กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 12-11-2010, 14:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๓

ให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตนเอง อย่าลืมว่าต้องตั้งกายให้ตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เอาความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา

วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๓ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานวันแรกของเดือนนี้ ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ทางวัดมีการจัดบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสทรงเจริญพระชนมายุ ๘๓ พรรษา ญาติโยมจำนวนหนึ่งก็ได้ไปปฏิบัติธรรมด้วยกัน

คราวนี้เกิดมีคนสงสัยขึ้นมาว่า ในขณะที่ตนเองเดินจงกรมนั้น จะจับอยู่ที่อาการเดิน หรือว่าจับอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกดี ?

ขอบอกว่า การปฏิบัติที่วัดนั้น เป็นการปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ แบบพองหนอ ยุบหนอ ซึ่งเป็นหลักสูตรบังคับ โดยมติมหาเถรสมาคม ที่กำหนดให้สำนักปฏิบัติธรรมทุกแห่งปฏิบัติตามสติปัฏฐาน ๔ แบบพองหนอ ยุบหนอนี้ แม้ว่าบางสำนักจะปฏิบัติแยกออกไปต่างหาก แต่เวลารายงานผลการปฏิบัติ ก็ต้องรายงานไปว่าปฏิบัติในสติปัฏฐาน ๔ แบบพองหนอ ยุบหนอเช่นกัน

เมื่อเป็นดังนั้น ก็ต้องว่าตามการปฏิบัติของสายนี้ คือ เราต้องเอาความรู้สึกทั้งหมดจดจ่ออยู่กับการเคลื่อนไหวของเรา ก็คือดูอิริยาบถใหญ่ ๔ ประการ ได้แก่ เดิน ยืน นั่ง นอน

ขอยืนยันว่า เดิน ยืน นั่ง นอน เพราะว่าเมื่อเราเดินแล้วมายืน จึงสามารถที่จะนั่งและนอนได้ ถ้ายืนแล้วเดิน คนที่เดินจะนั่งไม่ได้ และดูอิริยาบถย่อยอีก ๒๒ ประการ มีการเหยียดแขน คู้แขน เหลียวดู เป็นต้น

ความหมายที่แท้จริงก็คือ ให้พวกเรากำหนดสติ รู้อยู่ในปัจจุบันขณะนั้น ๆ ว่าร่างกายมีการเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะต้องรู้ให้ทันในปัจจุบันจริง ๆ

อย่างเช่นกำหนดว่า ยกหนอ...ความรู้สึกทั้งหมดก็จะอยู่ที่เท้าซึ่งค่อย ๆ ยกขึ้นมา จนถึงคำว่าหนอ ก็สุดพอดี ย่างหนอ...ความรู้สึกต้องอยู่ที่เท้าที่เคลื่อนออกไป พอลงคำว่าหนอ ก็สุดระยะการเคลื่อนเท้าไปข้างหน้าพอดี เหยียบหนอ...ก็เช่นกัน เท้าก็จะค่อย ๆ ลดลง จนกระทั่งสุดคำว่าหนอ ก็คือเหยียบพื้นเต็มฝ่าเท้าพอดี
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 15-11-2010 เมื่อ 13:44
สมาชิก 62 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 13-11-2010, 00:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าหากว่าความรู้สึกของเราทั้งหมดอยู่กับปัจจุบัน ดูตามอาการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ทุกขณะจิต ก็แปลว่า การปฏิบัติของเรานั้น ถูกต้องตามหลักของสติปัฏฐานแบบพองหนอยุบหนอแล้ว

ถ้าเราจะเอามาดัดแปลงให้เข้ากับการปฏิบัติในปัจจุบันของเราตอนนี้ ก็คือ เราต้องกำหนดความรู้สึกทั้งหมดของเราอยู่ที่ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก หายใจเข้ากำหนดรู้ตามไป ว่าตอนนี้ผ่านจมูก..ผ่านกึ่งกลางอก..ลงไปสุดที่ท้อง หายใจออก..ออกจากท้อง..ผ่านกึ่งกลางอก..มาสุดที่ปลายจมูก

ให้จิตคือความรู้สึกทั้งหมดของเรานั้น ตามลมหายใจเข้าไปพร้อมกับคำภาวนา ตามลมหายใจออกมาพร้อมกับคำภาวนา ให้รู้เท่าทันอยู่กับปัจจุบันคือตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ของลมหายใจเข้าออกของเราเอาไว้

ถ้าจิตของเราสามารถที่จะทรงตัวอยู่กับปัจจุบันของลมหายใจเข้าออกได้ เพียงระยะเวลาไม่นาน กำลังใจของเราก็จะก้าวขึ้นสู่ในระดับที่สูงขึ้น คือจากอุปจารสมาธิทั่วไป ก็จะก้าวเข้าสู่ความเป็นปฐมฌาน

การเดินตามสติปัฏฐานแบบพองหนอยุบหนอนั้น ท่านให้รั้งความรู้สึกไว้แค่ขณิกสมาธิหรืออุปจารสมาธิเท่านั้น เพราะว่าถ้าเป็นปฐมฌานขึ้นไป จิตกับประสาทจะเริ่มแยกออกจากกัน ถ้าไม่ใช่บุคคลที่ฝึกมาคล่องตัวจริง ๆ จะไม่สามารถเดินจงกรมได้

เมื่อเป็นดังนี้ จึงจำเป็นที่จะต้องอยู่แค่อุปจารสมาธิหรือขณิกสมาธิ แต่ว่าการปฏิบัติของเราในที่นี้นั้น การกำหนดรู้ปัจจุบันของเรา ถ้าอารมณ์ทรงตัว เราจะรู้สึกว่า ลมหายใจละเอียดขึ้น เบาขึ้น คำภาวนาบางทีก็หายไปเฉย ๆ ซึ่งเรามีหน้าที่แค่กำหนดตามดู ตามรู้ไปเท่านั้น

ถ้าปฏิบัติตามสติปัฏฐาน ๔ แบบพองหนอยุบหนอ ท่านจะให้กำหนดว่า รู้หนอ..รู้หนอ แต่เราไม่จำเป็นต้องใช้คำว่า..รู้หนอ..ก็ได้ ถ้าสติจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน ถึงไม่มีคำภาวนาก็ใช้ได้เช่นกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-11-2010 เมื่อ 01:47
สมาชิก 56 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 14-11-2010, 00:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อสติของเราอยู่กับปัจจุบัน แม้ว่าร่างกายของเราจะเคลื่อนไหวอยู่ สภาพจิตของเราก็ไม่อาจจะปรุงแต่งไปในเรื่องรัก โลภ โกรธ หลง ได้

อย่างเช่นว่า ความรู้สึกตอนนี้รู้ว่าเท้าขวากำลังยกขึ้น เคลื่อนไป เหยียบลง เท้าซ้ายกำลังยกขึ้น เคลื่อนไป เหยียบลง แขนขวาขณะนี้ แกว่งไปข้างหน้า แขนซ้ายแกว่งไปข้างหลัง หรือว่า แขนซ้ายขณะนี้แกว่งไปข้างหน้า แขนขวาแกว่งไปข้างหลัง เป็นต้น

เมื่อความรู้สึกละเอียดมาก สามารถติดตามอาการทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับร่างกายนี้ได้ เมื่อจิตละเอียดกำหนดรู้อยู่กับปัจจุบันขณะนี้ การที่จะปรุงแต่งไปเป็น รัก โลภ โกรธ หลง ที่ทำให้เกิดทุกข์เกิดโทษก็ไม่มี เพราะว่าจิตหยุดอยู่กับการกำหนดในปัจจุบัน ไม่สามารถที่จะแบ่งความรู้สึกเพื่อไปปรุงไปแต่งได้

สิ่งทั้งหลายที่เราทำอยู่จึงเป็นเพียงกิริยาเท่านั้น จะไม่เกิดกรรมคือผลของการกระทำขึ้น เพราะว่าจิตไม่ได้มีส่วนร่วมในการปรุงแต่งสิ่งที่กระทำนั้น ๆ นอกจากดูตามความเป็นจริงในปัจจุบันว่า ตอนนี้เท้าขวาเคลื่อนไป เหยียบลง ตอนนี้เท้าซ้ายเคลื่อนไป เหยียบลง ตอนนี้แขนขวาแกว่งไปข้างหน้า แขนซ้ายแกว่งไปข้างหลัง ตอนนี้แขนซ้ายแกว่งไปข้างหน้า แขนขวาแกว่งไปข้างหลัง เป็นต้น

เมื่อความรู้สึกอยู่อย่างนี้ การปรุงแต่งไปในเรื่องของรัก โลภ โกรธ หลง ก็จะไม่มี กรรมชั่วใด ๆ ก็ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ การมีสติรู้เท่าทันในปัจจุบันก็เป็นกรรมดี เป็นบุญอย่างมหาศาลยิ่ง เพราะว่าจิตใจผ่องใสจากกิเลส ปราศจากรัก โลภ โกรธ หลง อย่างสิ้นเชิง เป็นการปฏิบัติตรงตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ในโอวาทปาฏิโมกข์ว่า สจิตฺตปริโยทปนัง การชำระจิตใจของตนให้ผ่องใส
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 15-11-2010 เมื่อ 13:45
สมาชิก 51 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 14-11-2010, 21:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น การที่เรากำหนดอยู่กับลมหายใจเข้าออกของเรานี้ ไม่ว่าเราจะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ตาม หรือไม่ใช้คำภาวนาก็ตามที ถ้าเราสามารถรักษาความรู้สึกทั้งหมดอยู่กับลมหายใจเข้า อยู่กับลมหายใจออก รู้ตลอดโดยไม่ส่งกำลังใจไปไหน ก็แปลว่าเราสร้างกุศลมหาศาลให้เกิดขึ้นกับตัวของเราเอง เพราะว่าจิตใจไม่ได้ปรุงแต่งไปในด้าน รัก โลภ โกรธ หลง มีสติอยู่กับปัจจุบันธรรม

นี่เป็นมหากุศลกามาวจรจิต ที่บังเกิดขึ้นกับใจของแต่ละคน จะสั่งสมเป็นบุญกุศล ซึ่งภายหลังจะส่งผลให้พวกเราทั้งหลายหลุดพ้นไปสู่พระนิพพานได้

ดังนั้น ในการปฏิบัติวันนี้ ให้ทุกคนทำตามความถนัดของตัวเอง คือกำหนดดูลมหายใจเข้า ลมหายใจออก พร้อมกับคำภาวนาที่เรามีความชำนาญ ถ้าหากว่าลมหายใจเบาลง ให้กำหนดรู้ว่าเบาลง ถ้าหากว่าลมหายใจหายไป คำภาวนาหายไป ให้กำหนดรู้ว่าขณะนี้ลมหายใจและคำภาวนาหายไป

อย่าอยากให้เป็นอย่างนั้น และอย่าอยากให้หายจากอาการเหล่านั้น ให้รู้ทันปัจจุบันขณะอยู่ตลอดเวลา แล้วรักษาอารมณ์เอาไว้อย่างนี้ จนกว่าจะได้ยินเสียงสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันศุกร์ที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๓
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 15-11-2010 เมื่อ 13:17
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:52



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว