กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 23-03-2020, 18:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,150 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๓

ขอให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกทั้งหมดของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓ การปฏิบัติธรรมของเราทั้งหลายนั้น ทำแล้วต้องหวังผล คราวนี้การที่เราหวังผล ถ้าตั้งใจมากเกินไป บางทีก็ทำให้เสียผลได้ เพราะว่าความตั้งใจที่มากเกินไป จดจ่ออยู่กับสิ่งที่เราทำมากจนเกินไป
จะเกิดอาการ ๒ อย่าง

อย่างแรกคือกลายเป็นความฟุ้งซ่าน เพราะว่าสติไม่มั่นคง ประการที่ ๒ ก็คือทำให้เกิดความเครียดขึ้นมา แบบเดียวกับคนขับรถ ถ้าจ้องระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา ขาดความคล่องตัว ก็จะทำให้เครียด บางทีหมดสภาพเอาง่าย ๆ แต่ว่าการปฏิบัติธรรมนั้น ถ้าเราไม่ตั้งอกตั้งใจทุ่มเทให้เต็มที่ บางทีโอกาสที่จะเข้าถึงธรรมในส่วนที่เราปรารถนาก็มีน้อยอีก

ดังนั้น..นักปฏิบัติทุกคนควรจะยึดในหลักมัชฌิมาปฏิปทา คือทางสายกลางขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่คราวนี้มัชฌิมาปฏิปทาหรือทางสายกลางนั้น ไม่มีมาตรฐาน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ มัชฌิมาปฏิปทาของแต่ละคนไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย จิตใจ ตลอดจนผลบุญที่สั่งสมมาในอดีต ที่เป็นปุพเพกตปุญญตาด้วย

เราจะสังเกตว่า บางท่านนั่งกรรมฐานข้ามวันข้ามคืนก็ได้..ไม่เป็นอะไร บางท่านนั่งลงไปทีหนึ่งชั่วโมงไม่กระดิกเลย แต่เราเอง ๕ นาที ๑๐ นาที ขยับแล้วขยับอีก สภาพจิตไม่ค่อยอยากจะยอมรับ ในส่วนนี้ทำให้เห็นชัดว่า ตัวมัชฌิมาปฏิปทาหรือทางสายกลางของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน สิ่งที่บางคนทำอาจจะกลายเป็นอัตตกิลมถานุโยค คือการทรมานตนสำหรับเรา แต่ขณะเดียวกันถ้าเราอ้างตรงนี้ก็กลายเป็นย่อหย่อนจนเกินไป กลายเป็นกามสุขัลลิกานุโยคไปอีก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-03-2020 เมื่อ 19:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 23-03-2020, 18:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,150 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..วิธีที่ดีที่สุดก็คือ ถ้ารู้สึกว่าไปต่อไม่ไหว ให้ลองฝืนดูสักระยะหนึ่ง ถ้าฝืนแล้วไปต่อได้ แสดงว่าเมื่อครู่นี้กิเลสชวนให้เราขี้เกียจ แต่ถ้าฝืนแล้วไปต่อไม่ได้จริง ๆ ก็แปลว่าตัวพอเหมาะพอดีของเรามีอยู่แค่นั้น มากกว่านั้นก็กลายเป็นน้ำล้นแก้ว สภาพจิตรับไม่ไหว

เราก็คลายกำลังใจของเราออกมา พิจารณาวิปัสสนาญาณแทน เพื่อไม่ให้สภาพจิตเอากำลังที่ภาวนาได้ไปฟุ้งซ่าน ท่านใดก็ตามถ้าภาวนาแล้วขาดการพิจารณา ถึงเวลามักจะโดนกิเลสเอากำลังที่ได้จากสมาธิของเราไปฟุ้งซ่าน เราจะรู้สึกทรมานมาก ว่าทำไมกิเลสช่างเข้มแข็งเหลือเกิน ช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน เมื่อไรเราจะสู้ได้เสียที ก็เพราะว่าเราไปเลี้ยงโจรให้มีกำลัง แล้วโจรนั้นกลับมาปล้นเราเอง

เนื่องจากว่าสมาธิภาวนาคือการเพาะสร้างกำลังให้แก่จิต ในเมื่อเราไม่ใช้กำลังนั้นไปในการพิจารณาสร้างปัญญาให้เกิด แล้วตัดละวางลง กิเลสก็จะเอากำลังนั้นไปฟุ้งซ่านในด้านของ รัก โลภ โกรธ หลง แทน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-03-2020 เมื่อ 19:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 23-03-2020, 18:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,150 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

กลายเป็นว่าเราเลี้ยงโจรไว้ปล้นตัวเอง แล้วยังคงโดนปล้นอยู่ทุกวัน โดยไม่รู้สาเหตุว่าทำไมถึงโดน ตรงจุดนี้จึงต้องระวังให้มาก ว่าการภาวนานอกจากต้องหาจุดที่พอเหมาะพอดี ที่เป็นมัชฌิมาปฏิปทาของตัวเองแล้ว เมื่อกำลังใจทรงตัวเต็มที่ไปต่อไม่ได้ ให้รีบหาวิปัสสนาญาณมาครุ่นคิด พินิจพิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา เพื่อให้สภาพจิตยอมรับ

หรือไม่ก็พิจารณาเห็นความเกิดความดับ หรือว่าเห็นว่าทุกอย่างดับสลายหมดสิ้นไป หรือเห็นว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์เป็นภัย ร่างกายนี้เป็นของน่ากลัว ถ้าท่านสามารถทำอย่างนี้ได้ เมื่อพินิจพิจารณาไปเรื่อยระยะหนึ่ง สภาพจิตจะทรงสมาธิเองโดยอัตโนมัติ เพราะว่าจิตที่ดิ่งลึกลงไปในการพิจารณาตรงหน้า ก็จะสร้างสมาธิขึ้นมาเอง เราก็กำหนดภาวนาต่อไปได้เลย

เมื่อภาวนาไปจนเต็มที่ไปต่อไม่ได้แล้ว ก็คลายออกมาพิจารณาอีก ทำสลับไปสลับมาดังนี้ ความก้าวหน้าในการปฏิบัติถึงจะมี

ลำดับต่อไปขอให้ท่านทั้งหลายภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม,ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันเสาร์ที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๓

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย คะน้า)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 23-07-2020 เมื่อ 20:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:42



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว