กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 26-01-2016, 21:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,107 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๙

ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึก...ไหลตามลมหายใจออกมา ใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เราถนัดมาแต่เดิม

วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๐ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ จะกล่าวถึงบรรดากองกรรมฐานต่าง ๆ ที่จำเป็นในการปฏิบัติของเรา อันดับแรกที่ทิ้งไม่ได้โดยเด็ดขาด คือ อานาปานสติ หรือการระลึกถึงลมหายใจเข้าออก เพราะถ้าไม่มีลมหายใจเข้าออก เราก็ไม่สามารถที่จะสร้างสมาธิให้เกิดได้ กองกรรมฐานอื่น ๆ ก็ไม่สามารถที่จะทรงตัวอยู่ได้

การที่ใช้อานาปานสตินั้นควรที่จะควบพุทธานุสติไปด้วยเพื่อเป็นกำไร ก็คือการใช้คำภาวนาว่า “พุทโธ” ก็ดี “สัมมาอรหัง” ก็ดี ซึ่งทำให้ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เป็นปกติ หรือถ้าหากท่านใดถนัดในการจับภาพพระเป็นพุทธานุสติ นั่นก็เป็นส่วนของกสิณ ให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งที่เราถนัด ยกเว้นว่าเราทำกรรมฐานกองเหล่านั้นได้ทั้งหมดแล้ว จึงนำมาประยุกต์รวมกันได้

ครั้นเราใช้อานาปานสติกรรมฐานควบกับพุทธานุสติกรรมฐานแล้ว เมื่อภาวนาไปจนอารมณ์ใจทรงตัว ก็ให้แผ่เมตตาไปสู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกภพทุกภูมิ ทุกหมู่ทุกเหล่า ตั้งใจว่าเราไม่เป็นศัตรูกับใคร เรายินดีเป็นมิตรกับคนและสัตว์ทั่วโลก ตัวเมตตาพรหมวิหารจะช่วยให้กำลังใจของเราเยือกเย็น ชุ่มชื่น อิ่มเอิบ มีความไม่เบื่อไม่หน่ายในการปฏิบัติธรรม ไม่อย่างนั้นถ้าเราไม่มีการแผ่เมตตาเป็นปกติ ก็จะรู้สึกว่าแห้งแล้ง ติดขัด ไม่คล่องตัว

เมื่อแผ่เมตตาไปแล้วจนกระทั่งกำลังใจทรงตัวดี ก็หันมาพิจารณาให้เห็นชัดว่า ร่างกายนี้ก้าวเข้าไปสู่ความตายอยู่ตลอดเวลา ซึ่งก็คือ มรณานุสติกรรมฐาน ชีวิตของเรามีอยู่แค่ชั่วลมหายใจเท่านั้น หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตาย หายใจออกไม่หายใจเข้าไปใหม่ก็ตายเช่นกัน ความตายมาถึงเราได้อยู่ทุกเวลา จึงไม่ควรประมาท ให้เร่งรัดการปฏิบัติให้มากเข้าไว้

เมื่อระลึกถึงความตายแล้ว ลำดับต่อไปก็ให้ทบทวนศีลทุกสิกขาบทของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ นั่นคือ สีลานุสติกรรมฐาน ตั้งใจระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ว่ามีความดีอย่างไร จนกระทั่งจิตใจของเราปรากฏความเลื่อมใสแน่นแฟ้น ไม่ล่วงเกินทั้งต่อหน้าและลับหลัง ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ นั่นก็คือการระลึกถึง พุทธานุสติ ธัมมานุสติ และสังฆานุสติกรรมฐาน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 27-01-2016 เมื่อ 11:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 61 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 27-01-2016, 19:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,107 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลังจากนั้นก็พิจารณาให้เห็นสภาพร่างกายของเรา ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราอย่างไร อาจจะดูในลักษณะของกายคตานุสติกรรมฐาน คือแยกออกเป็นอาการ ๓๒ ให้เห็นชัดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่แท่งทึบ เป็นเครื่องจักรกลที่ประกอบด้วยอวัยวะน้อยใหญ่ มีความสกปรกเป็นปกติ หรือเราจะพินิจพิจารณาในส่วนของจตุธาตุววัฏฐาน คือ แยกร่างกายเราเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม ให้เห็นชัดว่าประกอบขึ้นมาเป็นเรือนร่างให้เราอาศัยอยู่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ในที่สุดก็เสื่อมสลายตายพังไป ซึ่งก็คือในส่วนของมรณานุสติกรรมฐาน และถ้าพิจารณาเลยนั้นไปก็จะเป็นอสุภกรรมฐาน เป็นต้น

เมื่อเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย คลายกำหนัด สังเวชใจในสภาพร่างกายที่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรานี้แล้ว ก็เอาจิตสุดท้ายของเราเกาะพระนิพพาน คือ อุปสมานุสติกรรมฐาน แล้วกำหนดภาวนาของเราไป ตั้งใจว่าถ้าวันนี้เราต้องสิ้นชีวิตลงเพราะหมดอายุขัย หรือตายลงด้วยอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ ก็ตาม เราขอไปอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระนิพพานแห่งเดียวเท่านั้น นั่นคืออุปสมานุสติกรรมฐานนั่นเอง

กรรมฐานทั้งหลายทั้งปวงที่ว่ามานี้ หลัก ๆ เลยก็คืออานาปานสติกรรมฐาน พุทธานุสติกรรมฐาน มรณานุสติกรรมฐาน พรหมวิหารสี่ ตลอดจนกระทั่งกายคตานุสติหรือว่าอสุภกรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เราจะต้องทำอย่างละเว้นเสียไม่ได้ เพื่อให้ท้ายสุดเราเข้าถึงอุปสมานุสติกรรมฐาน หรือมรรคผลพระนิพพานของเรา

ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๙

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย รัตนาวุธ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-01-2016 เมื่อ 20:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 50 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 11:34



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว