กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๖ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนตุลาคม ๒๕๖๖

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 12-10-2023, 20:08
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 339
ได้ให้อนุโมทนา: 3,307
ได้รับอนุโมทนา 18,624 ครั้ง ใน 817 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๖


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 13-10-2023, 00:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,566
ได้ให้อนุโมทนา: 151,678
ได้รับอนุโมทนา 4,410,894 ครั้ง ใน 34,156 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ พวกเราต้องงดบิณฑบาต ๒ วัน เนื่องเพราะว่าพรุ่งนี้เป็นวันนวมินทรมหาราช ซึ่งจะมีการทำบุญใส่บาตร ณ ที่ว่าการอำเภอทองผาภูมิตั้งแต่เช้า ส่วนวันมะรืนก็จะเป็นวันพระ ที่เราหยุดทำบุญกันตามปกติอยู่แล้ว

สำหรับเมื่อคืนช่วงประมาณตี ๒ ฝนตกหนักมาก บางท่านอาจจะไม่รู้ แต่กระผม/อาตมภาพตื่นมาภาวนาเกือบชั่วโมงแล้ว พอฝนตกก็น่าจะมีการปิดการทำงานของคลื่นอินเตอร์เน็ต ก็เลยทำให้กระผม/อาตมภาพที่กดบันทึกสะสม "เสบียงบุญ" อยู่ เสียของไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะว่าเมื่ออินเตอร์เน็ตโดนตัดก็สูญไปเฉย ๆ..!

หลังจากบิณฑบาตกลับมาแล้ว ได้รับรายงานว่าสำนักสงฆ์ไชยศิริภูมิโดนพายุฝนเมื่อคืน มีอาคารพังทลายลงมา ช่วงสายจึงเดินทางไปดู เพิ่งไปถึงไม่นาน พระปลัดกิตติศักดิ์ ฐานจาโร เจ้าคณะตำบลปิล็อก ในฐานะผู้บังคับบัญชาใกล้ชิดก็ตามเข้าไปด้วย อีกไม่นานพระครูวรกาญจนโชติ เจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิก็ตามไปอีกรูปหนึ่ง จึงไปสำรวจความเสียหายของตัวอาคารที่สร้างลักษณะเหมือนวิหารคด คือความกว้างประมาณ ๕ เมตร แต่ความยาวนั้นน่าจะถึง ๔๐ เมตร เป็นโรงจอดรถ

ตอนช่วงที่ถล่มลงมา ยังมีรถตู้ ๑ คัน กับรถกระบะ ๑ คัน โดนทับอยู่ข้างใน จึงต้องสำรวจรายละเอียดว่า อาคารมีความกว้างเท่าไร ความยาวเท่าไร สร้างด้วยวัสดุอะไร ถ้ารู้ราคาโดยประมาณได้ยิ่งดี เพราะว่าเราสามารถที่จะรายงานทั้งทางคณะสงฆ์ สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด แล้วก็ที่ว่าการอำเภอ เพื่อของบประมาณในการบูรณะซ่อมแซมได้

คราวนี้ในช่วงที่เดินไปสำรวจในช่วงท้าย ๆ ของตัวอาคาร บริเวณนั้นหญ้าขึ้นรกเหมือนกับทุ่งนา กระผม/อาตมภาพก็ฉวยโอกาสจับปลาไหลให้ทุกคนดู คำว่า "ปลาไหล" นี่พระปลัดกิตติศักดิ์ท่านว่าเอง เพราะกระผม/อาตมภาพคว้างูขึ้นมาง่าย ๆ เหมือนกับจับปลาไหล แล้วก็ปล่อยให้เลื้อยงง ๆ อยู่ในมือพักหนึ่งแล้วถึงได้ปล่อยไป

นี่คือสิ่งที่
กระผม/อาตมภาพทำให้พวกท่านทั้งหลายเห็นอยู่บ่อย ๆ แต่ว่าพวกท่านทำใจกันไม่ได้ เพราะว่าอันดับแรกเลย ต้องตัดความกลัวตายออกจากใจให้ได้ อันดับที่สองก็คือ เราต้องไม่คิดร้ายกับเขา และอันดับที่สาม เป็นข้อเดียวกับข้อแรก ก็คือ ต้องไม่กลัวเขาด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-10-2023 เมื่อ 02:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 13-10-2023, 00:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,566
ได้ให้อนุโมทนา: 151,678
ได้รับอนุโมทนา 4,410,894 ครั้ง ใน 34,156 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เนื่องเพราะว่าสัตว์ทั้งหลายจะทำร้ายเราด้วยสองสาเหตุ สาเหตุแรกก็คือเขากลัวเรา เขาก็ต้องป้องกันตัว สาเหตุที่สองคือเรากลัวเขา เขาก็จะขับไล่เราออกจากอาณาเขตที่เขาครอบครองอยู่ เพราะว่าเป็นอาณาเขตหากินของเขา หมายถึงอาหาร

สำหรับสัตว์แล้ว อาหารหมายถึงชีวิต เขาจึงต้องป้องกันอาณาเขตชนิดสุดฤทธิ์สุดเดช คราวนี้ถ้าเราล่วงล้ำเข้าไปแล้วมีท่าทีว่ากลัว เขาก็จะขับไล่เรา ถ้ามีท่าทีว่าจะทำร้าย เขาก็ต้องป้องกันตัว ซึ่งทั้งสองประการ เรามีสิทธิ์ที่จะเจ็บหรือตายได้..!

แต่ถ้าหากว่าเราเข้าไปหาโดยที่ไม่มีความกลัว แล้วก็ไม่คิดร้ายกับเขา เขาจะทำอะไรไม่ถูก อย่างที่เลขาฯ จุก (พระมหาอินทรปกรณ์ ฐิตสุโภ ป.ธ.๔) กับ เลขาฯ พัฒน์ (พระพัฒน์ ฐิตาจาโร) เห็นอยู่ ว่างูก็เลื้อยไปเลื้อยมางง ๆ ทำอะไรไม่ถูก จนกระทั่งปล่อยไป ก็คือเขาสัมผัสได้ว่านี่เป็นร่างกายของสัตว์ชนิดหนึ่ง หรือก็คือคนนั่นเอง แต่ว่าหาไม่เจอว่าความคิดร้ายหรือว่าความกลัวอยู่ตรงไหน ก็เลยทำอะไรไม่ถูก

เรื่องพวกนี้ถ้าหากพวกท่านทั้งหลายจะฝึก สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือมรณานุสติกรรมฐาน ทำอย่างไรที่เราจะเห็นว่า ความตายเป็นปกติธรรมดาของมนุษย์และสัตว์ทุกรูปทุกนาม เกิดมาแล้วต้องตายทั้งสิ้น แล้วความตายก็ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิต ยกเว้นว่าท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว

ในเมื่อยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ความตายก็เป็นเพียงการเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิไปตามบุญตามกรรมที่เราสร้างมา ก็เหมือนอย่างกับเราเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดหนึ่ง เปลี่ยนเครื่องใช้ไม้สอยชิ้นหนึ่ง อย่างเช่นว่าเปลี่ยนรถยนต์ที่หมดสภาพแล้ว เราก็ต้องทิ้งไปหารถคันใหม่

รถคันใหม่นี่ก็คือร่างกายที่ท่านทั้งหลายจะได้รับตามบุญตามบาปที่สร้างมา ทำบุญไว้มากก็มีร่างทิพย์ของเทวดา นางฟ้า พรหมให้อาศัย ทำบาปไว้มากก็เป็นร่างของสัตว์เดรัจฉาน
เป็นอสุรกาย เป็นเปรต เป็นสัตว์นรก เป็นต้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-10-2023 เมื่อ 02:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 13-10-2023, 00:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,566
ได้ให้อนุโมทนา: 151,678
ได้รับอนุโมทนา 4,410,894 ครั้ง ใน 34,156 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..ถ้าหากว่าเรารู้สึกว่าความตายไม่มีอะไรน่ากลัว เป็นแค่การเปลี่ยนร่างเท่านั้น ความกลัวก็จะลดน้อยถอยลงไปมาก เพราะว่าเรามองเห็นความเป็นจริง อวิชชาคือความมืดบอด บดบังใจของเราไว้ แต่ว่าปัญญาที่เหมือนกับแสงสว่างส่องเข้ามา ทำให้เราเห็นความจริงว่า สรรพสัตว์ทั้งหลายเกิดมาเท่าไร ตายหมดเท่านั้น ความตายเป็นธรรมดาของโลก ก็แค่การเปลี่ยนภพ เปลี่ยนภูมิ เปลี่ยนขันธ์ไปตามบุญตามกรรม ไม่ได้มีอะไรน่ากลัว ส่วนใหญ่ที่พวกเรากลัวตาย ไม่ได้กลัวตายอย่างแท้จริง แต่เป็นการกลัวเจ็บมากกว่า เจ็บมาก ๆ แล้วก็ตาย

คราวนี้ความตายนั้น พระพุทธเจ้าท่านกล่าวเอาไว้ ๓ แบบด้วยกัน แบบที่ ๑ คืออายุกขยมรณะ ตายเพราะหมดอายุ อย่างเช่นว่า คนเราในสมัยพุทธกาลมีอายุ ๑๐๐ ปีเป็นประมาณ แต่คราวนี้ระบบของวิวัฒนการ ๑๐๐ ปีผ่านไป อายุจะน้อยลง ๑ ปี ๑๐๐ ปีผ่านไป จะน้อยลง ๑ ปี ตอนนี้ผ่านไป ๒,๕๐๐ กว่าปี ก็ลดลงไป ๒๕ ปีเศษ อายุขัยของบุคคลปกติของเราในปัจจุบันคือประมาณ ๗๔ ปีครึ่ง ถ้าหากว่าถึงตรงนี้แล้วตาย เขาเรียกว่าตายเพราะหมดอายุ

ประการที่สองคือกัมมักขยมรณะ ตายเพราะหมดกรรม ตัวอย่างคือพระโลสกเถระ ตั้งแต่เกิดมา ในชีวิตไม่เคยได้กินอิ่มเลยแม้แต่วันเดียว ข้าวปลาอาหารทั่วไปกินไม่ได้ ได้แต่ไปเสาะหาอาหารที่เขาล้างภาชนะแล้วสาดทิ้งไว้ ก็พอจะมีเม็ดข้าวติดอยู่บ้าง เก็บเม็ดข้าวกินครบ ๗ เม็ดเมื่อไร อาหารเหล่านั้นก็จะหายไปหมด เหลือเชื่อว่าคนที่กินข้าววันละ ๗ เม็ด จะอยู่มาได้จนถึงอายุ ๒๐ ปีเศษ ?

เมื่อพระสารีบุตรพบเห็นก็เลยนำมาบวช หาอาหารให้ท่านฉันจนอิ่มด้วยกำลังฤทธิ์ของพระเถระ เกิดความสบายของร่างกายขึ้นมา เพราะว่าอิ่มเป็นครั้งแรกในชีวิต ก็มาพินิจพิจารณาว่า
ตนเองสร้างกรรมเอาไว้จนขนาดนี้ จึงไม่ได้อยากเกิดอีก ไม่ได้ต้องการร่างกายนี้อีก ไม่ได้ต้องการอยู่ในโลกนี้อีก จิตปลดจากเครื่องยึดเกาะทั้งปวง กลายเป็นพระอรหันต์แล้วก็มรณภาพเลย นั่นคือหมดกรรม

ประเภทที่ ๓ พระพุทธเจ้าตรัสว่า อุภยักขยมรณะ ก็คือรวมทั้งหมดอายุด้วย หมดกรรมด้วย อย่างเช่นว่าทนทุกข์ทรมานมาจนอายุ ๗๔ ปีครึ่ง พอดีชดใช้กรรมหมดแล้วตายลง ก็แปลว่าทั้งหมดอายุและหมดกรรมไปด้วยกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-10-2023 เมื่อ 02:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 13-10-2023, 01:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,566
ได้ให้อนุโมทนา: 151,678
ได้รับอนุโมทนา 4,410,894 ครั้ง ใน 34,156 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าเราเห็นตรงจุดนี้อย่างชัดเจน ความกลัวตายจะค่อย ๆ หายไป กระผม/อาตมภาพดูเรื่องนี้เรื่องเดียวอยู่ประมาณ ๓ ปี ดูว่าความกลัวทุกประเภทมาจากกลัวตายทั้งนั้น

แม้กระทั่งกลัวจิ้งจก ตุ๊กแก ก็เกิดจากกลัวตาย ก็คือเดี๋ยวโดนกระโดดเกาะ ขยะแขยง ทนไม่ไหว..ตาย กลัวเสือ เสือมากัดเรา..ตาย กลัวงู งูกัดเรา..ตาย กลัวโจรผู้ร้าย เดี๋ยวมาปล้นมาฆ่าเรา..ตาย..!

ถ้าหากว่าท่านจะฝึกให้ได้อย่างที่กระผม/อาตมภาพทำ ก็ต้องพยายามพิจารณาให้เห็น จนกระทั่งยอมรับว่า
ความตายเป็นปกติธรรมดาของมนุษย์และสัตว์ทุกรูปทุกนาม ไม่มีอะไรน่าหวั่นไหว ไม่มีอะไรน่าหวาดกลัว ถ้าหากว่ารู้แจ้งเห็นจริง ก็เหมือนอย่างกับแสงสว่างที่ส่องเข้ามา ความมืดก็จะหายไป

กำลังใจพวกนี้ ถ้าทำได้ครั้งเดียว ครั้งต่อไปก็จะทำได้อีก พอซักซ้อมจนคล่องตัวก็กลายเป็นสมบัติประจำตัวของเรา แล้วคราวนี้ อยากจะจับอะไรเล่นก็ไปจับได้เลย ถ้าเป็นเสือเป็นช้างอะไรก็ระวังหน่อย เราไม่กลัวตายก็จริง แต่ถ้าเขาเหยียบเราก็แบนเหมือนกัน..!

สำหรับวันนี้ก็เรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๑๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-10-2023 เมื่อ 02:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 13:38



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว