับคำภาวนา เป็นความยากเป็นความลำบาก นี่คือความทุกข์

และท้ายที่สุดดอกมะลิก็มีการเปลี่ยนแปลง จากสีทองเป็นสีเหลือง จากสีเหลืองเป็นสีขาว จากสีขาวเปลี่ยนเป็นแก้ว หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ ยึดถือมั่นหมายเป็นตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ สภาพของพระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงชัดเช่นนี้ สภาพตัวเราก็ไม่เที่ยงอย่างชัดเจนเช่นนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีสภาพร่างกายที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรยึดถือเป็นตัวตนเช่นนี้ จะไม่มีสำหรับเราอีก เราต้องการที่เดียวคือพระนิพพาน

แล้วรักษาอารมณ์ใจสุดท้ายเกาะพระนิพพานไว้ ถ้าสามารถทำได้ทั้งเช้าทั้งเย็นสักวันละ ๕ นาที ๑๐ นาที ถ้ากำลังใจมั่นคงจริง ๆ ตายเมื่อไรท่านจะเข้าสู่พระนิพพานได้ดังที่ปรารถนา

ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันเสาร์ที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๑

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย คะน้า)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-11-2018 เมื่อ 03:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:57



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว