กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 16-02-2011, 10:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,000 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐานวันเสาร์ที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔

ให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตน แล้วกำหนดความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกของเรา หายใจเข้าให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออกให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา พร้อมกับคำภาวนาหรือภาพพระที่เราชอบใจ

สำหรับวันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๕ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๔ เป็นการปฏิบัติธรรมต้นเดือนกุมภาพันธ์วันที่สองของพวกเรา สำหรับช่วงระยะนี้ สถานการณ์ของโลกก็ดี สถานการณ์ของประเทศของเราก็ดี ค่อนข้างจะเป็นไปในทางที่เลวร้าย

ประเทศอียิปต์ มีการจลาจลขับไล่ประธานาธิบดี มีการใช้กำลังของกลุ่มคนเข้าปะทะกัน มีคนบาดเจ็บล้มตาย ชายแดนของเราก็เกิดการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา มีทั้งผู้บาดเจ็บและตาย ในบ้านในเมืองของเรา ก็มีกลุ่มคนที่ทำการก่อหวอดเพื่อกดดันรัฐบาลให้ทำตามความต้องการของตน

ขณะเดียวกัน บรรดาข้าวของต่าง ๆ ก็ขึ้นราคาสูงมาก โดยเฉพาะในส่วนของน้ำมัน ทั้งน้ำมันสำหรับรถยนต์และน้ำมันที่ใช้ทำอาหารในครัวเรือน นอกจากขึ้นราคาแล้วยังขาดแคลนอีกต่างหาก แม้กระทั่งไข่ ก็ยังมีการให้ชั่งกิโลขาย..!

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่ว่ามา ไม่ได้ตำหนิการบริหารงานของรัฐบาล หากแต่จะยกเป็นตัวอย่างให้ทุกท่านได้เห็นว่า โลกของเรามีแต่ความทุกข์จริง ๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจนั้น หลักแรกของอริยสัจเลยก็คือ ความทุกข์ สิ่งที่ทนได้ยากของมนุษย์และสัตว์ทุกรูปทุกนาม

การที่เราดำเนินชีวิตอยู่ ตั้งแต่เกิดขึ้นมาจนกระทั่งสิ้นชีวิตลง ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน เราตกอยู่ในกองทุกข์ตลอดเวลา จะเป็นความทุกข์ที่เรียกว่าทุกข์กายก็ใช่ จะเป็นความโทมนัสหรือที่เรียกว่าทุกข์ใจก็ใช่

ทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้มีทั้งสภาวทุกข์ คือ ทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเราเป็นปกติ ถ้ามีร่างกายก็ต้องมีทุกข์ มีทั้งนิพัทธทุกข์ ทุกข์เนืองนิตย์ คือสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ๆ เช่นความหิวความกระหาย การปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ เป็นต้น มีทั้งปกิณกะทุกข์ ความทุกข์ต่าง ๆ ที่จรเข้ามาอยู่ตลอดเวลา อย่างเช่น กระทบกระทั่งสิ่งที่ไม่ชอบใจ มีความปรารถนาไม่สมหวังเป็นทุกข์ พลัดพรากจากของรักของชอบใจ เป็นต้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-02-2011 เมื่อ 03:07
สมาชิก 63 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 17-02-2011, 10:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,000 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้มีอยู่กับร่างกายนี้ตลอดเวลา เมื่อเราคือจิตหรืออทิสมานกายที่สร้างบุญสร้างกรรมเอาไว้ตามวาระ ได้มาอาศัยอยู่ในร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์นี้ ถ้าหากว่าสติ สมาธิ และปัญญาของเราไม่เพียงพอ เราก็จะไปยึดว่าทุกข์นี้คือเรา แล้วก็ต้องแบกทุกข์หาบทุกข์ด้วยความรู้สึกว่า หนักหน่วง ยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง

แต่ถ้าเรามีปัญญาพอจะเห็นว่า ทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้เป็นของสภาพร่างกายเท่านั้น หาได้เกี่ยวข้องกับจิตใจของเราไม่ การเกิดมามีสภาพร่างกายเยี่ยงนี้จึงมีความทุกข์ ดังนั้น..ถ้าหากเราไม่เกิดมา เราก็ไม่ต้องทุกข์อีก เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็จำเป็นต้องพิจารณาให้เห็นชัดว่า ทุกข์นั้นมีโทษอย่างไร เพื่อที่จะได้เบื่อหน่ายคลายความต้องการในการเกิดเสีย

ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ในระยะนี้มีทั้งเรื่องไม่ดีที่เกิดขึ้น ทั้งประเทศอื่น ๆ ในโลก และที่เกิดขึ้นแก่ประเทศเราและเพื่อนบ้าน ตลอดจนกระทั่งเกิดขึ้นในบ้านในเมืองของเรา เป็นเรื่องใกล้ตัว เช่นว่า ข้าวของแพง เป็นต้น เมื่อข้าวของแพงขึ้นมา เราจำเป็นต้องใช้เงินใช้ทองในการซื้อหามากขึ้น ก็ต้องดิ้นรนทำงานเหนื่อยยากกว่าเดิม เพื่อที่จะได้เงินทองมามากเพียงพอ แปลว่า ความทุกข์ของเราก็มีมากขึ้นไปด้วย

เหตุที่ต้องดิ้นรนเพราะร่างกายไม่ฟังเสียงเรา ถึงเวลาก็หิว ถึงเวลาก็กระหาย ถึงเวลาก็เจ็บไข้ได้ป่วย เมื่อหิวก็ต้องหาให้กิน เมื่อกระหายก็ต้องหาให้ดื่ม เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องรักษาพยาบาล

ปัจจุบันนี้ข้าวของทุกอย่างก็ราคาแพง ข้าวก็แพง พืชผักผลไม้ก็แพง ส่วนประกอบต่าง ๆ ที่ใช้ในการทำอาหารก็แพง โดยเฉพาะตอนนี้ น้ำมันพืชขาดแคลนมากเป็นพิเศษ

เรากระหายต้องการที่จะดื่ม แม้กระทั่งน้ำเปล่า ขวดไม่ถึงลิตรหนึ่ง ก็ราคาเป็น ๑๐ บาทแล้ว ป่วยการที่จะกล่าวไปถึงเรื่องของน้ำผลไม้ หรือน้ำอัดลมต่าง ๆ ซึ่งมีแต่ราคาแพงทั้งสิ้น

เมื่อเราเจ็บไข้ได้ป่วย ต้องหาทางรักษา แม้ว่าปัจจุบันนี้จะมีโครงการรักษาฟรี ๔๘ ล้านคนด้วยบัตรประชาชนใบเดียวก็ตาม แต่เราก็ต้องไปทำเรื่องไว้ก่อน โดยอาศัยหลักฐานเดิม คือบัตรทองหรือบัตรประกันสังคมของเรา ถ้าไม่ได้ทำเรื่องไว้ก่อนก็ไม่สามารถที่จะใช้สิทธิ์ได้อย่างที่เขาโฆษณาเอาไว้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-02-2011 เมื่อ 17:17
สมาชิก 57 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 18-02-2011, 09:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,000 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เราจะเห็นได้ว่า แค่เรื่องของความทุกข์ทั่ว ๆ ไป คือความหิว ความกระหาย ความเจ็บไข้ได้ป่วยแค่นี้ ก็สร้างความลำบากทุกข์ยากให้แก่เราจนเหลือที่จะทนแล้ว ถ้าเราเกิดมาใหม่เมื่อไร ก็จะพบแต่ความทุกข์เช่นนี้อีก

เมื่อเราเห็นแล้วว่าร่างกายนี้มีทุกข์มีโทษอย่างนี้ เปรียบเหมือนกับเราเลี้ยงเสือหรือสุนัขที่ดุร้ายเอาไว้ขบกัดตัวเราเอง ถึงเวลาหิวขึ้นมา เราก็ไม่สามารถจะห้ามปรามได้ เพราะว่าจะพาเราปวดท้องปวดไส้ อาจจะถึงขนาดเป็นลมไปเลย ถ้าหากว่าไม่ได้กิน ถ้าอดนานเกินไปก็ถึงตาย

ถ้ากระหายขึ้นมาก็เช่นกัน เมื่อไม่ได้ก็กระวนกระวายอยู่ไม่ได้ ท้ายสุดถ้าหากว่าไม่มีน้ำลงไปหล่อเลี้ยงร่างกาย เลือดข้นเกินกว่าที่จะเดินไปตามร่างกายได้ อวัยวะภายในต่าง ๆ ก็ล้มเหลว สิ้นชีวิต

ความเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าเป็นโรคทั่ว ๆ ไปก็ยังพอที่จะรักษาพยาบาลให้หายได้ แต่ถ้าเป็นโรคร้ายแรง ต่อให้รักษาหมดเงินหมดทองเท่าไร ก็ได้แค่บรรเทาอาการรอวันตายเท่านั้น
ร่างกายเป็นทุกข์เป็นภัยถึงขนาดนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีร่างกายที่เต็มไปด้วยทุกข์โทษเวรภัยเช่นนี้ เรายังต้องการอีกหรือไม่ ?

ถ้าเราไม่พึงปรารถนา ก็มีที่เดียวที่จะหลุดพ้นไปได้ ก็คือพระนิพพาน เราก็ต้องถอนความพอใจในการเกิด ความพอใจในการมีร่างกายนี้ ความพอใจและยินดีที่จะอยู่ในโลกนี้เสีย ด้วยอำนาจของศีล สมาธิ ปัญญา ที่เราสั่งสมอยู่

เมื่อเห็นชัดแล้วว่าร่างกายมีทุกข์มีโทษเช่นนี้ เราพบกันแค่ชาตินี้ชาติสุดท้าย ตายเมื่อไรเราขอไปที่เดียวคือพระนิพพาน เมื่อกำหนดเป้าหมายของเราได้มั่นคงแล้ว ก็ให้ท่านทั้งหลายกำหนดการภาวนาเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงต่อไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-02-2011 เมื่อ 12:00
สมาชิก 49 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 18-02-2011, 09:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,000 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

โดยกำหนดความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก หายใจเข้ากำหนดคำภาวนาตามลมหายใจเข้าไป หายใจออกกำหนดคำภาวนาตามลมหายใจออกมา

หรือว่าหายใจเข้ากำหนดภาพพระไหลตามเข้าไป หายใจออกกำหนดภาพพระไหลตามออกมา ให้รักษากำลังใจของเราให้มั่นคง อยู่กับภาพพระหรืออยู่กับคำภาวนาของเรา ถ้าเรารักษาภาพพระอยู่ ให้ตั้งใจว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่ใดเลยนอกจากพระนิพพาน เราเห็นท่านคือเราอยู่กับท่าน เราอยู่กับท่านก็คือเราอยู่บนพระนิพพาน

หรือถ้าหากเราใช้คำภาวนาอยู่ ไม่ว่าจะเป็น พุทโธก็ดี สัมมาอะระหังก็ดี นะมะพะธะก็ดี ให้รู้ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ คือพระนามขององค์สมเด็จพระสัมมาพระพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาพระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่ใดนอกจากพระนิพพาน ตราบใดที่เรากำหนดคำภาวนาอยู่ ก็คือเรายึดเกาะพระองค์ท่านที่พระนิพพานนั่นเอง

ให้ทุกคนรักษาเป้าหมายสุดท้ายของชีวิตไว้ดังนี้ คิดว่าถ้าตอนนี้เราตายลงไป เราขอไปอยู่กับพระพุทธเจ้าที่พระนิพพานนี้แห่งเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นให้ทุกท่านกำหนดการภาวนาหรือพิจารณากันตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันเสาร์ที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-02-2011 เมื่อ 12:01
สมาชิก 48 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:31



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว