กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 17-12-2010, 20:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,002 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๓

ให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตน ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกพร้อมกับคำภาวนาที่เราถนัด หายใจเข้ากำหนดรู้ตามไปพร้อมกับคำภาวนา หายใจออก กำหนดรู้ตามไปพร้อมกับคำภาวนา

สำหรับวันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ เป็นการปฏิบัติธรรมประจำเดือนธันวาคมวันที่สองของพวกเรา ระยะนี้มีญาติโยมหลายท่าน ถามปัญหาคล้ายคลึงกัน อย่างเช่นว่า กระผมเหมาะกับกรรมฐานกองไหน ? หรือว่า ดิฉันปฏิบัติแล้วจะมีโอกาสบรรลุมรรคผลบ้างหรือไม่ ? เมื่อได้ยินปัญหาพวกนี้ อาตมาอยากจะบอกว่า โยมใกล้จะหลงทางแล้ว แต่ก็เกรงใจ

ขอให้ทุกท่านทราบว่า การปฏิบัตินั้น เราจะต้องรู้ด้วยตนเอง ว่ากรรมฐานกองไหนเหมาะสมกับเรา เพราะว่าแม้แต่พระสารีบุตรมหาเถระเจ้า อัครสาวกเบื้องขวาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้เลิศไปด้วยปัญญา ก็เคยให้กรรมฐานแก่ลูกศิษย์ผิดกองมาแล้ว

พระสารีบุตรเห็นบุตรชายนายช่างทองเป็นพระหนุ่ม หน้าตาดี คิดว่าต้องเป็นผู้ที่มากด้วยกามราคะ จึงให้ปฏิบัติในกายคตานุสติและอสุภกรรมฐาน ปรากฏว่าทำอยู่นานก็ไม่เกิดผล เนื่องจากลูกชายนายช่างทองนั้นเป็นพุทธวิสัย คือเป็นบุคคลที่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะสงเคราะห์ได้

พระสารีบุตรจึงนำลูกชายนายช่างทองไปกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า กุลบุตรผู้นี้ได้รับเอากายคตานุสติและอสุภกรรมฐานไปปฏิบัติเป็นระยะเวลานานแล้ว ยังไม่เห็นผล องค์สมเด็จพระทศพลทรงตรัสว่า "สารีปุตตะ ดูก่อน..สารีบุตร ขึ้นชื่อว่า กุลบุตรผู้มีศรัทธาที่ตถาคตจะสอนไม่ได้นั้นไม่มี ขอเธอจงมอบกุลบุตรนี้ไว้ในสำนักตถาคตเถิด ตถาคตจะสั่งสอนให้เอง"

เมื่อพระสารีบุตรมอบลูกชายนายช่างทองให้แก่พระพุทธเจ้าแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงพิจารณาว่า แท้จริงแล้วลูกชายนายช่างทองเป็นบุคคลที่ประกอบไปด้วยโทสะจริต จึงได้เนรมิตดอกบัวทองคำแต่เป็นสีแดง มอบไว้ให้เพื่อนำไปภาวนาและพิจารณา จนกระทั่งบรรลุอรหัตผล
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 19-12-2010 เมื่อ 01:56
สมาชิก 77 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 19-12-2010, 01:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,002 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เราจะเห็นได้ว่า นอกจากองค์สมเด็จพระทศพลแล้ว บุคคลที่จะมอบกรรมฐานให้ตรงจริตของเรานั้น หาได้ยากมาก เพราะว่าถ้าไม่ใช่สาวกวิสัยแล้ว ก็มีแต่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วเท่านั้น ที่สามารถจะบอกกรรมฐานที่ตรงกับจริตของเราได้

ส่วนใหญ่แล้วบุคคลที่ปฏิบัติตามสายของหลวงพ่อฤๅษีวัดท่าซุงนั้น มักจะมาจากพุทธภูมิแทบทั้งสิ้น เมื่อแต่เดิมปรารถนาพระโพธิญานมา ก็ย่อมเป็นพุทธวิสัย จึงมีแต่องค์สมเด็จพระจอมไตรองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ที่จะมอบกรรมฐานที่ตรงกับจริตให้ได้

ดังนั้น..เมื่อญาติโยมมาถาม อาตมาจึงได้แต่คิดว่า ถ้าเป็นดังนี้ โอกาสที่จะหลงทางมีแล้ว เพราะถ้าไปถามเปะปะที่อื่น อาจจะได้รับคำบอกกล่าวมาผิด ๆ ก็ได้ แต่ถ้าเรายึดหลักที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วให้ไว้ ก็คืออานาปานุสติควบกับพุทธานุสติแล้ว โอกาสที่จะหลงพลาดเสียเวลาไปก็มีน้อย

เนื่องจากว่า อานาปานุสติ คือลมหายใจเข้าออก และพุทธานุสติ การระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นกรรมฐานกลาง เหมาะแก่ทุกจริต โดยเฉพาะอานาปานุสติเป็นพื้นฐานใหญ่ของนักปฏิบัติทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นจริตใดก็ตาม ไม่สามารถที่จะทิ้งอานาปานุสติได้ เพราะถ้าทิ้ง กำลังสมาธิจะไม่ทรงตัว ไม่มีกำลังเพียงพอที่จะไปใช้ในการพิจารณาตัดกิเลส

ส่วนพุทธานุสตินั้น บุคคลที่ปฏิบัติจะมีโอกาสเข้าถึงนิพพานได้ง่ายที่สุด เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราไม่อยู่ที่ใดเลยนอกจากพระนิพพาน ถ้าเรากำหนดพระนามท่าน ก็ให้รู้ว่าท่านอยู่บนพระนิพพาน ถ้าเรากำหนดภาพพระองค์ท่าน ก็ให้รู้ว่าพระองค์ท่านอยู่บนพระนิพพาน เท่ากับว่าเราเอาใจอยู่กับพระนิพพานไปในตัว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-12-2010 เมื่อ 02:56
สมาชิก 73 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 23-12-2010, 09:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,002 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนอีกข้อหนึ่งที่โยมมักจะถาม ก็คือ ให้พยากรณ์เกี่ยวกับมรรคผล ระยะหลังนี้มีหลายสำนักที่มักจะพยากรณ์ให้ บางท่านก็เสียชีวิตไปแล้ว บางท่านก็ยังมีชีวิตอยู่

อาตมาต้องขอยึดคำของสมเด็จพระบรมครู ที่ตรัสไว้ว่า การพยากรณ์มรรคผลเป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะโดยสาวกวิสัย แม้จะเป็นพุทธภูมิเก่าขนาดพระมหากัสสปะเถระเจ้า องค์ประธานในการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๑ ก็ตาม ครั้งที่ท่านคิดจะแบ่งเบาภารกิจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการตรวจดูอุปนิสัยสัตว์โลกเพื่อที่จะได้ไปสงเคราะห์แทน

เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบ ก็เสด็จมาห้ามไว้ ตรัสว่านี่เป็นพุทธวิสัยเท่านั้น บุคคลที่เป็นสาวก ไม่ได้มีสัพพัญญุตญาณ ไม่อาจจะรู้รอบในทุกเรื่องเหมือนดังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงไม่ใช่หน้าที่ของเธอที่จะทำอย่างนี้

เมื่อเป็นดังนั้น การที่ท่านมาถามว่า ปฏิบัติแล้วจะได้มรรคได้ผลหรือไม่ ? จะได้มรรคได้ผลเมื่อไร ? จะเห็นว่าอาตมาไม่เคยตอบเลย ถ้าท่านรู้สึกไม่ถูกใจ จะไปหาสำนักที่เขาตอบให้ก็ได้ แต่ขอยืนยันว่า มีโอกาสผิดพลาดสูง มีโทษมากกว่าประโยชน์ ถ้าเขาบอกว่าท่านจะได้มรรคผลแน่นอน แล้วท่านตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ ก็เพียงเท่าทุนเท่านั้น แต่ถ้าหากเขาพยากรณ์ว่าท่านได้มรรคผลแน่นอน แล้วท่านนอนรอเฉย ๆ ถ้าอย่างนี้ก็จะขาดทุนมาก เพราะว่าไม่มีใครสามารถบรรลุธรรมได้ด้วยการนอนรออยู่เฉย ๆ

เมื่อเป็นดังนี้ จึงอยากให้ทุกท่านสังวรไว้ว่า อย่าเที่ยวไปถามส่งเดช ถ้าเราชอบใจกรรมฐานกองไหน ให้คว้าเอากองนั้นขึ้นมาปฏิบัติได้เลย โดยควบกับอานาปานุสติ และในขณะเดียวกัน ก็ทำให้ถึงที่สุดไปเลย คือสามารถทรงฌาน ๔ เต็มระดับในกรรมฐานกองนั้น ๆ

แม้ว่ากรรมฐานบางอย่าง อย่างเช่น อนุสติ ๑๐ อรรถกถาจารย์ท่านจะอธิบายไว้ว่า นอกจากอานาปานุสติแล้ว ที่เหลือจะเข้าได้อย่างสูงสุดแค่ปฐมฌานเท่านั้น สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เราก็สามารถนำมาประยุกต์ได้ โดยควบกับอานาปานสติ ทำให้สามารถที่จะก้าวขึ้นสู่ฌาน ๔ หรือสมาบัติ ๘ ก็ได้ พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าทำเป็น ก็สามารถทำจนถึงฌาน ๔ หรือสมาบัติ ๘ ได้ทุกกอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-12-2010 เมื่อ 12:04
สมาชิก 55 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 23-12-2010, 09:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,002 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าหากว่าท่านทำไปแล้วยังไม่เห็นผล แล้วไปทิ้งกรรมฐานกองเดิม มาจับกรรมฐานกองใหม่ เมื่อคว้ากองใหม่ไประยะหนึ่งยังไม่เห็นผล ท่านก็ทิ้ง ไปคว้ากองอื่นอีก ถ้าอย่างนี้จะกลายเป็นว่า ทำไปทั้งปีก็ไม่มีประโยชน์

เนื่องจากว่า กรรมฐานนั้นจะยากแค่กองแรกเท่านั้น ถ้าเราปฏิบัติกองแรกจนได้ฌาน ๔ เต็มระดับแล้ว กรรมฐานกองอื่น ๆ กำลังก็ไม่เกินไปจากนี้ เพียงแค่เปลี่ยนวิธีการนิดหน่อยเท่านั้นเอง

ดังนั้น..ขอให้ทุกคนมีสัจจะบารมี คือแน่วแน่มั่นคงต่อกรรมฐานเดิมของเรา พยายามทุ่มเทกับการปฏิบัติให้เต็มที่ ชนิดที่ขอแลกด้วยชีวิต คือถึงตายลงไปก็ยอม เพื่อให้ได้ความดีตามที่เราปรารถนา ถ้าท่านทั้งหลายทุ่มเทแบบนี้ โอกาสที่จะได้ดีก็มีสูงมาก เมื่อเราปฏิบัติได้เต็มที่ในกองกรรมฐานนั้น ๆ ของเราแล้ว ค่อยเปลี่ยนไปปฏิบัติในกองกรรมฐานอื่น ๆ ต่อไป

ที่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะว่าระยะนี้มีคนมาถามมาก โดยเฉพาะญาติโยมบางท่าน เชื่อมั่นว่าอาตมารู้จึงมาสอบถาม ก็อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า การพยากรณ์นั้นเป็นหน้าที่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุคคลอื่นจะมาพยากรณ์มรรคผลถือว่าผิดมารยาท และในขณะเดียวกัน พระสาวกทั่วไปไม่ได้มีสัพพัญญุตญาณอย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โอกาสที่จะพยากรณ์ผิดหรือว่าให้กรรมฐานผิดพลาดนั้นย่อมมีอยู่

เราจะควรเชื่อองค์สมเด็จพระบรมครู ในตรงที่ว่า ยึดเอาอานาปานุสติเป็นหลัก ควบกับพุทธานุสติเข้าไว้ หรือว่าปฏิบัติในกรรมฐานกองอื่น กองใดกองหนึ่งก็ตาม ก็ให้ทุกท่านทุ่มเทปฏิบัติจนกระทั่งเข้าถึงที่สุดของกรรมฐานกองนั้นจริง ๆ แล้วค่อยเปลี่ยนไปปฏิบัติในกองใหม่ต่อไป

สำหรับตอนนี้ก็ขอให้ทุกท่าน กำหนดใจจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออกและคำภาวนาของเรา หายใจเข้ากำหนดรู้ตามไป หายใจออกกำหนดรู้ตามไป ถ้าหากว่ามีการเปลี่ยนแปลงทางสภาพร่างกาย หรือว่าลมหายใจเข้าออกตลอดจนคำภาวนา ก็ให้กำหนดใจรับรู้ไว้เฉย ๆ อย่าไปตื่นเต้นหรือหวาดกลัว แค่กำหนดรู้ว่า ตอนนี้มีอาการอย่างนี้ ๆ เกิดขึ้น กำลังใจของเราก็จะดิ่งลึกเป็นสมาธิขั้นที่สูงขึ้นไปกว่าเดิมเอง

ขอให้ทุกคนกำหนดความรู้สึกทั้งหมด อยู่กับลมหายใจเข้าออกและคำภาวนาเรื่อยไป จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันเสาร์ที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๓
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-12-2010 เมื่อ 12:08
สมาชิก 55 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:49



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว